เซย์ดู และมูซา วัยรุ่นชาวเซเนกัล 2 คน ตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองดาการ์บ้านเกิด
โดยมีเป้าหมายเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศอิตาลีเพื่อหลีกหนีความยากจน โดยทั้งคู่หวังจะมีชีวิตที่ดีขึ้นเมื่อไปยังทวีปยุโรป
ทั้ง 2 พยายามทำงานรับจ้างใช้แรงงานแลกกับค่าแรงโดยเอาไว้เพื่อเป็นทุนรอนสำหรับเดินทาง
แม่ของเซย์ดูไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาดที่จะให้ตัวเขาไปเผชิญโชคที่ยุโรป แต่ตัวเขาและมูซา ก็แอบหนีจากบ้านในคืนวันหนึ่ง...
พวกเขาเสียเงินทำหนังสือเดินทางปลอมเป็นชาวมาลี เดินทางด้วยรถ จากนั้นก็เดินเท้าข้ามทะเลทรายอันกว้างใหญ่
ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่เลวร้าย
แต่นั่นไม่น่ากลัวเท่ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง.. กลุ่มโจร.. คนด้วยกันเองนี่ล่ะน่ากลัวที่สุด
Io capitano เป็นภาพยนตร์ดราม่าสัญชาติอิตาลีปี 2023 เขียนบทและกำกับโดย Matteo Garrone
เจ้าของผลงานที่เข้าชิงออสการ์มาแล้ว 2 สาขาในปีผ่านมา (Best Costume Design และ Best Makeup and Hairstyling) กับเรื่อง Pinocchio
และในเรื่องนี้ มัตเตโอ ก็ยังพาหนังของเขาเข้าชิงในเวทีทรงเกียรตินี้อีกครั้งในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
ซึ่งก็เหมาะสมอย่างยิ่งจริงๆครับ (คู่แข่งสำคัญคือ Perfect Days และ The Zone of Interest)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงจากเส้นทางของผู้อพยพที่มาจากแอฟริกา เดินทางไปยังยุโรป
ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นปัญหาสังคมอยู่ในปัจจุบัน โดย มัตเตโอ นำเสนอผ่านตัวละคร 2 คนนั่นก็คือ เซย์ดูและมูซา
วัยรุ่นชาวเซเนกัลที่มีความฝันว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้หากพวกเขาข้ามฝั่งไปยังยุโรปได้ และแน่นอนว่าอิตาลีคือจุดหมายที่ใกล้ที่สุดแล้ว
แต่เส้นทางสายนี้มันยากเย็นแสนเข็ญนัก ทุกอย่างไม่ได้ดูง่ายดายและสวยหรูเหมือนอย่างที่ทั้งคู่ฝันไว้ในตอนแรก
และมันก็ทำให้เราได้ลุ้นเอาใจช่วยตามว่าทั้งคู่จะรอดไปถึงอีกฝั่งได้หรือไม่..
ถึงแม้โปสเตอร์จะเน้นที่ทะเลทราย แต่คำว่า Io capitano นั้น แปลว่า ฉันคือกัปตัน..
ตอนแรกผมก็งงว่าทำไมเขาถึงให้ชื่อนี้หว่า.. พอดูหนังแล้วจึงเข้าใจ เพราะช่วงท้ายของหนังนั่นล่ะ
จึงเป็นการบ่งบอกถึงความหมายทั้งหมดของชื่อหนังเรื่องนี้
นักแสดงหลักทุกคนไม่ใช่นักแสดงอาชีพ แต่อินเนอร์ทุกอย่างมาเต็ม ยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือมีมากขึ้น..
งานภาพก็สวยมาก ด้วยภูมิประเทศในแถบแอฟริกาที่ถ่ายทอดออกมาผ่านแผ่นฟิล์ม
แน่นอนว่าสวยในสายตาคนดูอย่างเรา แต่พลังแห่งธรรมชาตินั้นก็น่ากลัวเสมอเช่นกัน หากเราไปอยู่ในจุดๆนั้นจริงๆ..
ปัญหาผู้อพยพจากแอฟริกามุ่งหน้าสู่ยุโรปเป็นปัญหาเรื้อรังที่มีมายาวนาน ทุกปีมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในการเดินทางที่โหดร้าย
แต่ทุกคนก็ยังหวังที่จะเดินหน้าต่อไปด้วยความหวังว่าจะไปตายเอาดาบหน้า หลีกหนีจากสิ่งที่เป็นอยู่เพื่อหวังถึงอนาคตที่ดีกว่า
แม้ว่าตัวเองจะยังมองไม่เห็นเจ้าอนาคตที่ว่านั่นก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากนะครับ
ผมลองดูว่าพวกเขาเดินทางด้วยระยะทางเท่าไหร่ โดยในเรื่องสตาร์ตที่ดาการ์ เซเนกัล ไปจบที่ทริโปลี ของลิเบีย
นั่นเท่ากับ 6,300 กิโลเมตร พระเจ้าช่วย .. นี่เพียงแค่บนแผ่นดินเท่านั้น เพราะถ้าอยากไปยุโรป คุณต้องข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเท่านั้น
อีกกว่า 600-700 ไมล์ทะเล เลี่ยงไม่ได้เด็ดขาด .. นั่นจึงนำไปสู่ความโกลาหลส่งต่อไปยังอุปสรรคสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้
ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลัง และทำให้ Io capitano ยิ่งใหญ่อย่างมากที่สุด
และสมศักดิ์ศรีหนังที่ได้เข้าชิงออสการ์อย่างแท้จริงครับ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Io capitano (2023) ฉันนี่ล่ะ.. คือกัปตัน!!! (ฝ่านรก 7,000 km.)==
เซย์ดู และมูซา วัยรุ่นชาวเซเนกัล 2 คน ตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองดาการ์บ้านเกิด
โดยมีเป้าหมายเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศอิตาลีเพื่อหลีกหนีความยากจน โดยทั้งคู่หวังจะมีชีวิตที่ดีขึ้นเมื่อไปยังทวีปยุโรป
ทั้ง 2 พยายามทำงานรับจ้างใช้แรงงานแลกกับค่าแรงโดยเอาไว้เพื่อเป็นทุนรอนสำหรับเดินทาง
แม่ของเซย์ดูไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาดที่จะให้ตัวเขาไปเผชิญโชคที่ยุโรป แต่ตัวเขาและมูซา ก็แอบหนีจากบ้านในคืนวันหนึ่ง...
พวกเขาเสียเงินทำหนังสือเดินทางปลอมเป็นชาวมาลี เดินทางด้วยรถ จากนั้นก็เดินเท้าข้ามทะเลทรายอันกว้างใหญ่
ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่เลวร้าย
แต่นั่นไม่น่ากลัวเท่ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง.. กลุ่มโจร.. คนด้วยกันเองนี่ล่ะน่ากลัวที่สุด
Io capitano เป็นภาพยนตร์ดราม่าสัญชาติอิตาลีปี 2023 เขียนบทและกำกับโดย Matteo Garrone
เจ้าของผลงานที่เข้าชิงออสการ์มาแล้ว 2 สาขาในปีผ่านมา (Best Costume Design และ Best Makeup and Hairstyling) กับเรื่อง Pinocchio
และในเรื่องนี้ มัตเตโอ ก็ยังพาหนังของเขาเข้าชิงในเวทีทรงเกียรตินี้อีกครั้งในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
ซึ่งก็เหมาะสมอย่างยิ่งจริงๆครับ (คู่แข่งสำคัญคือ Perfect Days และ The Zone of Interest)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงจากเส้นทางของผู้อพยพที่มาจากแอฟริกา เดินทางไปยังยุโรป
ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นปัญหาสังคมอยู่ในปัจจุบัน โดย มัตเตโอ นำเสนอผ่านตัวละคร 2 คนนั่นก็คือ เซย์ดูและมูซา
วัยรุ่นชาวเซเนกัลที่มีความฝันว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้หากพวกเขาข้ามฝั่งไปยังยุโรปได้ และแน่นอนว่าอิตาลีคือจุดหมายที่ใกล้ที่สุดแล้ว
แต่เส้นทางสายนี้มันยากเย็นแสนเข็ญนัก ทุกอย่างไม่ได้ดูง่ายดายและสวยหรูเหมือนอย่างที่ทั้งคู่ฝันไว้ในตอนแรก
และมันก็ทำให้เราได้ลุ้นเอาใจช่วยตามว่าทั้งคู่จะรอดไปถึงอีกฝั่งได้หรือไม่..
ถึงแม้โปสเตอร์จะเน้นที่ทะเลทราย แต่คำว่า Io capitano นั้น แปลว่า ฉันคือกัปตัน..
ตอนแรกผมก็งงว่าทำไมเขาถึงให้ชื่อนี้หว่า.. พอดูหนังแล้วจึงเข้าใจ เพราะช่วงท้ายของหนังนั่นล่ะ
จึงเป็นการบ่งบอกถึงความหมายทั้งหมดของชื่อหนังเรื่องนี้
นักแสดงหลักทุกคนไม่ใช่นักแสดงอาชีพ แต่อินเนอร์ทุกอย่างมาเต็ม ยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือมีมากขึ้น..
งานภาพก็สวยมาก ด้วยภูมิประเทศในแถบแอฟริกาที่ถ่ายทอดออกมาผ่านแผ่นฟิล์ม
แน่นอนว่าสวยในสายตาคนดูอย่างเรา แต่พลังแห่งธรรมชาตินั้นก็น่ากลัวเสมอเช่นกัน หากเราไปอยู่ในจุดๆนั้นจริงๆ..
ปัญหาผู้อพยพจากแอฟริกามุ่งหน้าสู่ยุโรปเป็นปัญหาเรื้อรังที่มีมายาวนาน ทุกปีมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในการเดินทางที่โหดร้าย
แต่ทุกคนก็ยังหวังที่จะเดินหน้าต่อไปด้วยความหวังว่าจะไปตายเอาดาบหน้า หลีกหนีจากสิ่งที่เป็นอยู่เพื่อหวังถึงอนาคตที่ดีกว่า
แม้ว่าตัวเองจะยังมองไม่เห็นเจ้าอนาคตที่ว่านั่นก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากนะครับ
ผมลองดูว่าพวกเขาเดินทางด้วยระยะทางเท่าไหร่ โดยในเรื่องสตาร์ตที่ดาการ์ เซเนกัล ไปจบที่ทริโปลี ของลิเบีย
นั่นเท่ากับ 6,300 กิโลเมตร พระเจ้าช่วย .. นี่เพียงแค่บนแผ่นดินเท่านั้น เพราะถ้าอยากไปยุโรป คุณต้องข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเท่านั้น
อีกกว่า 600-700 ไมล์ทะเล เลี่ยงไม่ได้เด็ดขาด .. นั่นจึงนำไปสู่ความโกลาหลส่งต่อไปยังอุปสรรคสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้
ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลัง และทำให้ Io capitano ยิ่งใหญ่อย่างมากที่สุด
และสมศักดิ์ศรีหนังที่ได้เข้าชิงออสการ์อย่างแท้จริงครับ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===