สบายดี เวียงจันทน์ ^^
สวัสดีค่ะ กลับมาอีกแล้วกับการรีวิวเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟในราคาสุดแสนประหยัด ทริปนี้เป็นทริปที่ชิลมากกก เน้นไปพักผ่อนเปลี่ยนที่นอน ในเมืองหลวงของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่เน้นหาของกินแปลกใหม่เพราะเรากินยาก แต่เน้นเดินไปเรื่อย ไม่เช่ารถขับเพราะขับไม่แข็ง ใจไม่กล้าพอขับเลนขวา(แค่เดินไม่ให้รถชนได้ก็ขอบคุณตัวเองแล้ว)
เวียงจันทน์ เป็นเมืองที่อยากไปมานานมากแล้ว เมืองที่ครูสอนภาษาฝรั่งเศสพูดถึงบ่อยๆ เมืองที่ทวดบอกว่าบรรพบุรุษของเราอพยบมาจากที่นั่น ว่าแล้วช่วงนี้ได้จังหวะพอดีก็เลยพิมพ์ใบลาพักผ่อน แล้วกดจองตั๋ว(รถไฟ) ทันที (มีสรุปค่าใช้จ่ายท้ายกระทู้นะคะ)
เย็นวันศุกร์ที่ 9 ก.พ.67 จุดเริ่มต้นในการเดินทางของเราอยู่ที่สถานีรถไฟกรุงเทพอภิวัฒน์ กับรถไฟ ขบวนที่ 133 ปลายทางจังหวัดหนองคาย ราคาตั๋วรถไฟชั้น 3 อยู่ที่ 211 บาท ใช้เวลาเดินทางราวๆ 11ชั่วโมง (ออกเดินทางตอนสามทุ่มกว่า ถึงหนองคายราวๆ 8 โมงเช้า)
ลงรถไฟ จัดการตัวเองเรียบร้อย ก็ได้เวลานั่งรถสกายแลบไปที่ด่าน ตอนที่ถามค่ารถก็คิดในใจว่าถ้าราคา 50 เหมือนที่หาข้อมูลมาก็ไป ถ้าราคามากกว่านั้นก็ไม่ได้รู้สึกลำบากที่จะเดินไป (แต่จริงๆ ก็แอบเหนื่อย นั่งรถไฟมาแทบไม่ได้นอนเลย) ลุงบอกราคามา 50 บาท ก็เป็นอันตกลง นั่งรถไป
ตม.ขาออก อยู่ฝั่งซ้ายมือ สำหรับคนไทยที่มีพาสปอร์ตอยู่แล้ว ก็เดินไปเข้าแถวสแกนนิ้ว แป๊บเดียวก็เสร็จ เดินออกมาก็จะมีตู้ขายตั๋วรถข้ามไปฝั่ง สปป.ลาว ราคาวันธรรมดา 30 บาท วันหยุด 35 บาท
ข้ามถึงด่านฝั่ง สปป.ลาว จะมีคนมาขายซิมเราก็ไม่รู้งงๆ เขาแนะนำแบบไหนมาก็ซื้อเลย 150 บาท เขาเปลี่ยนซิมให้พร้อม (แต่มารู้ทีหลังว่าซิมนี้ใช้เล่นเน็ตได้อย่างเดียว จะสมัครแอพเรียกรถก็ไม่ได้ เพราะต้องใช้เบอร์โทรรับ OTP เสียใจ T^T) ซื้อซิมเสร็จก็หาแลกเงิน ไปตามที่น้องขายซิมบอก ตอนดูอัตราแลกเปลี่ยนในเน็ต 1บาท มันได้ 500 กว่าๆกีบ แต่ตอนไปแลกได้มาเรต 645 (เยอะกว่าที่ดูมาอีกแน่ะ) แลกไปสามพัน ได้มาล้านเก้ากว่าๆ

ต่อไปก็ต้องเขียนใบ ตม.ขาเข้า จะมีคนยืนแจกอยู่ไปขอมาเขียนเองได้ หรือถ้าให้เขาเขียนให้ก็น่าจะเสียเงินนะ เราเอามาเขียนเอง มันจะมีใบขาออกติดมาด้วย ก็กรอกไว้แล้วเก็บไว้ยื่นอีกตอนตอนจะกลับไทย ยื่นพาสปอร์ตให้ ตม. ดูไม่นานก็ปั้มตรา และจ่ายค่าเหยียบแผ่นดิน 20 บาท
การเดินทางเข้าเมือง จะมีคนมาถามเยอะแยะเลยว่าจะจ้างรถไหม ให้ใจแข็งเข้าไว้ เขาคุยมาดีๆ ก็ตอบเขาไปดีๆ ค่ะ ว่าหนูไม่มีเงินหรอก หนูรอนั่งรถเมล์ มีคนมาถามเหมารถไปส่งถึงโฮสเทล 300 บาท ทีแรกก็เกือบตกลงล่ะ แต่ความงกมันเยอะกว่า แค่เดินออกจากอาคารมาฝั่งตรงข้าม รอไม่นานก็ได้ขึ้นรถเมล์ในราคา 18,000 กีบ หรือถ้าจ่ายเป็นเงินบาทก็คิด 30 บาท (ต่างกันกับเหมาสองแถวสิบเท่าสวยๆ) หรือถ้าไม่ขึ้นรถเมล์ก็ขึ้นสองแถวแบบที่รอคนขึ้นเยอะๆ แล้วออก เขาคิด 20,000 กีบต่อคนก็ได้

รถจอดที่ท่ารถหลังตลาดเช้า เวลาประมาณสิบโมง แต่เช็คอินต้องบ่ายสอง เราเดินไปฝากกระเป๋าที่โฮสเทลก่อน จองมาสองคืนในราคารวม 590 บาท รวมอาหารเช้า (ที่เราไม่ได้กิน เพราะตื่นแต่งตัวไม่ทันซักวัน) ฝั่งตรงข้ามโฮสเทลมีร้าน “ข้าวเปียก” แม่ค้าบอกเหลือแต่เป็ดนะ ไอ้เราไม่กินเป็ดแต่หิวตาลาย สั่งมานะ กินแต่เส้นกับซดน้ำซุปร้อนๆ แถมลืมบอกว่าไม่ได้ผักชี เขาไม่ได้แค่โรยๆ แบบบ้านเรา แต่โกยใส่แบบจัดเต็ม... แอบไม่อิ่มเพราะกินได้นิดเดียว ไม่เป็นไร เรามีข้าวจี่ปาเต๊ะ (ข้าวจี่ที่เป็นบาแกตผ่าครึ่งแล้วใส่ใส้อ่ะ) แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กินนะ เคี้ยวไม่ไหว

กินเสร็จ ก็ได้เวลาเดินเที่ยว สถานที่แรกที่เราจะไปก็คือ “วัดสีสะเกด” ระหว่างทางก็เดินผ่าน ธนาคารเยอะมาก จนต้องถามตัวเองว่าที่กรุงเทพเดินไปไหนก็เจอแต่ธนาคารแบบนี้ไหมนะ? มีธนาคารไทย สีเขียว สีม่วง สีฟ้า อยู่ใกล้ๆ กันด้วยล่ะ

“วัดสีสะเกด” ค่าเข้าสำหรับชาวต่างชาติ 30,000 กีบ ซึ่งทุกที่ที่เก็บค่าเข้าก็เป็นราคานี้ทั้งหมด วัดนี้เป็นวัดที่มีอายุสี่ร้อยกว่าปีแล้ว และเป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกทำลายระหว่างสงคราม สำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมแบบเราก็คิดว่ารูปแบบของวัดก็ไม่ได้ต่างจากวัดที่ไทยนะ (วัดอยุธยา วันในกรุงเทพที่อายุร้อยปีบวก) คือมีโบสถ์อยู่ตรงกลาง ล้อมด้วยระเบียงมุงหลังคาที่มีประพุทธรูปเรียงกันตลอดแนว
สถานที่ต่อมา “หอพระแก้ว” เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตอยู่สองร้อยปีเศษ ก่อนที่จะถูกอัญเชิญมาอยู่ที่กรุงเทพในสมัยของพระเจ้าตากสิน ปัจจุบันก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัตถุโบราณ ข้างในห้ามถ่ายรูป ของที่อยู่ข้างในส่วนใหญ่ก็เป็นพระพุทธรูป ถ้าเทียบกับวัดใหญ่ๆ บางวัดในไทยน่าจะมีวัตถุโบราณเยอะกว่า

ข้างๆ หอพระแก้วมีสถานที่ที่เราอยากเข้าไปดูมากกกกที่สุด คือ “หอคำ” หรือ “ทำเนียบประธานประเทศ” เมื่อก่อนเคยเป็นที่ทำการของฝรั่งเศสตอนในสมัยอาณานิคม ปัจจุบันใช้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง แต่สถานที่นี้ไม่ได้อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชม แค่ไปถ่ายรูปข้างหน้าได้ ส่วนเราคงโชคไม่ดีเท่าไหร่ เพราะตอนที่ไปเป็นช่วงรีโนเวทเขากั้นจนมองไม่เห็นตึกเลย
อ้อ ช่วงที่เราไปเวียงจันทน์พายุเข้า ฟ้าครึ้มทั้งวันเลย ดีกับคนไม่ถูกกับแดดอย่างเรามาก แต่ก็ถ่ายรูปไม่สวยเหมือนกัน เดินชมได้แค่สองที่ ใกล้จะบ่ายโมงประกอบกับเริ่มปวดหัวตุบๆ ก็เลยตัดสินใจไปนั่งคาเฟ่ของโฮสเทลรอเช็คอิน แล้วก็นอนไปยาวๆ ตื่นอีกทีมืดแล้ว เลยเดินไปซื้อเบียร์ที่ร้านสะดวกซื้อข้างๆ มากินซักกระป๋อง แล้วฝากท้องกับอาหารของโฮสเทล จบวันแรกไปแบบนี้เลย
เบียร์ลาว กระป๋องละสิบสามพันกีบ (ประมาณยี่สิบสองบาท)
น้ำผึ้งมะนาว ลืมสั่งแบบเย็น ก็ได้แบบร้อน (ฮ่าๆๆๆ)
ไม่รู้จะกินอะไรก็เลยสั่งข้าวผัดหมู เห็นราคาก็คิดว่าปกติของโฮสเทลมั้ง แต่พอเอามาเสิร์ฟตกใจ นี่กินสองคนก็ไม่รู้จะหมดหรือเปล่า (เสียดายข้าว T^T)
ห้องนอน ญ หกเตียง แล้วไม่รู้เป็นไร เวลานอนโฮสเทลได้อยู่เตียงบนตลอดๆ แต่เตียงนุ่มมาก ทีแรกกลัวจะนอนกรนรบกวนคนอื่นไหมน้อ แต่เอาเข้าจริงๆ เรายังไม่หลับเลย สามฝรั่งเตียงข้างๆ นอนกรนเรียบร้อย โอเคเล้ยยย
(( เดี๋ยวต่อเม้นล่างค่าา ))
[CR] รีวิว :: เวียงจันทน์คนเดียว 3 วัน 2 คืน งบ 4,000 มีทอน
เวียงจันทน์ เป็นเมืองที่อยากไปมานานมากแล้ว เมืองที่ครูสอนภาษาฝรั่งเศสพูดถึงบ่อยๆ เมืองที่ทวดบอกว่าบรรพบุรุษของเราอพยบมาจากที่นั่น ว่าแล้วช่วงนี้ได้จังหวะพอดีก็เลยพิมพ์ใบลาพักผ่อน แล้วกดจองตั๋ว(รถไฟ) ทันที (มีสรุปค่าใช้จ่ายท้ายกระทู้นะคะ)
เย็นวันศุกร์ที่ 9 ก.พ.67 จุดเริ่มต้นในการเดินทางของเราอยู่ที่สถานีรถไฟกรุงเทพอภิวัฒน์ กับรถไฟ ขบวนที่ 133 ปลายทางจังหวัดหนองคาย ราคาตั๋วรถไฟชั้น 3 อยู่ที่ 211 บาท ใช้เวลาเดินทางราวๆ 11ชั่วโมง (ออกเดินทางตอนสามทุ่มกว่า ถึงหนองคายราวๆ 8 โมงเช้า)
ลงรถไฟ จัดการตัวเองเรียบร้อย ก็ได้เวลานั่งรถสกายแลบไปที่ด่าน ตอนที่ถามค่ารถก็คิดในใจว่าถ้าราคา 50 เหมือนที่หาข้อมูลมาก็ไป ถ้าราคามากกว่านั้นก็ไม่ได้รู้สึกลำบากที่จะเดินไป (แต่จริงๆ ก็แอบเหนื่อย นั่งรถไฟมาแทบไม่ได้นอนเลย) ลุงบอกราคามา 50 บาท ก็เป็นอันตกลง นั่งรถไป
ข้ามถึงด่านฝั่ง สปป.ลาว จะมีคนมาขายซิมเราก็ไม่รู้งงๆ เขาแนะนำแบบไหนมาก็ซื้อเลย 150 บาท เขาเปลี่ยนซิมให้พร้อม (แต่มารู้ทีหลังว่าซิมนี้ใช้เล่นเน็ตได้อย่างเดียว จะสมัครแอพเรียกรถก็ไม่ได้ เพราะต้องใช้เบอร์โทรรับ OTP เสียใจ T^T) ซื้อซิมเสร็จก็หาแลกเงิน ไปตามที่น้องขายซิมบอก ตอนดูอัตราแลกเปลี่ยนในเน็ต 1บาท มันได้ 500 กว่าๆกีบ แต่ตอนไปแลกได้มาเรต 645 (เยอะกว่าที่ดูมาอีกแน่ะ) แลกไปสามพัน ได้มาล้านเก้ากว่าๆ
ต่อไปก็ต้องเขียนใบ ตม.ขาเข้า จะมีคนยืนแจกอยู่ไปขอมาเขียนเองได้ หรือถ้าให้เขาเขียนให้ก็น่าจะเสียเงินนะ เราเอามาเขียนเอง มันจะมีใบขาออกติดมาด้วย ก็กรอกไว้แล้วเก็บไว้ยื่นอีกตอนตอนจะกลับไทย ยื่นพาสปอร์ตให้ ตม. ดูไม่นานก็ปั้มตรา และจ่ายค่าเหยียบแผ่นดิน 20 บาท
รถจอดที่ท่ารถหลังตลาดเช้า เวลาประมาณสิบโมง แต่เช็คอินต้องบ่ายสอง เราเดินไปฝากกระเป๋าที่โฮสเทลก่อน จองมาสองคืนในราคารวม 590 บาท รวมอาหารเช้า (ที่เราไม่ได้กิน เพราะตื่นแต่งตัวไม่ทันซักวัน) ฝั่งตรงข้ามโฮสเทลมีร้าน “ข้าวเปียก” แม่ค้าบอกเหลือแต่เป็ดนะ ไอ้เราไม่กินเป็ดแต่หิวตาลาย สั่งมานะ กินแต่เส้นกับซดน้ำซุปร้อนๆ แถมลืมบอกว่าไม่ได้ผักชี เขาไม่ได้แค่โรยๆ แบบบ้านเรา แต่โกยใส่แบบจัดเต็ม... แอบไม่อิ่มเพราะกินได้นิดเดียว ไม่เป็นไร เรามีข้าวจี่ปาเต๊ะ (ข้าวจี่ที่เป็นบาแกตผ่าครึ่งแล้วใส่ใส้อ่ะ) แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กินนะ เคี้ยวไม่ไหว
กินเสร็จ ก็ได้เวลาเดินเที่ยว สถานที่แรกที่เราจะไปก็คือ “วัดสีสะเกด” ระหว่างทางก็เดินผ่าน ธนาคารเยอะมาก จนต้องถามตัวเองว่าที่กรุงเทพเดินไปไหนก็เจอแต่ธนาคารแบบนี้ไหมนะ? มีธนาคารไทย สีเขียว สีม่วง สีฟ้า อยู่ใกล้ๆ กันด้วยล่ะ
“วัดสีสะเกด” ค่าเข้าสำหรับชาวต่างชาติ 30,000 กีบ ซึ่งทุกที่ที่เก็บค่าเข้าก็เป็นราคานี้ทั้งหมด วัดนี้เป็นวัดที่มีอายุสี่ร้อยกว่าปีแล้ว และเป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกทำลายระหว่างสงคราม สำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมแบบเราก็คิดว่ารูปแบบของวัดก็ไม่ได้ต่างจากวัดที่ไทยนะ (วัดอยุธยา วันในกรุงเทพที่อายุร้อยปีบวก) คือมีโบสถ์อยู่ตรงกลาง ล้อมด้วยระเบียงมุงหลังคาที่มีประพุทธรูปเรียงกันตลอดแนว
สถานที่ต่อมา “หอพระแก้ว” เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตอยู่สองร้อยปีเศษ ก่อนที่จะถูกอัญเชิญมาอยู่ที่กรุงเทพในสมัยของพระเจ้าตากสิน ปัจจุบันก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัตถุโบราณ ข้างในห้ามถ่ายรูป ของที่อยู่ข้างในส่วนใหญ่ก็เป็นพระพุทธรูป ถ้าเทียบกับวัดใหญ่ๆ บางวัดในไทยน่าจะมีวัตถุโบราณเยอะกว่า
ข้างๆ หอพระแก้วมีสถานที่ที่เราอยากเข้าไปดูมากกกกที่สุด คือ “หอคำ” หรือ “ทำเนียบประธานประเทศ” เมื่อก่อนเคยเป็นที่ทำการของฝรั่งเศสตอนในสมัยอาณานิคม ปัจจุบันใช้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง แต่สถานที่นี้ไม่ได้อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชม แค่ไปถ่ายรูปข้างหน้าได้ ส่วนเราคงโชคไม่ดีเท่าไหร่ เพราะตอนที่ไปเป็นช่วงรีโนเวทเขากั้นจนมองไม่เห็นตึกเลย
อ้อ ช่วงที่เราไปเวียงจันทน์พายุเข้า ฟ้าครึ้มทั้งวันเลย ดีกับคนไม่ถูกกับแดดอย่างเรามาก แต่ก็ถ่ายรูปไม่สวยเหมือนกัน เดินชมได้แค่สองที่ ใกล้จะบ่ายโมงประกอบกับเริ่มปวดหัวตุบๆ ก็เลยตัดสินใจไปนั่งคาเฟ่ของโฮสเทลรอเช็คอิน แล้วก็นอนไปยาวๆ ตื่นอีกทีมืดแล้ว เลยเดินไปซื้อเบียร์ที่ร้านสะดวกซื้อข้างๆ มากินซักกระป๋อง แล้วฝากท้องกับอาหารของโฮสเทล จบวันแรกไปแบบนี้เลย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้