รีวิว :: นั่งรถไฟไปมาเลเซีย เที่ยวปีนัง ต่อตัวลาลัมเปอร์
ตอนที่ 1 ปีนัง

สวัสดีค่ะทุกคน
ทริปนี้ไปมาช่วงวันหยุดยาว 28 ก.ค. – 2 ส.ค.66 ก็...ครึ่งปีแล้ว รีวิวพิมพ์ไม่เสร็จซะที กะจะไม่พิมพ์ต่อเพราะเห็นคนรีวีวเยอะ แต่ก็เสียดายความทรงจำกับรูปที่ถ่ายมา ก็เลยกลับมาพิมพ์ต่อให้จบค่ะ
ทีแรกเลยคิดว่าจะนั่งรถไฟกรุงเทพ – ปาดังเบซาร์ แต่ตั๋วเต็ม เช็คแล้วตั๋วรถไฟลงใต้เหลือแค่ตั๋วนั่งชั้น 3 ด้วยความอยากรู้ว่าการนั่งรถไฟชั้น 3 เกือบ 20 ชั่วโมงเนี่ย มันจะซักแค่ไหนกันว้า ค่าตั๋วไม่ถึงสามร้อย เวลาพอมี ก็ลองดู อย่าฟังแค่จากคนอื่นว่ามันเหนื่อย ไปเหนื่อยเองลองดูซักตั้ง
<< 28 ก.ค.66 >>
เราเดินทางด้วยรถไฟ รถเร็ว ขบวน 171 ออกจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา 13.10 น. คนเยอะสุด มีตั๋วยืนด้วย (มารู้ทีหลังว่าคนที่มีตั๋วยืนเนี่ย ยืนได้เฉพาะชั้น 3) แน่นอนว่าเรานั่งชั้น 3 มีเพื่อนร่วมทางเพียบ
ผ่านสถานีราชบุรี มาทุกครั้งต้องซื้อทุกครั้ง ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ราคา 10 บาท รสชาติใช้ได้(ออกจะหวานไปนิดสำหรับเรา...)

ชานมไข่มุกอีกแก้วนึง ซื้อมาแถวๆ เพชรบุรีล่ะมั้ง วันนี้โควตาอาหารพอแค่นี้ (ไม่อยากเข้าห้องน้ำบนรถไฟ ฮ่าๆๆ)
เช้าวันต่อมา << 29 ส.ค.66 >> สาวสวยที่นั่งฝั่งตรงข้าม นั่งมายาวๆ เหมือนกัน ก็เลยถามว่าจะไปไหน (นั่งตรงข้ามกันมาสิบกว่าชั่วโมงเพิ่งจะคุย) เขาบอกลงลงหาดใหญ่ ถามกันไปมา สรุปจะไปปีนังเหมือนกัน มาถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ราวๆ 7 โมงนิดๆ สรุปว่านั่งรถไฟ 18 ชั่วโมง โดยที่ไม่ได้ลุกไปไหนเลยถามว่าเมื่อยไหม? ก็เมื่อยนะ แต่มันไม่ได้ทรมานจนทนไม่ไหว หรือเหนื่อยขนาดเข็ดแล้ว จะไม่มาแบบนี้อีก...
ลงรถรีบไปซื้อตั๋วรถไฟไปปาดังเบซาร์ ล้างหน้าแปรงฟัน เตรียมขึ้นรถไฟ ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ถึงสถานีปลายทางปาดังเบซาร์(มาเลเซีย) ต่อคิวเข้าไปที่ห้อง ตม. มาคราวนี้คนเยอะ คิวยาวกว่าตอนไปสิงคโปร์เมื่อปลายปี 65 แต่ได้เพื่อนร่วมทางคนใหม่ คือสาวที่นั่งรถไฟตรงข้ามคนนั้นแหละ น้องจะอยู่ปีนังแค่ 1 วัน แล้วจะไปกัวลาลัมเปอร์ต่อเลย ก็เลยคุยกันว่างั้นวันนี้เราไปด้วยกัน (เอ้า ได้เพื่อนเฉย)


หลังจากผ่าน ตม. กับศุลกากร ก็เดินขึ้นชั้นสองไปซื้อตั๋วรถไฟ Komuter ไปบัตเตอร์เวิร์ธ ถึงตอนนี้ไม่ได้กินข้าวมาเกือบ 24 ชั่วโมงแล้ว คือหิวนะ แต่ทั้งเหนื่อยทั้งหิวจนกินไม่ลง (อย่าหาทำนะ เราก็จะไม่ทำอีกแล้วT^T)
ประมาณ 2 ชั่วโมง ถึงสถานีปลายทาง จากตรงนี้เราต้องนั่งเรือเฟอร์รี่เพื่อข้ามไปยังเกาะปีนัง แต่ก่อนอื่น น้องยังไม่ได้แลกเงิน ก็เลยแวะไปแลกเงินที่ห้าง Penang Sentral และกินข้าวมื้อแรกในมาเลเซีย... KFC ที่นี่เขาไม่มีมีด ช้อน ส้อม หลอด เหมือนที่ไทยเน้อ ใช้มือกินโลด


กินข้าวเสร็จ ได้เวลาไปหาที่ขึ้นเรือ เดินตามป้ายออกไป เรือออกทุก 1 ชั่วโมง และระหว่างที่เข้าแถวซื้อตั๋วนั่นแหละ เรือรอบ 16.00 ออกไปแล้ว... รอบต่อไป 17.00 คุยกับน้องว่าเดี๋ยวรอขึ้นคนท้ายๆ ก็ได้ ขี้เกียจไปแย่งเข้าแถว แต่เรือดันเต็มก่อนถึงคิวเราซะงั้น อวสานแก๊งสาวเฉื่อย... ตัดสินใจนั่ง Grab ไปก็ได้วะ
มาถึงจอร์จทาวน์เกาะปีนัง เราที่ไม่อินสตรีทอาร์ต กับน้องที่ไม่ได้หาข้อมูลมา มันก็จะงงๆ กันหน่อย เดินไปเรื่อย บังเอิญเจอสตรีทอาร์ตก็แวะถ่ายบ้าง แล้วก็เดินๆ ไปเจอร้านนี้...

เหมือนเปิดให้ใครก็ได้ลงทะเบียนไปเล่นดนตรีร้องเพลง แล้วก็มีขายน้ำขายขนมนิดหน่อย ไปนั่งฟังเพลง สั่งน้ำคนละแก้ว เจ้าของร้านแถมขนมให้ด้วยคนละห่อ ถามว่ามาจากไหน? (มองหน้าเรา)ไทยแลนด์?? (มองหน้าน้อง)เอ๊ะ หรือเวียดนาม?? ดูๆ ไป ก็จะแอบคิดบ้างแหละ ว่าไอ้สองสาวนี่ไม่น่าจะมาด้วยกันได้เล้ยยย

มีจักรยานสาธารณะด้วย แต่ไม่ได้ศึกษาวิธีใช้มา..
ก่อนแยกย้ายกันวันนี้ ไปกินข้าวเย็น(ตอนดึก) แถวๆ อามาเนียนสตรีท จริงๆ แล้วเรายังติดดีบั๊ฟรถไฟอยู่แหละปวดท้องมาก หิวข้าวนะ แต่ยิ่งเห็นอาหารยิ่งปวดท้อง จนแค่คิดว่าถ้ากินเข้าไปต้องปวดท้องแน่ๆ สุดท้ายจบที่เมนูที่เหมือนก๋วยเตี๋ยว เรียกว่าอะไรแล้วไม่รู้ อร่อย เหมือนข้าวต้มแต่เปลี่ยนจากข้าวเป็นเส้นที่เหมือนเส้นเล็กน้ำซุปก็หอมมากๆ อย่างน้อยก็สบายท้องล่ะ จากนั้นก็แยกย้ายกับเพื่อนใหม่
...ไม่มีรูปแล้ว เพราะเหนื่อยมาก
<< 30 ก.ค.66 >>
วันนี้แพลนไว้ว่าช่วงเช้าจะไปปีนังฮิลล์ แล้วตอนบ่ายจะเดินเล่นในจอร์จทาวน์ เดินจากโฮสเทลไปขึ้นรถเมล์ที่ตึก Komtar หกโมงเช้าแล้วยังมืดอยู่เลย ค่ารถเมล์ไปปีนังฮิลล์คนละ 2 ริงกิต ให้หยอดใส่กล่องตรงคนขับ เตรียมเงินให้พอดีเพราะไม่ทอนเงินน๊า นั่งรถออกเมืองไปซักพักฟ้าสว่างตอนที่เราไปถึงพอดี

ค่ารถรางขึ้นปีนังฮิลล์ไป-กลับ 30 ริงกิต ตอนนั่งรถรางเห็นคนเดินขึ้นด้วย ในอนาคตถ้าได้ไปอีกอยากเดินขึ้นปีนังฮิลล์เหมือนกันนะ พอขึ้นไปถึงข้างบน รู้สึกว่าอากาศเย็นกว่าข้างล่าง ลมพัดเย็นๆ บรรยากาศดีมาก เราซื้อตั๋ว The Habitat ไว้ แต่ต้องรอเปิดตอน 9 โมง มีเวลาเดินสำรวจรอบๆ อยู่หน่อย ข้างบนปีนังฮิลล์นอกจากจุดชมวิวยอดฮิต ยังมีวัดฮินดูด้วยนะ มัสยิดก็มี มีกล้องส่องทางไกลแบบหยอดเหรียญ มีร้านกาแฟที่ราคา…สถานที่ท่องเที่ยว แต่ไปนั่งกินกาแฟชมวิวชิลๆ คุ้มนะ วิวสวยทีเดียว

9 โมง ได้เวลา The Habitat เปิดแล้ว ต้องซื้อตั๋วแยกประมาณ 500 ได้ล่ะมั้ง(ซื้อกับแอพจองตั๋วสีส้มถูกกว่าซื้อหน้างานเน้อ) ที่จริงก่อนจะตัดสินใจซื้อตั๋วคิดอยู่นานเหมือนกันนะ แต่สุดท้ายแล้วคิดว่าดีแล้วแหละที่ซื้อ เป็นเหมือนเส้นทางศึกษาธรรมชาติ มีทางเดินเข้าไปเรื่อยๆ ที่ชอบมากๆ คือสะพานที่สร้างไว้เหนือยอดไม้(canopy walkways) ที่สูงสุดๆ เส้นทางยาวด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนป่าผืนใหญ่





ส่วนทางเดินวงกลม ที่มีเสาแหลมๆ อันนี้ลมเย็นมากก ให้ความรู้สึกต่างจากทางที่เดินผ่านๆ มาเลย

กลับจากปีนังฮิลล์ กินข้าวเที่ยง และได้เวลาเดินเล่นในเมืองแบบไม่มีจุดหมายแล้วววว
เราเดินจากโฮสเทลโดยใช้ถนนเส้นรอบนอกของเมือง เป้าหมายคือทะเลที่อยู่ฝั่งตะวันออกของจอร์จทาวน์ ทะเลตรงนี้ไม่มีชายหาดให้ลงเล่นน้ำ (ถ้าจะเล่นน้ำเหมือนต้องไปทางใต้ของเกาะ) แต่มีทางเดินเลียบทะเล(Esplanade Walkway) ข้างๆ กันจะมีสวนสาธารณะไหมนะ เหมือนสนามหลวงบ้านเรา แต่เล็กกว่า เป็นเหมือนสถานที่พักผ่อนของคนที่นี่ …และแน่นอนว่าคนเยอะมาก นอกจากนั้นบริเวณนี้จะมี City Hall เป็นอาคารสีขาวที่สร้างมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม กับป้อมปืนใหญ่ (Fort Cornwallis) ฐานทัพเรือ ถ้าเดินวนออกไปอีกไม่ไกลก็จะเป็นท่าเรือเฟอร์รี่ข้ามไปบัตเตอร์เวิร์ธ
เราเดินวนถนนเส้นนอกไปเรื่อยๆ แวะกินมะพร้าวอ่อนที่ร้านคุณตาใกล้ๆ กับท่ารถเมล์ แวะไปที่ Chew Jetty ท่าเรือ หมู่บ้านชาวประมง ที่ขายของฝาก ส่วนตัวคิดว่าที่นี่ก็คล้ายๆ กับท่าเรือบางเบ้าที่เกาะช้างนั่นแหละ(ท่าเรือหมู่บ้านชาวประมง มีของฝากขาย มีจุดชมวิว อารมณ์เดียวกันแหละ) คนที่นี่เป็นเชื้อสายจีน ตอนซื้อของฝากเราลองไปคุยกับคนขายเป็นภาษาจีน ภาษาที่เรียนโดยการอ่านหนังสือเองงูๆ ปลาๆ ก็เอามาใช้ได้อยู่น๊า
หนึ่งในประสบการณ์ที่อยู่ในความทรงจำ ได้เข้าไปดูในมัสยิด อยากเข้าไปดูมาตั้งแต่เด็กเลยนะ แต่เราเป็นเด็กขี้กลัว กลัวเข้าไปแล้วไปทำอะไรผิดหลักศาสนาอื่น หรือไปทำในสิ่งที่เขาไม่โอเค เพราะเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศานาเขา ก็เลยไม่เคยกล้าเข้าเลย หกโมงกว่าๆ เวลามาเลเซีย เดินผ่านหน้ามัสยิด Kapitan Kelling มองไปเห็นป้ายที่อยู่ทางเข้าเขาบอกว่ายินดีต้อนรับทุกคนที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมมาเยี่ยมชมได้ แต่ขอให้แต่งตัวสุภาพตามหลักศาสนาเรานะ ประมาณนั้นแหละเลี้ยวเข้าทันที
ตอนที่เราเข้าไปไม่มีนักท่องเที่ยว แต่มีลุงสองคนเหมือนผู้ดูแลอ่ะ เขาออกมาหา ยิ้มแย้ม แต่ไม่พูดภาษาอังกฤษฮ่าๆๆๆๆๆ ทีนี้ได้เวลาคุยภาษามือล่ะ เขาพาไปเอาชุดคลุมยาวแบบมีฮู้ด (ไม่ต้องเช่านะ ฟรี) แล้วก็ทำท่าทางบอกว่าเดินถ่ายรูปได้ ไปถ่ายรูปได้เลย จากที่อ่านตรงทางเข้ามา นี่เป็นมัสยิดแห่งแรกของจอร์จทาวน์
สถานีต่อไปสตรีทฟู้ดที่ร่ำลือ (คนละที่กับที่ไปเมื่อวานนะ) เทียบกับไทยแลนด์แดนสตรีทฟู้ดยังไม่ได้ จนถึงวันนี้ดีบั๊ฟรถไฟก็ยังไม่หาย และเราไม่ใช่สายล่าสตรีทฟู้ด เดินดูครบก็ไปซื้อน้ำผลไม้กับขนมปังกลับไปกินที่โฮสเทลT^T
สิ่งหนึ่งของที่ๆ ขายของข้างทางได้คือถนนสกปรก ต่อให้เก็บร้านแล้ว คราบน้ำมันต่างๆ ก็ยังมีร่องรอยอยู่แหละส่วนนี้ไม่ต่างกันเลยทั้งกรุงเทพฯ ทั้งปีนัง
รวมวันที่ 2 ในมาเลเซีย เดินไป 19.9 กิโล (ตอนที่เห็นคืออยากจะกระโดดลงเตียงไปเดินให้มันครบ 20 กิโลจริงๆ ให้ตาย)
>>>>>>>>>ตัวอักษรเกิน เดี๋ยวเอารูปจากปีนังที่เหลือไว้ที่เม้นต์ข้างค่ะ
>>พาร์ทของกัวลาลัมเปอร์จะต่ออีกกระทู้นึงนะคะ ถ้าเสร็จจะเอาลิงค์มาแปะค่ะ<<
[CR] รีวิว :: นั่งรถไฟไปมาเลเซีย เที่ยวปีนัง ต่อกัวลาลัมเปอร์ << part 1 ปีนัง>>
1. รีวิว [วิธีนั่งรถไฟจากไทย ไปสิงคโปร์] https://pantip.com/topic/42191855 เผื่อใครหาวิธีนั่งรถไฟแบบละเอียดๆค่ะ
สวัสดีค่ะทุกคน
ทริปนี้ไปมาช่วงวันหยุดยาว 28 ก.ค. – 2 ส.ค.66 ก็...ครึ่งปีแล้ว รีวิวพิมพ์ไม่เสร็จซะที กะจะไม่พิมพ์ต่อเพราะเห็นคนรีวีวเยอะ แต่ก็เสียดายความทรงจำกับรูปที่ถ่ายมา ก็เลยกลับมาพิมพ์ต่อให้จบค่ะ
ทีแรกเลยคิดว่าจะนั่งรถไฟกรุงเทพ – ปาดังเบซาร์ แต่ตั๋วเต็ม เช็คแล้วตั๋วรถไฟลงใต้เหลือแค่ตั๋วนั่งชั้น 3 ด้วยความอยากรู้ว่าการนั่งรถไฟชั้น 3 เกือบ 20 ชั่วโมงเนี่ย มันจะซักแค่ไหนกันว้า ค่าตั๋วไม่ถึงสามร้อย เวลาพอมี ก็ลองดู อย่าฟังแค่จากคนอื่นว่ามันเหนื่อย ไปเหนื่อยเองลองดูซักตั้ง
<< 28 ก.ค.66 >>
เราเดินทางด้วยรถไฟ รถเร็ว ขบวน 171 ออกจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เวลา 13.10 น. คนเยอะสุด มีตั๋วยืนด้วย (มารู้ทีหลังว่าคนที่มีตั๋วยืนเนี่ย ยืนได้เฉพาะชั้น 3) แน่นอนว่าเรานั่งชั้น 3 มีเพื่อนร่วมทางเพียบ
ผ่านสถานีราชบุรี มาทุกครั้งต้องซื้อทุกครั้ง ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ราคา 10 บาท รสชาติใช้ได้(ออกจะหวานไปนิดสำหรับเรา...)
ชานมไข่มุกอีกแก้วนึง ซื้อมาแถวๆ เพชรบุรีล่ะมั้ง วันนี้โควตาอาหารพอแค่นี้ (ไม่อยากเข้าห้องน้ำบนรถไฟ ฮ่าๆๆ)
เช้าวันต่อมา << 29 ส.ค.66 >> สาวสวยที่นั่งฝั่งตรงข้าม นั่งมายาวๆ เหมือนกัน ก็เลยถามว่าจะไปไหน (นั่งตรงข้ามกันมาสิบกว่าชั่วโมงเพิ่งจะคุย) เขาบอกลงลงหาดใหญ่ ถามกันไปมา สรุปจะไปปีนังเหมือนกัน มาถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ราวๆ 7 โมงนิดๆ สรุปว่านั่งรถไฟ 18 ชั่วโมง โดยที่ไม่ได้ลุกไปไหนเลยถามว่าเมื่อยไหม? ก็เมื่อยนะ แต่มันไม่ได้ทรมานจนทนไม่ไหว หรือเหนื่อยขนาดเข็ดแล้ว จะไม่มาแบบนี้อีก...
ลงรถรีบไปซื้อตั๋วรถไฟไปปาดังเบซาร์ ล้างหน้าแปรงฟัน เตรียมขึ้นรถไฟ ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ถึงสถานีปลายทางปาดังเบซาร์(มาเลเซีย) ต่อคิวเข้าไปที่ห้อง ตม. มาคราวนี้คนเยอะ คิวยาวกว่าตอนไปสิงคโปร์เมื่อปลายปี 65 แต่ได้เพื่อนร่วมทางคนใหม่ คือสาวที่นั่งรถไฟตรงข้ามคนนั้นแหละ น้องจะอยู่ปีนังแค่ 1 วัน แล้วจะไปกัวลาลัมเปอร์ต่อเลย ก็เลยคุยกันว่างั้นวันนี้เราไปด้วยกัน (เอ้า ได้เพื่อนเฉย)
หลังจากผ่าน ตม. กับศุลกากร ก็เดินขึ้นชั้นสองไปซื้อตั๋วรถไฟ Komuter ไปบัตเตอร์เวิร์ธ ถึงตอนนี้ไม่ได้กินข้าวมาเกือบ 24 ชั่วโมงแล้ว คือหิวนะ แต่ทั้งเหนื่อยทั้งหิวจนกินไม่ลง (อย่าหาทำนะ เราก็จะไม่ทำอีกแล้วT^T)
ประมาณ 2 ชั่วโมง ถึงสถานีปลายทาง จากตรงนี้เราต้องนั่งเรือเฟอร์รี่เพื่อข้ามไปยังเกาะปีนัง แต่ก่อนอื่น น้องยังไม่ได้แลกเงิน ก็เลยแวะไปแลกเงินที่ห้าง Penang Sentral และกินข้าวมื้อแรกในมาเลเซีย... KFC ที่นี่เขาไม่มีมีด ช้อน ส้อม หลอด เหมือนที่ไทยเน้อ ใช้มือกินโลด
กินข้าวเสร็จ ได้เวลาไปหาที่ขึ้นเรือ เดินตามป้ายออกไป เรือออกทุก 1 ชั่วโมง และระหว่างที่เข้าแถวซื้อตั๋วนั่นแหละ เรือรอบ 16.00 ออกไปแล้ว... รอบต่อไป 17.00 คุยกับน้องว่าเดี๋ยวรอขึ้นคนท้ายๆ ก็ได้ ขี้เกียจไปแย่งเข้าแถว แต่เรือดันเต็มก่อนถึงคิวเราซะงั้น อวสานแก๊งสาวเฉื่อย... ตัดสินใจนั่ง Grab ไปก็ได้วะ
มาถึงจอร์จทาวน์เกาะปีนัง เราที่ไม่อินสตรีทอาร์ต กับน้องที่ไม่ได้หาข้อมูลมา มันก็จะงงๆ กันหน่อย เดินไปเรื่อย บังเอิญเจอสตรีทอาร์ตก็แวะถ่ายบ้าง แล้วก็เดินๆ ไปเจอร้านนี้...
เหมือนเปิดให้ใครก็ได้ลงทะเบียนไปเล่นดนตรีร้องเพลง แล้วก็มีขายน้ำขายขนมนิดหน่อย ไปนั่งฟังเพลง สั่งน้ำคนละแก้ว เจ้าของร้านแถมขนมให้ด้วยคนละห่อ ถามว่ามาจากไหน? (มองหน้าเรา)ไทยแลนด์?? (มองหน้าน้อง)เอ๊ะ หรือเวียดนาม?? ดูๆ ไป ก็จะแอบคิดบ้างแหละ ว่าไอ้สองสาวนี่ไม่น่าจะมาด้วยกันได้เล้ยยย
มีจักรยานสาธารณะด้วย แต่ไม่ได้ศึกษาวิธีใช้มา..
ก่อนแยกย้ายกันวันนี้ ไปกินข้าวเย็น(ตอนดึก) แถวๆ อามาเนียนสตรีท จริงๆ แล้วเรายังติดดีบั๊ฟรถไฟอยู่แหละปวดท้องมาก หิวข้าวนะ แต่ยิ่งเห็นอาหารยิ่งปวดท้อง จนแค่คิดว่าถ้ากินเข้าไปต้องปวดท้องแน่ๆ สุดท้ายจบที่เมนูที่เหมือนก๋วยเตี๋ยว เรียกว่าอะไรแล้วไม่รู้ อร่อย เหมือนข้าวต้มแต่เปลี่ยนจากข้าวเป็นเส้นที่เหมือนเส้นเล็กน้ำซุปก็หอมมากๆ อย่างน้อยก็สบายท้องล่ะ จากนั้นก็แยกย้ายกับเพื่อนใหม่
...ไม่มีรูปแล้ว เพราะเหนื่อยมาก
<< 30 ก.ค.66 >>
วันนี้แพลนไว้ว่าช่วงเช้าจะไปปีนังฮิลล์ แล้วตอนบ่ายจะเดินเล่นในจอร์จทาวน์ เดินจากโฮสเทลไปขึ้นรถเมล์ที่ตึก Komtar หกโมงเช้าแล้วยังมืดอยู่เลย ค่ารถเมล์ไปปีนังฮิลล์คนละ 2 ริงกิต ให้หยอดใส่กล่องตรงคนขับ เตรียมเงินให้พอดีเพราะไม่ทอนเงินน๊า นั่งรถออกเมืองไปซักพักฟ้าสว่างตอนที่เราไปถึงพอดี
ค่ารถรางขึ้นปีนังฮิลล์ไป-กลับ 30 ริงกิต ตอนนั่งรถรางเห็นคนเดินขึ้นด้วย ในอนาคตถ้าได้ไปอีกอยากเดินขึ้นปีนังฮิลล์เหมือนกันนะ พอขึ้นไปถึงข้างบน รู้สึกว่าอากาศเย็นกว่าข้างล่าง ลมพัดเย็นๆ บรรยากาศดีมาก เราซื้อตั๋ว The Habitat ไว้ แต่ต้องรอเปิดตอน 9 โมง มีเวลาเดินสำรวจรอบๆ อยู่หน่อย ข้างบนปีนังฮิลล์นอกจากจุดชมวิวยอดฮิต ยังมีวัดฮินดูด้วยนะ มัสยิดก็มี มีกล้องส่องทางไกลแบบหยอดเหรียญ มีร้านกาแฟที่ราคา…สถานที่ท่องเที่ยว แต่ไปนั่งกินกาแฟชมวิวชิลๆ คุ้มนะ วิวสวยทีเดียว
9 โมง ได้เวลา The Habitat เปิดแล้ว ต้องซื้อตั๋วแยกประมาณ 500 ได้ล่ะมั้ง(ซื้อกับแอพจองตั๋วสีส้มถูกกว่าซื้อหน้างานเน้อ) ที่จริงก่อนจะตัดสินใจซื้อตั๋วคิดอยู่นานเหมือนกันนะ แต่สุดท้ายแล้วคิดว่าดีแล้วแหละที่ซื้อ เป็นเหมือนเส้นทางศึกษาธรรมชาติ มีทางเดินเข้าไปเรื่อยๆ ที่ชอบมากๆ คือสะพานที่สร้างไว้เหนือยอดไม้(canopy walkways) ที่สูงสุดๆ เส้นทางยาวด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนป่าผืนใหญ่
ส่วนทางเดินวงกลม ที่มีเสาแหลมๆ อันนี้ลมเย็นมากก ให้ความรู้สึกต่างจากทางที่เดินผ่านๆ มาเลย
กลับจากปีนังฮิลล์ กินข้าวเที่ยง และได้เวลาเดินเล่นในเมืองแบบไม่มีจุดหมายแล้วววว
เราเดินจากโฮสเทลโดยใช้ถนนเส้นรอบนอกของเมือง เป้าหมายคือทะเลที่อยู่ฝั่งตะวันออกของจอร์จทาวน์ ทะเลตรงนี้ไม่มีชายหาดให้ลงเล่นน้ำ (ถ้าจะเล่นน้ำเหมือนต้องไปทางใต้ของเกาะ) แต่มีทางเดินเลียบทะเล(Esplanade Walkway) ข้างๆ กันจะมีสวนสาธารณะไหมนะ เหมือนสนามหลวงบ้านเรา แต่เล็กกว่า เป็นเหมือนสถานที่พักผ่อนของคนที่นี่ …และแน่นอนว่าคนเยอะมาก นอกจากนั้นบริเวณนี้จะมี City Hall เป็นอาคารสีขาวที่สร้างมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม กับป้อมปืนใหญ่ (Fort Cornwallis) ฐานทัพเรือ ถ้าเดินวนออกไปอีกไม่ไกลก็จะเป็นท่าเรือเฟอร์รี่ข้ามไปบัตเตอร์เวิร์ธ
เราเดินวนถนนเส้นนอกไปเรื่อยๆ แวะกินมะพร้าวอ่อนที่ร้านคุณตาใกล้ๆ กับท่ารถเมล์ แวะไปที่ Chew Jetty ท่าเรือ หมู่บ้านชาวประมง ที่ขายของฝาก ส่วนตัวคิดว่าที่นี่ก็คล้ายๆ กับท่าเรือบางเบ้าที่เกาะช้างนั่นแหละ(ท่าเรือหมู่บ้านชาวประมง มีของฝากขาย มีจุดชมวิว อารมณ์เดียวกันแหละ) คนที่นี่เป็นเชื้อสายจีน ตอนซื้อของฝากเราลองไปคุยกับคนขายเป็นภาษาจีน ภาษาที่เรียนโดยการอ่านหนังสือเองงูๆ ปลาๆ ก็เอามาใช้ได้อยู่น๊า
หนึ่งในประสบการณ์ที่อยู่ในความทรงจำ ได้เข้าไปดูในมัสยิด อยากเข้าไปดูมาตั้งแต่เด็กเลยนะ แต่เราเป็นเด็กขี้กลัว กลัวเข้าไปแล้วไปทำอะไรผิดหลักศาสนาอื่น หรือไปทำในสิ่งที่เขาไม่โอเค เพราะเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศานาเขา ก็เลยไม่เคยกล้าเข้าเลย หกโมงกว่าๆ เวลามาเลเซีย เดินผ่านหน้ามัสยิด Kapitan Kelling มองไปเห็นป้ายที่อยู่ทางเข้าเขาบอกว่ายินดีต้อนรับทุกคนที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมมาเยี่ยมชมได้ แต่ขอให้แต่งตัวสุภาพตามหลักศาสนาเรานะ ประมาณนั้นแหละเลี้ยวเข้าทันที
ตอนที่เราเข้าไปไม่มีนักท่องเที่ยว แต่มีลุงสองคนเหมือนผู้ดูแลอ่ะ เขาออกมาหา ยิ้มแย้ม แต่ไม่พูดภาษาอังกฤษฮ่าๆๆๆๆๆ ทีนี้ได้เวลาคุยภาษามือล่ะ เขาพาไปเอาชุดคลุมยาวแบบมีฮู้ด (ไม่ต้องเช่านะ ฟรี) แล้วก็ทำท่าทางบอกว่าเดินถ่ายรูปได้ ไปถ่ายรูปได้เลย จากที่อ่านตรงทางเข้ามา นี่เป็นมัสยิดแห่งแรกของจอร์จทาวน์
สถานีต่อไปสตรีทฟู้ดที่ร่ำลือ (คนละที่กับที่ไปเมื่อวานนะ) เทียบกับไทยแลนด์แดนสตรีทฟู้ดยังไม่ได้ จนถึงวันนี้ดีบั๊ฟรถไฟก็ยังไม่หาย และเราไม่ใช่สายล่าสตรีทฟู้ด เดินดูครบก็ไปซื้อน้ำผลไม้กับขนมปังกลับไปกินที่โฮสเทลT^T
สิ่งหนึ่งของที่ๆ ขายของข้างทางได้คือถนนสกปรก ต่อให้เก็บร้านแล้ว คราบน้ำมันต่างๆ ก็ยังมีร่องรอยอยู่แหละส่วนนี้ไม่ต่างกันเลยทั้งกรุงเทพฯ ทั้งปีนัง
รวมวันที่ 2 ในมาเลเซีย เดินไป 19.9 กิโล (ตอนที่เห็นคืออยากจะกระโดดลงเตียงไปเดินให้มันครบ 20 กิโลจริงๆ ให้ตาย)
>>>>>>>>>ตัวอักษรเกิน เดี๋ยวเอารูปจากปีนังที่เหลือไว้ที่เม้นต์ข้างค่ะ
>>พาร์ทของกัวลาลัมเปอร์จะต่ออีกกระทู้นึงนะคะ ถ้าเสร็จจะเอาลิงค์มาแปะค่ะ<<
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้