[CR] ์No.82 Solids By The Seashore ทะเลของฉัน มีคลื่นเล็กน้อย ถึงปานกลาง : มีเธอกับฉัน ร่วมกัน Save ทะเลใจของ 2 เรา


- หลังจากดูจบความรู้สึกอย่างแรกคือ ชอบมาก ภาพสวย ประทับใจการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายแต่ละมุน เป็นกันเอง มีความนามธรรมค่อนข้างสูงแต่พอจับต้องได้อยู่เมื่อหนังมีเรื่องของพหุวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นที่รองรับ Plotหลักเลยเข้าถึงได้อยู่ และ ดื่มด่ำไปกับการถ่ายภาพตรงฉากคลื่นทะเลสีเขียวมรกตที่ค่อย ๆ ซัดเข้าฝั่งที่ตั้งเป็นแนวกั้นด้วยกองหินบนหาดจากนั้นภาพก็ตัดฉากไปที่มีเส้นของตัวหาดที่เป็นทางเดินเป็นเส้นเล็ก ๆ โดยมีกองหินกั้นทางน้ำทะเล ด้วยวิธีการถ่ายจากมุมสูงอีกทีเห็นแล้ว Amazing ในความตั้งใจของผู้กำกับและทีมงานมากที่กว่ารังสรรคภาพออกมาแต่ละเฟรมให้เราได้ดูนั้นจะต้องเจออุปสรรคมากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่าสภาพอากาศคือปัญหาหลักอันดับแรกที่ต้องจัดการ แล้วพอมีเสียงคลื่นทะเลตอนกระทบฝั่งที่แอบนึกถึงตอนดู Oppenheimer (2023) ในช่วงนับถอยหลังจะปล่อยนิวเคลียร์ยังไงยังงั้น เอาจริงทั้งภาพและเสียงกระหึ่มที่ผมพรรณนาไปเหมาะแก่การฉายในระบบ i-max อยู่นะ

- ขณะเดียวกันการเล่าเรื่องแบบนี้มีความ Balance ระหว่างความเป็นส่วนตัวแบบงานอาร์ตกับความเป็นหนังเชิงทดลอง Thesis ตีคู่กันแต่พอนำมาหาสูตร บวก ลบ คูณ หาร แล้วปรากฎว่าดูง่าย ย่อยง่าย เพราะความที่มีฉากหลังเป็นเมืองสงขลาจึงทำให้บริบทต่าง ๆ ทั้งวิถีชีวิต , สังคม , สภาพแวดล้อม หรือตัววัฒนธรรมที่แฝงในท้องถิ่นเป็นสิ่งที่เราอยู่กับมันมาตั้งแต่เกิด ถึงแม้จะมีบางอย่างเราจะไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงในแง่ของพหุวัฒนธรรมที่แตกแขนงตามชุมชนหรือภาษาถิ่นเป็นเครือข่ายแล้วบางที่เขาก็มีการสร้างวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ของเขาเองอีกที ซึ่งตรงส่วนนี้มันเป็น Signature ทางภูมิปัญญาที่ซ่อนเร้นในสังคมแล้วมี Details ปลีกย่อยที่ซับซ้อนไปตามฐานโครงสร้างทางสังคมที่เราต้องลงพื้นที่ไปศึกษาและสัมผัสด้วยตนเองจริง ๆ ถึงจะเห็นภาพเหล่านี้ชัดเจน

- ชอบอย่างที่ 2 คือ Sounds ประกอบที่ใส่เข้ามาเป็นระยะแทบไม่เว้นช่วงให้หายคิดถึงแถมมีหลาย Score ให้ฟังเกือบเป็นอัลบั้มเหมือนกับเรื่อง Perfect Days (2023) ช่วยทำให้การเล่าเรื่องมีชีวิตชีวาราวกับคลื่นทะเลกระทบฝั่งอย่างเป็นจังหวะแล้วยังช่วยตัดความเงียบของบรรยากาศของการพักผ่อนชมนกดูไม้ที่ไม่พาเราหลุดสติออกจากร่างตามสไตล์หนังแนวนี้ที่ชวนให้พาไปแบบนั้นซะส่วนใหญ่ นอกจากแต่ละ Score มีความต่างทาง Melody แล้วยังช่วยสื่อถึงความรู้สึกถึง Moment  ของบรรยากาศขณะนั้นให้เราสัมผัสถึงมวลสารได้โดยไม่มีตัวละครปรากฎหรือบทพูดใด ๆ

- ระหว่างทางในหนังมีการ Service คนดูด้วยการใส่สถานที่ที่เคยไป เคยผ่าน และ ไม่เคยไป อย่างเช่น ร้าน  A.E.Y Space ที่เป็น Location หลักในเรื่อง สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่าง หาดชลาทัศน์ , เขาตังกวน และ สะพานที่ตั้งอยู่ตรงไหนไม่ทราบชัด รวมถึงพิพิธภัณฑ์หอยสังข์ร้างที่เคยเห็นแต่ในสื่อ Social ดูไปอารมณ์เหมือนดูรายการพาเที่ยวสถานที่ Unseen ที่แม้แต่คนพื้นที่อย่างเราก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีสถานที่แห่งนี้ด้วย กระทั่งในย่านถนนนางงามช่วงกลางคืนที่เราไม่ค่อยเห็นในมุมนี้ท่าไหร่ ปกติภาพจำจะเป็นย่าน Street ที่ครึกครื้นด้วยผู้คน , แสงสีเสียงของงานตามเทศกาล , ภาพวาด หรือของกินให้แก่นักท่องเที่ยวและคนละแวกใกล้ ๆ ได้มาแวะเวียนเยี่ยมเยือนกัน ก็เลยรู้สึกว่าตื่นตาตื่นใจจนคิดที่อยากจะไปเยือนดูกับตาสักที

- ชอบอย่างสุดท้ายคือ การแสดงของ 2 สาว ชาตีกับฝน แสดง Character ความสัมพันธ์แบบก้าวกระโดดจากคนต่างถิ่นที่เพิ่งรู้จักจนมาเป็นเพื่อนและก้าวไปสู่ความสัมพันธ์แบบ LTGBQ อย่างค่อยเป็นค่อยไปภายใต้ความต่างทางศาสนา แต่จูนติดกับความรู้สึกของเราให้มีอารมณ์ร่วมตามได้อย่างเร็วและละเมียดละไม ให้ระดับพอดีที่ไม่น้อยและไม่ล้นเกินเหตุ แค่เปิดเรื่องมาตอนที่ฝนเจอกับชาตีครั้งแรกเราสัมผัสได้ถึงเคมีของคู่นี้ว่ามันดีต่อใจจนผู้ชายอย่างเรารู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะมีข้อสังเกตุบ้างตรงที่ทำไมตัว ชาตี เป็นคนใต้แต่ทำไมไม่พูดภาษาใต้จนแอบเอียงว่าไม่ตรงปกของความเป็นคนใต้ แต่สำหรับผมไม่ติดใจในส่วนนี้ เพราะมันมีเหตุผลรองรับคือ มีคนใต้แท้ก็พูดภาษาใต้ไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกหรือใหญ่โตอะไร ผมโฟกัสที่วิธีการเล่าเรื่องกับบทมากกว่า แน่นอนว่าฉากหลังเป็นเมืองสงขลาก็ต้องแสดงความเป็นพหุวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นตัวชูร่วมทำให้ปมที่นำเสนอมาส่วนใหญ่จะเทไปที่ตัวละครชาตีที่เป็นคนในพื้นที่มากกว่าตัวฝนที่เป็นคนต่างถิ่น เราจึงเห็นเรื่องส่วนตัวของชาตีถูกถ่ายทอดออกมาโดยมี พ่อแม่ของชาตี , เพื่อนสาว 2 คนของชาตี, แฟนหนุ่มคู่หมั้นของเธอ และตัวโต๊ะ คุณย่าของเธอที่เป็น Keywords สำคัญแวะเวียนเป็นระยะขับเคลื่อนให้ตัวของชาติมีทิศทางที่ Run ต่อไป แม้ว่าการเล่าเรื่องที่เรียบง่าย ไหลไปข้างหน้าแบบนี้จะเร่งพาเราเรียกร้องหาชุดที่นอนโต้เต้อยู่หรอมหร่อ ขณะเดียวกันก็ยังมีพื้นที่บางช่วงให้เล่นปมของตัวฝนด้วยแต่มาในลักษณะของการพูดคุยและใช้ภาพถ่ายและงานศิลปะเป็นสัญญะให้เรานึกตามจนกระทั่งมาถึง Scene ที่ฝนเปิดนิทรรศการโชว์งานศิลป์ของเธอแล้วมีบุคคลปริศนาโผล่เข้ามาข้าง ๆ ฝนเท่านั้นแหล่ะผมนี้เข้าใจในตัวของฝนที่พรรณนามาตั้งแต่แรกจนหายข้องใจทันที

- เพิ่มเติมอีกหน่อยคืออยากให้เพิ่มปมของตัวฝนมากกว่านี้อีกนิดนึงเหมือนว่าเรายังไม่รู้จักตัวตนของฝนดีพอ และ ปมของชาตีที่นำเสนอแต่ละอย่าง เช่น การถุกพ่อแม่คลุมถุงชนด้วยการแต่งงานกับคู่หมั้นที่เธอคิดแค่พี่ชาย รู้สึกว่าถูกโยนไปข้างทางในช่วงท้าย ๆ แล้วถูกกลืนไปกับภาพคลื่นทะเลไปหน่อย และ ฉากเธอกับฉันของชาตีกับฝนที่นั่งบนชายหาดที่ให้ Feel อารมณ์ Music Video ที่มีกลิ่นอาย Bossa Blossom ชวน Romance จาง ๆ ไม่พอยังมีการใส่ความเป็น Sci-Fi ลงไปจนเรานึกถึงหนังแนว Post -Apocalypse ขึ้นมาในหัวชั่วครู่ ยังดีที่ช่วงท้ายสุด ๆ มีกลับไปพูดถึงปมของชาตีอีกครั้ง รวมถึงการเล่นประเด็นปัญหาท้องถิ่นที่เกิดขึ้นอย่างการขุดหาดเพื่อสร้างแนวกั้นคลื่นทะเลที่เราเคยเห็นจากข่าวในโลก Social ที่มีการพูดถึงเป็นระยะแต่มาในรูปแบบของการซ้อนทับ Timeline ในหนังอีกทีแล้วช่วงนั้นก็มีการจัดงานโชว์ศิลปะที่ร้าน  A.E.Y Space ของคุณเอ๋ ปกรณ์ ที่เป็นเจ้าของร้านและร่วมแสดงด้วยพอดี มันเลยมีความเป็นกึ่ง ๆ Documentary ที่ดูสมจริงและทันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ถึงหนังจะไม่ได้สรุปตายตัวทุกอย่างที่เราพอรู้อยู่แล้วว่าหนังแนวนี้แต่อย่างน้อยการใช้เพลงประกอบหนังที่ขับร้องโดยคุณเล็ก Greasy Cafe ก็เป็นการปลอบใจให้เราทิ้งปัญหาที่คิดไม่ตกทุกอย่างแล้วเอนตัวลงนอนบนหาดทรายแล้วมองดูทะเลที่กำลังซัดเข้ามาและดูดกลับไปในวันว่าง ๆ สบาย ๆ ในยามอาทิตย์ตกดินแค่นั้นก็เพียงพอที่จะ Heel ใจแล้ว

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ  Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่