ในที่สุด “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) ก็ได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช หลังก่อนหน้านี้ ออกมาแฉการเรียกรับผลประโยชน์ของนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยใช้เงินจำนวน 98,000 หมื่นบาทวางแผนล่อซื้อด้วยตนเอง
นายชัยวัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 5 ม.ค.2507 ชื่อเล่นว่า “อี่” เป็นชาว อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี จบปริญญาตรีและโท สาขาวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เคยทำงานรับผิดชอบโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพพื้นที่เขานางพันธุรัตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และเคยเป็นหัวหน้าวนอุทยานชะอำ ก่อนจะมารับตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ปี 2554 นายชัยวัฒน์ เป็นที่รู้จักของกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนและสังคม เมื่อเขานำกำลังกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เข้าไปอพยพชาวกะเหรี่ยง และเผาทำลายที่พักอาศัยของชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย (ใจแผ่นดิน) อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพื่อผลักดันออกจากผืนป่าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
จนทำให้ปู่คออี้ มีมิ หรือ นายโคอิ มีมิ ผู้จิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานและกลุ่มกะเหรี่ยงในพื้นที่ต้องออกมาประท้วง และยื่นฟ้องนายชัยวัฒน์ต่อศาลปกครองในข้อหาบุกรุกเผาบ้านใจแผ่นดิน
ในปีเดียวกัน เกิดเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ชัยวัฒน์ เป็นทัพหน้า นำลูกน้องเข้าไปบุกป่าฝ่าดง เพื่อเช่วยกู้เฮลิคอปเตอร์และผู้เสียชีวิต จนได้รับมอบประกาศ นียบัตรแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี 2554 จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จนได้รับฉายา “วีรบุรุษแก่งกระจาน”
มาปี 2557 นายชัยวัฒน์ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีการหายหัวไปของ "บิลลี่" หรือ พอละจี รักจงเจริญ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบางกลอย-โป่งลึก อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 โดยนายชัยวัฒน์ยอมรับว่า เขาควบคุมตัวของบิลลี่ในข้อหาครอบครองน้ำผึ้งป่าอย่างผิดกฎหมาย และได้ปล่อยตัวบิลลี่ในวันเดียวกัน แต่ก็ไม่พบตัวของนายบิลลี่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นอกจากนี้นายชัยวัฒน์ ยังเคยเป็นอดีตหัวหน้าชุดพญาเสือ ตำแหน่งนักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษในส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร สำนักบริหารพื้นอนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ระหว่างปี 2551-2557 อีกด้วย
เมื่อเวลาผ่านไปจนเดือน มิ.ย.2561 ดีเอสไอรับคดีการหายตัวไปของบิลลี่ เป็นคดีพิเศษจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และเมื่อเดือนก.ค.2562 ดีเอสไอ เปิดเผยหลักฐานสำคัญเชื่อมโยงการหายตัวไปของบิลลี่ คือกระดูกกระโหลกของมนุษย์ในถังน้ำมัน 200 ลิตรที่จมอยู่ในน้ำบริเวณสะพานแขวนเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน
เดือน พ.ย.2562 ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อนุมัติหมายจับนายชัยวัฒน์ และพวกในคดีการหายตัวของนายบิลลี่ ในฐานความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
เดือนมี.ค.2564 คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.)กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีมติ ให้ปลด นายชัยวัฒน์ พ้นตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในคดีเผาทรัพย์กะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ทำให้ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ไป 1 ปี
ต่อมาเมื่อ 27 ก.ค. 2565 ศาลปกครองเพชรบุรี ทุเลาบังคับคดีให้นายชัยวัฒน์กลับเข้ารับราชการไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว ในตำแหน่งสุดท้ายก่อนถูกปลดออกจากราชการคือ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 กรมอุทยานฯ
และผลงานทิ้งท้ายปี 2565 คือ ชัยวัฒน์ได้นำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการเรียกรับสินกรมอุทยานฯโดยวางแผนร่วมกับปปป.และป.ป.ท.นำเงินเข้าล่อซื้อในวันที่กรมอุทยานฯได้เรียกประชุมเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2565ทำให้นายรัชฎา สิ้นสภาพอธิบดีกรมอุทยาน
และสัปดาห์นี้ก่อนมีคำสั่งวันนี้ (17 ก.พ.) ชัยวัฒน์ บอกว่าได้รับโทรศัพท์โดยปลายสายส่งเสียงชักชวนว่า ขอให้มาช่วยทำงานที่กรมอุทยานฯ และขอให้กอบกู้ศักดิ์ศรีของข้าราชการกรมอุทยาน ซึ่งเข้าทางพอดีเพราะเจ้าตัวพร้อมพิสูจน์ผลงานก่อนจะเกษียณอายุราชการในปีหน้า
เครดิตร Thai PBS
"ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" บุรุษผู้ไม่เกรงอิทธิพลมืด
นายชัยวัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 5 ม.ค.2507 ชื่อเล่นว่า “อี่” เป็นชาว อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี จบปริญญาตรีและโท สาขาวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เคยทำงานรับผิดชอบโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพพื้นที่เขานางพันธุรัตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และเคยเป็นหัวหน้าวนอุทยานชะอำ ก่อนจะมารับตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ปี 2554 นายชัยวัฒน์ เป็นที่รู้จักของกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนและสังคม เมื่อเขานำกำลังกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เข้าไปอพยพชาวกะเหรี่ยง และเผาทำลายที่พักอาศัยของชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย (ใจแผ่นดิน) อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพื่อผลักดันออกจากผืนป่าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
จนทำให้ปู่คออี้ มีมิ หรือ นายโคอิ มีมิ ผู้จิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานและกลุ่มกะเหรี่ยงในพื้นที่ต้องออกมาประท้วง และยื่นฟ้องนายชัยวัฒน์ต่อศาลปกครองในข้อหาบุกรุกเผาบ้านใจแผ่นดิน
ในปีเดียวกัน เกิดเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ชัยวัฒน์ เป็นทัพหน้า นำลูกน้องเข้าไปบุกป่าฝ่าดง เพื่อเช่วยกู้เฮลิคอปเตอร์และผู้เสียชีวิต จนได้รับมอบประกาศ นียบัตรแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี 2554 จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จนได้รับฉายา “วีรบุรุษแก่งกระจาน”
มาปี 2557 นายชัยวัฒน์ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีการหายหัวไปของ "บิลลี่" หรือ พอละจี รักจงเจริญ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบางกลอย-โป่งลึก อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 โดยนายชัยวัฒน์ยอมรับว่า เขาควบคุมตัวของบิลลี่ในข้อหาครอบครองน้ำผึ้งป่าอย่างผิดกฎหมาย และได้ปล่อยตัวบิลลี่ในวันเดียวกัน แต่ก็ไม่พบตัวของนายบิลลี่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นอกจากนี้นายชัยวัฒน์ ยังเคยเป็นอดีตหัวหน้าชุดพญาเสือ ตำแหน่งนักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษในส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร สำนักบริหารพื้นอนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ระหว่างปี 2551-2557 อีกด้วย
เมื่อเวลาผ่านไปจนเดือน มิ.ย.2561 ดีเอสไอรับคดีการหายตัวไปของบิลลี่ เป็นคดีพิเศษจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และเมื่อเดือนก.ค.2562 ดีเอสไอ เปิดเผยหลักฐานสำคัญเชื่อมโยงการหายตัวไปของบิลลี่ คือกระดูกกระโหลกของมนุษย์ในถังน้ำมัน 200 ลิตรที่จมอยู่ในน้ำบริเวณสะพานแขวนเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน
เดือน พ.ย.2562 ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อนุมัติหมายจับนายชัยวัฒน์ และพวกในคดีการหายตัวของนายบิลลี่ ในฐานความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
เดือนมี.ค.2564 คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.)กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีมติ ให้ปลด นายชัยวัฒน์ พ้นตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในคดีเผาทรัพย์กะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ทำให้ต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ไป 1 ปี
ต่อมาเมื่อ 27 ก.ค. 2565 ศาลปกครองเพชรบุรี ทุเลาบังคับคดีให้นายชัยวัฒน์กลับเข้ารับราชการไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว ในตำแหน่งสุดท้ายก่อนถูกปลดออกจากราชการคือ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 กรมอุทยานฯ
และผลงานทิ้งท้ายปี 2565 คือ ชัยวัฒน์ได้นำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการเรียกรับสินกรมอุทยานฯโดยวางแผนร่วมกับปปป.และป.ป.ท.นำเงินเข้าล่อซื้อในวันที่กรมอุทยานฯได้เรียกประชุมเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2565ทำให้นายรัชฎา สิ้นสภาพอธิบดีกรมอุทยาน
และสัปดาห์นี้ก่อนมีคำสั่งวันนี้ (17 ก.พ.) ชัยวัฒน์ บอกว่าได้รับโทรศัพท์โดยปลายสายส่งเสียงชักชวนว่า ขอให้มาช่วยทำงานที่กรมอุทยานฯ และขอให้กอบกู้ศักดิ์ศรีของข้าราชการกรมอุทยาน ซึ่งเข้าทางพอดีเพราะเจ้าตัวพร้อมพิสูจน์ผลงานก่อนจะเกษียณอายุราชการในปีหน้า
เครดิตร Thai PBS