สวัสดีครับเพื่อนทุกคน ประสบการณ์นี้เป็นประสบการณ์ตรง ที่ผมได้พบเจอในตอนที่สมัยวัยรุ่น หากคำพิมพ์ตกหล่นไปขออภัยด้วยครับ
เอาละต้องย้อนกับไปเมื่อ 10ปีที่แล้วครับ ณ ตอนนั้นผมอยู่ที่จังหวัดบ้านเกิดทางภาคอีสานตอนนั้นผมอายุ 15-16ปี ผมเรียนที่วิลัยการอาชีพแห่งหนึง ซึ่งต่อมาผมได้ไปเจอผู้หญิงคนนึงซึ่งอยู่ต่างสถาบันกันครับ แต่ด้วยความบังเอิญเธอเป็นเพื่อนของเพื่อนที่ผมรู้จัก ผมเลยติดต่อทางเพื่อนเราเลยได้พูดคุยติดต่อกัน
ได้มาสักพัก ผมขอเรียกชื่อเธอว่าบีนะครับ วันนั้น บีมีโครงงานที่ต้องทำแต่ไม่มีที่ไปทำซึ่งโครงงานต้องส่งในวันต่อไป ผมเลยเสนอว่าเอางี้บีงั้นมาทำที่บ้านเราสิ พื้นที่หน้าบ้านเรากว้าง พาเพื่อนมาได้เลย (คือตอนนั้นผมก็ต้องการสร้างคะแนนให้เธอประทับใจนั้นแหละครับ555) ซึ่งบีเนี่ยก็ตอบตกลงกับผมนะครับสรุปแล้วก็ได้มาทำซึ่งบีเนี่ยก็ตอบตกลงกับผมนะครับสรุปแล้วก็ได้มาทำโครงงานที่หน้าบ้านผมนั่นแหละมา ก็พากันทำก็พากันทำโครงงานกันจนเสร็จเรียบร้อยครับ แต่ทีนี้เนี่ยเวลาเนี่ยมันก็ร่วงล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่มแล้วครับคือตอนนั้นเนี่ยแถวบ้านนอกเนี่ยแถวชานเมืองที่จังหวัดผมเนี่ยพอตกตึกมาขนาดนั้นแล้วมันเปลี่ยวมากครับประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าต้องไปส่งเพื่อนของบีเนี่ยก่อนซึ่งระยะทางจากบ้านผมของเพื่อนของบีเนี่ยมันห่างกันเราราวเกือบ 10 โลครับซึ่งตอนนั้นเนี่ยมันก็ดึกมากแล้วพวกเราก็เลยรีบกันพาไปส่งเพื่อนของบีผมเนี่ยอยากให้ทุกคนคิดภาพตามนะครับสองข้างทางเนี่ยจะเป็นทุ่งนามีไร่อ้อยไล่มันสลับกันบ้างครับพอพากันขี่รถกันมาได้สักพักนึงเนี่ยความผิดปกติมันก็เริ่มเกิดขึ้นครับมันมีหมาเนี่ยที่หอนตามทาง หรือข้างข้างทาง บางตัวก็วิ่งไล่รถแล้วตอนนั้นเราเป็นวัยรุ่นเราก็ไม่ได้คิดอะไรมากครับเราก็คิดเป็นเรื่องสนุกดีหนีมาไล่อะไรประมาณนี้เราก็ไม่ได้คิดอะไรนะครับแล้วก็ขี่รถไม่ค่อยขับประมาณ 40 ถึง 50 ครับ ซึ่งณตอนนั้นบีอยู่เฉยเฉยก็มากรรมเสื้อผมแรงมากเลยครับก็คือบีเนียนั่งอยู่ข้างหลังและสองข้างของบีเนี่ยก็ทำเสื้อ ซึ่งณตอนนั้นบีอยู่เฉยเฉยก็มากรรมเสื้อผมแรงมากเลยครับก็คือบีเนียนั่งอยู่ข้างหลังและสองข้างของบีเนี่ยก็ทำเชื่อนะครับผมแรงมากๆครับผมก็เลยหันไปถาม ว่าเป็นอะไรเหรอครับบีก็ไม่ได้ตอบอะไรผมก็มีแต่พูดว่าขี่รถให้เร็วกว่านี้ได้หรือเปล่าคือจังหวะที่ผมหันไปหาบีเนี่ยพอผมจะหันหน้ากลับมาใช่ไหมครับสองข้างทางมันก็เป็นทุ่งนาแล้วก็เถียงนาเนี่ยจังหวะนั้นแหละครับผมหันหน้ามาแล้วขวางตาผมมันไปสะดุดกับอะไรอย่างหนึ่งครับมันเป็นเงาดำดำว่าเป็นอะไรเหรอครับบีก็ไม่ได้ตอบอะไรผมก็มีแต่พูดว่าขี่รถให้เร็วกว่านี้ได้หรือเปล่าคือจังหวะที่ผมหันไปหาบีเนี่ยพอผมจะหันหน้ากลับมาใช่ไหมครับสองข้างทางมันก็เป็นทุ่งนาแล้วก็เถียงนาเนี่ยจังหวะนั้นแหละครับผมหันหน้ามาแล้วขวางตาผมมันไปสะดุดกับอะไรอย่างหนึ่งครับมันเป็นเงาดำดำสูงสูง อยู่ตรงข้างข้างเถียงนาพ่อผมหันกลับไปดูผมก็ไม่เห็นอะไรแล้วครับนั่นก็คือเป็นสิ่งผิดปกติอย่างแรกเลยครับที่ผมได้เห็นกับตัวต่อมาเราก็ขี่ไปถึงบ้านของเพื่อนพี่ครับพวกเราก็จอดรถหน้าบ้านเพื่อให้ เพื่อน บีลงจากรถนะครับตอนนั้นเองพ่อของเพื่อนบีก็เดินออกมาครับ เราก็ทำการ เราก็ทำการสวัสดีนะครับผมแต่สิ่งที่แปลกไปอย่างหนึ่งเนี่ยสายตาของพ่อของบีอย่างเนี่ยมองมาทางเราด้วยความสงสัยครับแต่ตัวท่านเองก็ไม่ได้พูดอะไรนะครับ พอส่งเพื่อนบีเสร็จแล้วต่อไปเราก็ต้องไปส่งบีครับอีกประมาณสองกิโลนี่แหละครับ ก็จะถึงของบ้านครับผมนี่คือความผิดปกติสองที่ตัวผมเนี่ยได้เจอเองครับปกติแล้วเนี่ยเราขี่รถสวนไปสวนมาเนี่ยมันก็จะมีรถใหญ่ใช่ไหมครับผมรถกระบะรถยนต์เนี่ยสวนกลับเราด้วยซึ่งตอนนั้นเนี่ยความผิดปกติครั้งที่สองเนี่ยก็คือผมเห็นเห็นเงากับผมผ่านหน้ารถยนต์ที่ผ่านมาตอนนั้นผมเองก็เริ่มแบบอะไรวะพอหลังจากนั้นประมาณ 2 นาทีนะครับมันก็มีเสียงโทรศัพท์ก็คือเป็นเสียงโทรศัพท์ของบี นั่นเองครับเป็นเพื่อนของบีผมโทรมาแล้วก็บอกให้พวกเราจอดรถท่องคาถาที่เพื่อนบีเนี่ยให้ท่องพร้อมพร้อมกันครับแล้วตอนนั้นเนี่ยพวกเราทั้งห้าคนนะครับผมก็เริ่มงงแล้วว่าเป็นอะไรเกิดอะไรขึ้นทีนี้เนี่ยเพื่อนของบีเนี่ยก็ให้คุณพ่อเนี่ยนะเค้าเป็นคนนำสวด นั่นเองครับเป็นเพื่อนของบีผมโทรมาแล้วก็บอกให้พวกเราจอดรถท่องคาถาที่เพื่อนบีเนี่ยให้ท่องพร้อมพร้อมกันครับแล้วตอนนั้นเนี่ยพวกเราทั้งห้าคนนะครับผมก็เริ่มงงแล้วว่าเป็นอะไรเกิดอะไรขึ้นทีนี้เนี่ยเพื่อนของบีเนี่ยก็ให้คุณพ่อเนี่ยนะครับเป็นคนนำสวดเท่าที่ผมจำได้ตอนนั้นเนี่ยบทสวดก็เป็นบทสวดธรรมดานี่แหละครับ แต่มันก็จะมีบทที่มันแปลกแปลกก็คือช่วงท้ายนะครับท่องกันไม่นานกับผมประมาณสองถึง 3 นาทีก็เสร็จครับแต่สิ่งที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งหลังจากที่เราท่องเสร็จนะครับทั้งห้าคนเนี่ยได้ยินเสียงกรี๊ดแว่วมาตามลมคือณตอนนั้นเนี่ยทุกคนนะครับก็หันหน้ามองกันแล้วก็ถามกันว่าเฮ้ยได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่าต่างคนก็ต่างบอกว่าได้ยินเหมือนกันแต่ ไม่ได้ยินชัดเจนมันเป็นเสียงที่แว่วมาตามลมนะครับพอเสร็จจากตรงนั้นแล้วตัวผมแล้วก็เพื่อนเพื่อนนะครับผมก็รีบพากันไปส่งบีแล้วผมก็ไปส่งเพื่อนเพื่อนให้ครบทุกคนนะครับส่งถึงบ้านตัวผมเองก็ค่อยกลับบ้านกลับเพราะเรื่องราวนี้มันผ่านไปหลังจากนั้นก็ประมาณหนึ่งวันเพราะตอนเย็นมาผมก็นอนคุยโทรศัพท์กับีเลยครับ คุยกันไปเรื่อยเรื่อยพอสักพักบีก็เลยพูดขึ้นมาว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟังเรื่องเหตุการณ์เมื่อวานคือบีเล่าให้ผมฟังแบบนี้ครับบีก็ถามผมว่าจำได้คุยกันไปเรื่อยเรื่อยพอสักพักบีก็เลยพูดขึ้นมาว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟังเรื่องเหตุการณ์เมื่อวานคือบีเล่าให้ผมฟังแบบนี้ครับบีก็ถามผมว่าจำได้หรือเปล่าตอนที่เราทำเสื้อเธอแน่นแน่นน่ะแล้วเราบอกให้เธอขี่รถไปผมก็เลยบอกจำได้มันมีอะไรเกิดขึ้นหรอทำไมถึงมีปฏิกิริยาแบบนั้น บีก็เลยบอกว่าช่วงที่มีหมาหอนมาไล่ไล่อ่ะบีหันไปมองหมาตัวที่ไล่เราในฝูงหมา นั้นมันจะมีหมาตัวสีดำ นั้นมันจะมีหมาตัวสีดำตัวที่มันใหญ่กว่าเพื่อนกำลังวิ่งไล่อยู่คือบีก็มองได้ประมาณซักประมาณ 10 วิถึง 15 วินี่แหละครับ บีเห็นว่าหมาตัวสีดำบีเห็นว่าหมาตัวสีดำตัวนั้นน่ะมันเริ่มกลายเป็นคนเป็นผู้หญิงครับใสสิ้นสีดำใส่เสื้อสีดำหัวหนียุ่งยุ่งกำลังวิ่งตามไล่รถพวกเราอยู่ ผมก็เลยถามว่ามันจริงหรอบีบีก็เลยบอกว่าเราจะโกหกเธอทำไมผมก็เลยถามว่ามันจริงหรอบีบีก็เลยบอกว่าเราจะโกหกเธอทำไมแล้วทีนี้ครับปีก็ได้พูดอีกเรื่องหนึ่งให้ผมฟังอีกคือตอนที่ตอนที่ไปส่งเพื่อนบีเสร็จแล้วเนี่ยทุกคนจำได้ไหมครับที่คุณพ่อบีเนี่ยมองมาทางเราเนี่ยมองรู้สึกว่ามีอะไรแปลกแปลกในกลุ่มเรานะครับคือเพื่อนของบีเนี่ยเราให้บีฟังว่าคุณพ่อของตัวเพื่อนบีเนี่ยเค้าเป็นหมอทำ บีฟังว่าคุณพ่อของตัวเพื่อนบีเนี่ยเค้าเป็นหมอทำกับหมอทำภาคอีสานนี่ก็คือคล้ายๆเหรอหมอเป่าแบบว่าไม่สบายก็ไปหาแล้วก็เป่าอาการก็จะดีขึ้นอะไรประมาณนี้ คุณพ่อของเพื่อนบีเนี่ยเห็นผู้หญิงนะครับผมที่วิ่งไล่ตามรถพวกเราเนี่ยยืนอยู่ห่างจากกลุ่มพวกเราเนี่ยประมาณสี่ถึงห้าเก้าครับด้วยความเป็นห่วงของผู้ใหญ่นะครับเค้าก็เลยโทรหาเราหลังจากที่เราออกไปจากบ้านเขาประมาณ 10 ถึง 15 นาทีครับเล่าเรื่องราวเนี่ยมันก็เป็นไปตามหลังที่ผมได้พูดให้ฟังตอนแรกนะครับ คือสรุปแล้วเนี่ยคุณพ่อของเพื่อนบีเนี่ยพูดให้ฟังว่าทางมาบ้านของเพื่อนบีเนี่ยมันเป็นทางที่มีทั้งคนเล่นของนะครับมีทั้งคนที่เล่นของของตัวเองเองแล้วก็เป็นปอบคือจริงๆแล้ววันนั้นน่ะมันเป็นวันพระใหญ่ครับพวกคนเล่นของพวกปอบเนี่ยมันก็จะออกมาบางครั้งก็เป็นลมเพลมพัดครับสรุปแล้วเนี่ยถ้าวันนั้นเนี่ยคุณ คุณพ่อของเพื่อนบีถ้าไม่ให้เราสวดมนต์ที่ท่านได้นำ คุณพ่อของเพื่อนบีถ้าไม่ให้เราสวดบทที่ท่านได้นำสวดเราในวันนั้นเนี่ยคนที่ดวงตกที่สุดในกลุ่มเนี่ยอาจจะโดนลมเพลมพัดหรือปลอบเขาก็ได้ครับ สำหรัสำหรับเรื่องก็มีประมาณเท่านี้ครับคำไหนที่ซ้ำซากหรือว่าคำไหนที่อาจจะไม่ถูกต้องผมต้องขออภัยด้วยนะครับแล้วท่านไหนเคยเจอประสบการณ์แบบนี้สามารถแชร์กันได้เลยนะครับขอบคุณครับ
ตอนวัยรุ่นผมเคยโดน ปอบ!!!วิ่งไล่
เอาละต้องย้อนกับไปเมื่อ 10ปีที่แล้วครับ ณ ตอนนั้นผมอยู่ที่จังหวัดบ้านเกิดทางภาคอีสานตอนนั้นผมอายุ 15-16ปี ผมเรียนที่วิลัยการอาชีพแห่งหนึง ซึ่งต่อมาผมได้ไปเจอผู้หญิงคนนึงซึ่งอยู่ต่างสถาบันกันครับ แต่ด้วยความบังเอิญเธอเป็นเพื่อนของเพื่อนที่ผมรู้จัก ผมเลยติดต่อทางเพื่อนเราเลยได้พูดคุยติดต่อกัน
ได้มาสักพัก ผมขอเรียกชื่อเธอว่าบีนะครับ วันนั้น บีมีโครงงานที่ต้องทำแต่ไม่มีที่ไปทำซึ่งโครงงานต้องส่งในวันต่อไป ผมเลยเสนอว่าเอางี้บีงั้นมาทำที่บ้านเราสิ พื้นที่หน้าบ้านเรากว้าง พาเพื่อนมาได้เลย (คือตอนนั้นผมก็ต้องการสร้างคะแนนให้เธอประทับใจนั้นแหละครับ555) ซึ่งบีเนี่ยก็ตอบตกลงกับผมนะครับสรุปแล้วก็ได้มาทำซึ่งบีเนี่ยก็ตอบตกลงกับผมนะครับสรุปแล้วก็ได้มาทำโครงงานที่หน้าบ้านผมนั่นแหละมา ก็พากันทำก็พากันทำโครงงานกันจนเสร็จเรียบร้อยครับ แต่ทีนี้เนี่ยเวลาเนี่ยมันก็ร่วงล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่มแล้วครับคือตอนนั้นเนี่ยแถวบ้านนอกเนี่ยแถวชานเมืองที่จังหวัดผมเนี่ยพอตกตึกมาขนาดนั้นแล้วมันเปลี่ยวมากครับประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าต้องไปส่งเพื่อนของบีเนี่ยก่อนซึ่งระยะทางจากบ้านผมของเพื่อนของบีเนี่ยมันห่างกันเราราวเกือบ 10 โลครับซึ่งตอนนั้นเนี่ยมันก็ดึกมากแล้วพวกเราก็เลยรีบกันพาไปส่งเพื่อนของบีผมเนี่ยอยากให้ทุกคนคิดภาพตามนะครับสองข้างทางเนี่ยจะเป็นทุ่งนามีไร่อ้อยไล่มันสลับกันบ้างครับพอพากันขี่รถกันมาได้สักพักนึงเนี่ยความผิดปกติมันก็เริ่มเกิดขึ้นครับมันมีหมาเนี่ยที่หอนตามทาง หรือข้างข้างทาง บางตัวก็วิ่งไล่รถแล้วตอนนั้นเราเป็นวัยรุ่นเราก็ไม่ได้คิดอะไรมากครับเราก็คิดเป็นเรื่องสนุกดีหนีมาไล่อะไรประมาณนี้เราก็ไม่ได้คิดอะไรนะครับแล้วก็ขี่รถไม่ค่อยขับประมาณ 40 ถึง 50 ครับ ซึ่งณตอนนั้นบีอยู่เฉยเฉยก็มากรรมเสื้อผมแรงมากเลยครับก็คือบีเนียนั่งอยู่ข้างหลังและสองข้างของบีเนี่ยก็ทำเสื้อ ซึ่งณตอนนั้นบีอยู่เฉยเฉยก็มากรรมเสื้อผมแรงมากเลยครับก็คือบีเนียนั่งอยู่ข้างหลังและสองข้างของบีเนี่ยก็ทำเชื่อนะครับผมแรงมากๆครับผมก็เลยหันไปถาม ว่าเป็นอะไรเหรอครับบีก็ไม่ได้ตอบอะไรผมก็มีแต่พูดว่าขี่รถให้เร็วกว่านี้ได้หรือเปล่าคือจังหวะที่ผมหันไปหาบีเนี่ยพอผมจะหันหน้ากลับมาใช่ไหมครับสองข้างทางมันก็เป็นทุ่งนาแล้วก็เถียงนาเนี่ยจังหวะนั้นแหละครับผมหันหน้ามาแล้วขวางตาผมมันไปสะดุดกับอะไรอย่างหนึ่งครับมันเป็นเงาดำดำว่าเป็นอะไรเหรอครับบีก็ไม่ได้ตอบอะไรผมก็มีแต่พูดว่าขี่รถให้เร็วกว่านี้ได้หรือเปล่าคือจังหวะที่ผมหันไปหาบีเนี่ยพอผมจะหันหน้ากลับมาใช่ไหมครับสองข้างทางมันก็เป็นทุ่งนาแล้วก็เถียงนาเนี่ยจังหวะนั้นแหละครับผมหันหน้ามาแล้วขวางตาผมมันไปสะดุดกับอะไรอย่างหนึ่งครับมันเป็นเงาดำดำสูงสูง อยู่ตรงข้างข้างเถียงนาพ่อผมหันกลับไปดูผมก็ไม่เห็นอะไรแล้วครับนั่นก็คือเป็นสิ่งผิดปกติอย่างแรกเลยครับที่ผมได้เห็นกับตัวต่อมาเราก็ขี่ไปถึงบ้านของเพื่อนพี่ครับพวกเราก็จอดรถหน้าบ้านเพื่อให้ เพื่อน บีลงจากรถนะครับตอนนั้นเองพ่อของเพื่อนบีก็เดินออกมาครับ เราก็ทำการ เราก็ทำการสวัสดีนะครับผมแต่สิ่งที่แปลกไปอย่างหนึ่งเนี่ยสายตาของพ่อของบีอย่างเนี่ยมองมาทางเราด้วยความสงสัยครับแต่ตัวท่านเองก็ไม่ได้พูดอะไรนะครับ พอส่งเพื่อนบีเสร็จแล้วต่อไปเราก็ต้องไปส่งบีครับอีกประมาณสองกิโลนี่แหละครับ ก็จะถึงของบ้านครับผมนี่คือความผิดปกติสองที่ตัวผมเนี่ยได้เจอเองครับปกติแล้วเนี่ยเราขี่รถสวนไปสวนมาเนี่ยมันก็จะมีรถใหญ่ใช่ไหมครับผมรถกระบะรถยนต์เนี่ยสวนกลับเราด้วยซึ่งตอนนั้นเนี่ยความผิดปกติครั้งที่สองเนี่ยก็คือผมเห็นเห็นเงากับผมผ่านหน้ารถยนต์ที่ผ่านมาตอนนั้นผมเองก็เริ่มแบบอะไรวะพอหลังจากนั้นประมาณ 2 นาทีนะครับมันก็มีเสียงโทรศัพท์ก็คือเป็นเสียงโทรศัพท์ของบี นั่นเองครับเป็นเพื่อนของบีผมโทรมาแล้วก็บอกให้พวกเราจอดรถท่องคาถาที่เพื่อนบีเนี่ยให้ท่องพร้อมพร้อมกันครับแล้วตอนนั้นเนี่ยพวกเราทั้งห้าคนนะครับผมก็เริ่มงงแล้วว่าเป็นอะไรเกิดอะไรขึ้นทีนี้เนี่ยเพื่อนของบีเนี่ยก็ให้คุณพ่อเนี่ยนะเค้าเป็นคนนำสวด นั่นเองครับเป็นเพื่อนของบีผมโทรมาแล้วก็บอกให้พวกเราจอดรถท่องคาถาที่เพื่อนบีเนี่ยให้ท่องพร้อมพร้อมกันครับแล้วตอนนั้นเนี่ยพวกเราทั้งห้าคนนะครับผมก็เริ่มงงแล้วว่าเป็นอะไรเกิดอะไรขึ้นทีนี้เนี่ยเพื่อนของบีเนี่ยก็ให้คุณพ่อเนี่ยนะครับเป็นคนนำสวดเท่าที่ผมจำได้ตอนนั้นเนี่ยบทสวดก็เป็นบทสวดธรรมดานี่แหละครับ แต่มันก็จะมีบทที่มันแปลกแปลกก็คือช่วงท้ายนะครับท่องกันไม่นานกับผมประมาณสองถึง 3 นาทีก็เสร็จครับแต่สิ่งที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งหลังจากที่เราท่องเสร็จนะครับทั้งห้าคนเนี่ยได้ยินเสียงกรี๊ดแว่วมาตามลมคือณตอนนั้นเนี่ยทุกคนนะครับก็หันหน้ามองกันแล้วก็ถามกันว่าเฮ้ยได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่าต่างคนก็ต่างบอกว่าได้ยินเหมือนกันแต่ ไม่ได้ยินชัดเจนมันเป็นเสียงที่แว่วมาตามลมนะครับพอเสร็จจากตรงนั้นแล้วตัวผมแล้วก็เพื่อนเพื่อนนะครับผมก็รีบพากันไปส่งบีแล้วผมก็ไปส่งเพื่อนเพื่อนให้ครบทุกคนนะครับส่งถึงบ้านตัวผมเองก็ค่อยกลับบ้านกลับเพราะเรื่องราวนี้มันผ่านไปหลังจากนั้นก็ประมาณหนึ่งวันเพราะตอนเย็นมาผมก็นอนคุยโทรศัพท์กับีเลยครับ คุยกันไปเรื่อยเรื่อยพอสักพักบีก็เลยพูดขึ้นมาว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟังเรื่องเหตุการณ์เมื่อวานคือบีเล่าให้ผมฟังแบบนี้ครับบีก็ถามผมว่าจำได้คุยกันไปเรื่อยเรื่อยพอสักพักบีก็เลยพูดขึ้นมาว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟังเรื่องเหตุการณ์เมื่อวานคือบีเล่าให้ผมฟังแบบนี้ครับบีก็ถามผมว่าจำได้หรือเปล่าตอนที่เราทำเสื้อเธอแน่นแน่นน่ะแล้วเราบอกให้เธอขี่รถไปผมก็เลยบอกจำได้มันมีอะไรเกิดขึ้นหรอทำไมถึงมีปฏิกิริยาแบบนั้น บีก็เลยบอกว่าช่วงที่มีหมาหอนมาไล่ไล่อ่ะบีหันไปมองหมาตัวที่ไล่เราในฝูงหมา นั้นมันจะมีหมาตัวสีดำ นั้นมันจะมีหมาตัวสีดำตัวที่มันใหญ่กว่าเพื่อนกำลังวิ่งไล่อยู่คือบีก็มองได้ประมาณซักประมาณ 10 วิถึง 15 วินี่แหละครับ บีเห็นว่าหมาตัวสีดำบีเห็นว่าหมาตัวสีดำตัวนั้นน่ะมันเริ่มกลายเป็นคนเป็นผู้หญิงครับใสสิ้นสีดำใส่เสื้อสีดำหัวหนียุ่งยุ่งกำลังวิ่งตามไล่รถพวกเราอยู่ ผมก็เลยถามว่ามันจริงหรอบีบีก็เลยบอกว่าเราจะโกหกเธอทำไมผมก็เลยถามว่ามันจริงหรอบีบีก็เลยบอกว่าเราจะโกหกเธอทำไมแล้วทีนี้ครับปีก็ได้พูดอีกเรื่องหนึ่งให้ผมฟังอีกคือตอนที่ตอนที่ไปส่งเพื่อนบีเสร็จแล้วเนี่ยทุกคนจำได้ไหมครับที่คุณพ่อบีเนี่ยมองมาทางเราเนี่ยมองรู้สึกว่ามีอะไรแปลกแปลกในกลุ่มเรานะครับคือเพื่อนของบีเนี่ยเราให้บีฟังว่าคุณพ่อของตัวเพื่อนบีเนี่ยเค้าเป็นหมอทำ บีฟังว่าคุณพ่อของตัวเพื่อนบีเนี่ยเค้าเป็นหมอทำกับหมอทำภาคอีสานนี่ก็คือคล้ายๆเหรอหมอเป่าแบบว่าไม่สบายก็ไปหาแล้วก็เป่าอาการก็จะดีขึ้นอะไรประมาณนี้ คุณพ่อของเพื่อนบีเนี่ยเห็นผู้หญิงนะครับผมที่วิ่งไล่ตามรถพวกเราเนี่ยยืนอยู่ห่างจากกลุ่มพวกเราเนี่ยประมาณสี่ถึงห้าเก้าครับด้วยความเป็นห่วงของผู้ใหญ่นะครับเค้าก็เลยโทรหาเราหลังจากที่เราออกไปจากบ้านเขาประมาณ 10 ถึง 15 นาทีครับเล่าเรื่องราวเนี่ยมันก็เป็นไปตามหลังที่ผมได้พูดให้ฟังตอนแรกนะครับ คือสรุปแล้วเนี่ยคุณพ่อของเพื่อนบีเนี่ยพูดให้ฟังว่าทางมาบ้านของเพื่อนบีเนี่ยมันเป็นทางที่มีทั้งคนเล่นของนะครับมีทั้งคนที่เล่นของของตัวเองเองแล้วก็เป็นปอบคือจริงๆแล้ววันนั้นน่ะมันเป็นวันพระใหญ่ครับพวกคนเล่นของพวกปอบเนี่ยมันก็จะออกมาบางครั้งก็เป็นลมเพลมพัดครับสรุปแล้วเนี่ยถ้าวันนั้นเนี่ยคุณ คุณพ่อของเพื่อนบีถ้าไม่ให้เราสวดมนต์ที่ท่านได้นำ คุณพ่อของเพื่อนบีถ้าไม่ให้เราสวดบทที่ท่านได้นำสวดเราในวันนั้นเนี่ยคนที่ดวงตกที่สุดในกลุ่มเนี่ยอาจจะโดนลมเพลมพัดหรือปลอบเขาก็ได้ครับ สำหรัสำหรับเรื่องก็มีประมาณเท่านี้ครับคำไหนที่ซ้ำซากหรือว่าคำไหนที่อาจจะไม่ถูกต้องผมต้องขออภัยด้วยนะครับแล้วท่านไหนเคยเจอประสบการณ์แบบนี้สามารถแชร์กันได้เลยนะครับขอบคุณครับ