ผมคบกับแฟน 17 ปีแล้ว คบกันตั้งเเต่เรียนมัธยม ผู้ปกครองกับรู้ทั้งสองฝ่าย พอมาเรียนมหาลัยก็เช่าหออยู่ด้วยกัน ปัจจุบันมีลูกด้วยกัน 2 คนเเล้ว
ย้อนกลับไป 10 ปีที่เเล้วประมาณปี 57 ผมเพิ่มเรียนจบเเละสอบข้าราชการได้เเต้อยู่ในช่วงขึ้นบัญชี เพื่อเรียกบรรจุเป็นข้าราชการในจังหวัด
ในระหว่างนั้นผมเลือกที่จะไปสมัครงานที่ห้างเเห่งหนึ่งในตัวเมือง เพื่อไม่ต้องขอเงินเเม่ ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า งานในห้างจะต้องทำงานเป็นกะ เช้าสายบ่าย ดึก ในช่วงที่เข้ากะดึกก็จะต้องเข้างาน 4 ทุ่ม เเละออกกะ 7 โมง ขึ้นอยู่แต่ละรอบหัวหน้าจะกำหนดให้เราเข้ากะไหน
ในระหว่างผมทำงานนั้น เเฟนผมเรียนมหาลัยปีสุดท้าย ต้องออกฝึกงานในโรงเรียนไม่ไกลนักกับหอพัก ผมเองยอมรับว่าตอนไปทำงานใหม่ๆ ก็มี สาวๆในเเผนกต่างๆทักเฟสเข้ามาคุยบ้าง เเต่ไม่ได้คบหา หรือยุ่งเกี่ยวกับใครเลย เเค่คุยๆไป ทุกครั้งที่คุยเเฟนก็จับได้ทุกครั้ง เเล้วก็เลิกติดต่อกับไป
เเต่ต่อมาเมื่อเธอฝึกงานได้ประมาณสองเดือน โรงเรียนที่เธอฝึกงานมีกิจกกรรมเเข่งกีฬาอำเภอ เธอกลับมาเล่าให้ฟังถึงการเเข่งกีฬาอำเภอ ในรายการว่ามีนักกีฬารุ่นประชาชนคนหนึ่งวิ่งนำมาตลอด เเต่มาหกล้มตรงเส้นชัยพอดีเป็นที่น่าเสียดายมากๆ ผมเเอะใจ อยู่ๆมาเล่าให้ฟัง เเต่ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ก็คิดว่าคงจะเป็นเหตุชวนลุ้นทั่วไป
ต่อมาจับได้ว่าเเฟนผมไปคุย หนุ่มที่อาศัยอยู่ไกลโรงเรียนที่เธอฝึกงาน นั้นก็คือคนเดียวกับที่เธอมาเล่าให้ฟังที่หกล้มก่อนเข้าเส้นชัยนั้นเเหละ เรามีปากเสียงกับกับพอสมควร แล้วเเฟนผมก็ได้เลิกติดต่อกับไอ้หมอนี้ไป ความที่โลกกลม เเฟนไอ้หมอนั้นดันเป็นรุ่นน้องผมที่มหาลัย ผมจึงทักไปคุยกับรุ่นน้องคนนั้น แต่ไม่ได้บอกอะไรไป เรื่องที่เขาทักมาคุยกับเเฟนเรา ทักไปคุยกึ่งจีบเลยเพราะโมโหมากในใจคิดว่ากะคบกับน้องเขาเป็นเเฟนเลยเเต่เเฟนรู้เสียก่อน เลยเลิกติดต่อกันไป
ผ่านมาสักประมาณเดือนสองเดือนนึงผมก็จับได้อีกว่าเเฟนผมกลับไปคุยกับไอ้หมอนั้นอีกครั้ง ซึ่งตลอดระยะเวลาสองเดือนนั้นเขาไม่ไดเลิกคุยเลย ข้อความที่คุยกันถูกลบ ผมเห็นเเค่บางส่วนเท่านั้น ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านนั้นเขาคุยไปถึงไหนเเล้ว ไปกินข้าวหรือออกไปหากันบ้างหรือยัง หรือบ้างทีอาจจะคบไปถึงไหนต่อไหนเเล้ว ความคิดมันเต็มหัวไปหมด ผมได้เเต่ถามด้วยความโมโห เเต่เธอไม่ปริปากพูดเเม้เเต่คำเดียว บอกเเค่ว่าคุยด้วยกันเฉยๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เธอบอกเเค่นี้ เรามีปากเสียงกันอย่างรุนเเรง
ผมจำได้ดี ผมเสียใจมาก ทำงานไปใจลอยจนหัวหน้าเเผนกเเละเพื่อนในเเผนกสังเกตอย่างเห็นไดชัด บางวันมีบ้างที่ไปเเอบนั่งร้องคนเดียวในห้องน้ำก็มี เเต่ผมไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟังเเม้เเต่น้อย ในทุกวันเฝ้าภาวนาให้หน่อยงานเรียกบรรจุที่ไกลๆอีกครั้งนึง เพื่อที่จะหนีไปให้ไกลจากเธอ เพราะก่อนหน้านี้มีหนังสือขอยืมบัญชีไปบรรจุต่างจังหหวัด เเต่ผมสละสิทธิ์ไม่ยอมไป เพราะไม่อยากอยู่ไกลกับเธอ(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเธอเเอบคุยกับคนอื่น ถ้ารู้คงจะตัดสินใจไปอย่างไม่ลังเล) เเต่เหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้าง รอนานเป็นเดือน ก็ไม่เห็นวี่เเววว่าจะเรียกบรรจุ
หลังจากที่ผมจับได้ครั้งนี้ มีปากเสียงหนัก เธอก็เลิกติดต่อกับไอ้หมอนั้น ผมขอเลิกกับเธอ เเต่ความผูกพันธ์ที่คบกันมานาน เเละชวนกันจากบ้านมาเรียน เวลาเป็นตัวเยียวให้เรากับมาพบกันอีกครั้ง เเต่ใช่ว่าผมจะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
.............เวลาผ่านไปเธอฝึกสอนโรงเรียนนั้นครบเทอม พอเข้าเทอมสองก็ต้องเปลี่ยนโรงเรียนในการฝึกสอนใหม่ โรงเรียนใหม่อยู่ต่างอำเภอไกลกับมหาลัยหลายสิบกิโล ผมตัดสินใจลาออกจากงานมาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่บ้านเช้าใกล้ที่ฝึกงานใหม่ของ เเล้วไม่นานผมได้รับการเรียกบรรจุข้าราชการ ที่ทำงานที่ต้องไปบรรจุห่างจากที่อยู่ตอนั้น 50 กิโลเห็นจะได้ ผมขับรถไปกลับไปทำงานทุกวัน จนตัดสินใจซื้อรถเก๋งมือสองมาคันนึงเพื่อสะดวกเเก่การเดินทางไปทำงาน
ทุกอย่างปกติ เเต่ในใจผมลึกๆ ยังคงคิดถึง เหตุการณ์ครั้งนั้นไปลืมหายไปนั้น เพราะว่าอย่างที่ผมบอก เธอไปเคยปริปากบอกเลยว่า เธอคบกับหมอนั้นถึงไหน ผมยังถามตัวเองทุกวันไม่เคยลืมเเม้เต่วันเดียว บางครั้งมีบางทีผมหาเรื่องทะเลาะ เรื่องไม่เป็นเรื่อง
จนกระทั้งวันนึงผมได้รู้จักกับเเอปเเชทสีเหลือง ก็โหลดมาเล่นจนได้รู้จักกับสาวเเบงค์คนนึงเเละคุยกันสักระยะ ด้วยเหตุการณ์ที่เเฟนเเอบคุยกับคนอื่นพึ่งผ่านไม่นาน อย่างที่เกรินไว้ครับว่าเเฟนผม เธอไม่ปริปากสักคำ ที่จะอธิบายเหตุผลสักคำ ผมยอมรับว่ามีโอนเอนครับ เลยเอาใจลงไปเล่น ไม่ได้เเค่คุยเฉยๆ มีนัดไปเดท ทุกเที่ยงเธอจะมารับผมที่ทำงานไปกินข้าวเพราะที่ทำงานเราไม่ไกลกันมาก จนวันนึงเเฟนผมเขาจับได้เพราะผมเเอบไปเที่ยวกับสาวเเบงค์คนนั้น 1 วันกับ 1 คืนเต็มๆ เเฟนเธอจับได้เพราะผมลืมลบเเชท ทะเลาะกันยกใหญ่ ยอมรับครับว่าผมคิดจะเลิกกับเธอเเล้วไปเริ่มต้นใหม่ เเต่ความรักเเละความผูกพันธ์ที่คบกันมานาน หรือเพราะความสงสาร หรือเพราะสิ่งต่างๆ ที่สู้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้ผมกลับมาคบกับเเฟนอีกครั้ง พูดคุยเคลียร์ใจกันจนเลิกกันไม่ลงซะงั้น
สำหรับผู้หญิงคนนั้นที่ผมคบด้วย ฝ่ายที่ต้องเสียใจเต็มๆ ตอนนั้นผมบอกได้อย่างไม่ลังเลเลย ผมพยายามจะเลิกกับเเฟนเเล้วคบกับเขาเป็นรักครั้งใหม่ เเเต่กลายเป็นว่า ผมทำไม่ได้ จิตใจผมมันไม่เข้มเเข็งพอที่จะทิ้งเฟนไป กลับดึงอีกกคนเพื่อเข้ามาทำรา้ยอีกคนอีก สรุปคนที่ผมดึงเข้ามานั้นกลายเป็นคนเสียที่สุด ถ้าเธอได้มีโอกาสมาอ่านต้องขอโทษจากใจจริง
จนถึงทุกวันนี้ผมก็ไม่เคยได้ยินคำอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เธอนอกใจผมเลย ทุกอย่างยังคงคาใจ จนกระทั้งถึงวันนี้ผมก็ยังไม่เคยลืม เราเเต่งงานและมีลูกด้วยกัน 2 คนเเล้ว เเต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมลืมเหตการณ์ครั้งนั้นได้เลย
"ปากบอกให้อภัย เเต่ในใจยังไม่เคยลืม"
ให้อภัย เเต่ไม่ลืม "ปากบอกให้อภัย เเต่ในใจยังไม่เคยลืม"
ย้อนกลับไป 10 ปีที่เเล้วประมาณปี 57 ผมเพิ่มเรียนจบเเละสอบข้าราชการได้เเต้อยู่ในช่วงขึ้นบัญชี เพื่อเรียกบรรจุเป็นข้าราชการในจังหวัด
ในระหว่างนั้นผมเลือกที่จะไปสมัครงานที่ห้างเเห่งหนึ่งในตัวเมือง เพื่อไม่ต้องขอเงินเเม่ ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า งานในห้างจะต้องทำงานเป็นกะ เช้าสายบ่าย ดึก ในช่วงที่เข้ากะดึกก็จะต้องเข้างาน 4 ทุ่ม เเละออกกะ 7 โมง ขึ้นอยู่แต่ละรอบหัวหน้าจะกำหนดให้เราเข้ากะไหน
ในระหว่างผมทำงานนั้น เเฟนผมเรียนมหาลัยปีสุดท้าย ต้องออกฝึกงานในโรงเรียนไม่ไกลนักกับหอพัก ผมเองยอมรับว่าตอนไปทำงานใหม่ๆ ก็มี สาวๆในเเผนกต่างๆทักเฟสเข้ามาคุยบ้าง เเต่ไม่ได้คบหา หรือยุ่งเกี่ยวกับใครเลย เเค่คุยๆไป ทุกครั้งที่คุยเเฟนก็จับได้ทุกครั้ง เเล้วก็เลิกติดต่อกับไป
เเต่ต่อมาเมื่อเธอฝึกงานได้ประมาณสองเดือน โรงเรียนที่เธอฝึกงานมีกิจกกรรมเเข่งกีฬาอำเภอ เธอกลับมาเล่าให้ฟังถึงการเเข่งกีฬาอำเภอ ในรายการว่ามีนักกีฬารุ่นประชาชนคนหนึ่งวิ่งนำมาตลอด เเต่มาหกล้มตรงเส้นชัยพอดีเป็นที่น่าเสียดายมากๆ ผมเเอะใจ อยู่ๆมาเล่าให้ฟัง เเต่ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ก็คิดว่าคงจะเป็นเหตุชวนลุ้นทั่วไป
ต่อมาจับได้ว่าเเฟนผมไปคุย หนุ่มที่อาศัยอยู่ไกลโรงเรียนที่เธอฝึกงาน นั้นก็คือคนเดียวกับที่เธอมาเล่าให้ฟังที่หกล้มก่อนเข้าเส้นชัยนั้นเเหละ เรามีปากเสียงกับกับพอสมควร แล้วเเฟนผมก็ได้เลิกติดต่อกับไอ้หมอนี้ไป ความที่โลกกลม เเฟนไอ้หมอนั้นดันเป็นรุ่นน้องผมที่มหาลัย ผมจึงทักไปคุยกับรุ่นน้องคนนั้น แต่ไม่ได้บอกอะไรไป เรื่องที่เขาทักมาคุยกับเเฟนเรา ทักไปคุยกึ่งจีบเลยเพราะโมโหมากในใจคิดว่ากะคบกับน้องเขาเป็นเเฟนเลยเเต่เเฟนรู้เสียก่อน เลยเลิกติดต่อกันไป
ผ่านมาสักประมาณเดือนสองเดือนนึงผมก็จับได้อีกว่าเเฟนผมกลับไปคุยกับไอ้หมอนั้นอีกครั้ง ซึ่งตลอดระยะเวลาสองเดือนนั้นเขาไม่ไดเลิกคุยเลย ข้อความที่คุยกันถูกลบ ผมเห็นเเค่บางส่วนเท่านั้น ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านนั้นเขาคุยไปถึงไหนเเล้ว ไปกินข้าวหรือออกไปหากันบ้างหรือยัง หรือบ้างทีอาจจะคบไปถึงไหนต่อไหนเเล้ว ความคิดมันเต็มหัวไปหมด ผมได้เเต่ถามด้วยความโมโห เเต่เธอไม่ปริปากพูดเเม้เเต่คำเดียว บอกเเค่ว่าคุยด้วยกันเฉยๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เธอบอกเเค่นี้ เรามีปากเสียงกันอย่างรุนเเรง
ผมจำได้ดี ผมเสียใจมาก ทำงานไปใจลอยจนหัวหน้าเเผนกเเละเพื่อนในเเผนกสังเกตอย่างเห็นไดชัด บางวันมีบ้างที่ไปเเอบนั่งร้องคนเดียวในห้องน้ำก็มี เเต่ผมไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟังเเม้เเต่น้อย ในทุกวันเฝ้าภาวนาให้หน่อยงานเรียกบรรจุที่ไกลๆอีกครั้งนึง เพื่อที่จะหนีไปให้ไกลจากเธอ เพราะก่อนหน้านี้มีหนังสือขอยืมบัญชีไปบรรจุต่างจังหหวัด เเต่ผมสละสิทธิ์ไม่ยอมไป เพราะไม่อยากอยู่ไกลกับเธอ(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเธอเเอบคุยกับคนอื่น ถ้ารู้คงจะตัดสินใจไปอย่างไม่ลังเล) เเต่เหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้าง รอนานเป็นเดือน ก็ไม่เห็นวี่เเววว่าจะเรียกบรรจุ
หลังจากที่ผมจับได้ครั้งนี้ มีปากเสียงหนัก เธอก็เลิกติดต่อกับไอ้หมอนั้น ผมขอเลิกกับเธอ เเต่ความผูกพันธ์ที่คบกันมานาน เเละชวนกันจากบ้านมาเรียน เวลาเป็นตัวเยียวให้เรากับมาพบกันอีกครั้ง เเต่ใช่ว่าผมจะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
.............เวลาผ่านไปเธอฝึกสอนโรงเรียนนั้นครบเทอม พอเข้าเทอมสองก็ต้องเปลี่ยนโรงเรียนในการฝึกสอนใหม่ โรงเรียนใหม่อยู่ต่างอำเภอไกลกับมหาลัยหลายสิบกิโล ผมตัดสินใจลาออกจากงานมาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่บ้านเช้าใกล้ที่ฝึกงานใหม่ของ เเล้วไม่นานผมได้รับการเรียกบรรจุข้าราชการ ที่ทำงานที่ต้องไปบรรจุห่างจากที่อยู่ตอนั้น 50 กิโลเห็นจะได้ ผมขับรถไปกลับไปทำงานทุกวัน จนตัดสินใจซื้อรถเก๋งมือสองมาคันนึงเพื่อสะดวกเเก่การเดินทางไปทำงาน
ทุกอย่างปกติ เเต่ในใจผมลึกๆ ยังคงคิดถึง เหตุการณ์ครั้งนั้นไปลืมหายไปนั้น เพราะว่าอย่างที่ผมบอก เธอไปเคยปริปากบอกเลยว่า เธอคบกับหมอนั้นถึงไหน ผมยังถามตัวเองทุกวันไม่เคยลืมเเม้เต่วันเดียว บางครั้งมีบางทีผมหาเรื่องทะเลาะ เรื่องไม่เป็นเรื่อง
จนกระทั้งวันนึงผมได้รู้จักกับเเอปเเชทสีเหลือง ก็โหลดมาเล่นจนได้รู้จักกับสาวเเบงค์คนนึงเเละคุยกันสักระยะ ด้วยเหตุการณ์ที่เเฟนเเอบคุยกับคนอื่นพึ่งผ่านไม่นาน อย่างที่เกรินไว้ครับว่าเเฟนผม เธอไม่ปริปากสักคำ ที่จะอธิบายเหตุผลสักคำ ผมยอมรับว่ามีโอนเอนครับ เลยเอาใจลงไปเล่น ไม่ได้เเค่คุยเฉยๆ มีนัดไปเดท ทุกเที่ยงเธอจะมารับผมที่ทำงานไปกินข้าวเพราะที่ทำงานเราไม่ไกลกันมาก จนวันนึงเเฟนผมเขาจับได้เพราะผมเเอบไปเที่ยวกับสาวเเบงค์คนนั้น 1 วันกับ 1 คืนเต็มๆ เเฟนเธอจับได้เพราะผมลืมลบเเชท ทะเลาะกันยกใหญ่ ยอมรับครับว่าผมคิดจะเลิกกับเธอเเล้วไปเริ่มต้นใหม่ เเต่ความรักเเละความผูกพันธ์ที่คบกันมานาน หรือเพราะความสงสาร หรือเพราะสิ่งต่างๆ ที่สู้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้ผมกลับมาคบกับเเฟนอีกครั้ง พูดคุยเคลียร์ใจกันจนเลิกกันไม่ลงซะงั้น
สำหรับผู้หญิงคนนั้นที่ผมคบด้วย ฝ่ายที่ต้องเสียใจเต็มๆ ตอนนั้นผมบอกได้อย่างไม่ลังเลเลย ผมพยายามจะเลิกกับเเฟนเเล้วคบกับเขาเป็นรักครั้งใหม่ เเเต่กลายเป็นว่า ผมทำไม่ได้ จิตใจผมมันไม่เข้มเเข็งพอที่จะทิ้งเฟนไป กลับดึงอีกกคนเพื่อเข้ามาทำรา้ยอีกคนอีก สรุปคนที่ผมดึงเข้ามานั้นกลายเป็นคนเสียที่สุด ถ้าเธอได้มีโอกาสมาอ่านต้องขอโทษจากใจจริง
จนถึงทุกวันนี้ผมก็ไม่เคยได้ยินคำอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เธอนอกใจผมเลย ทุกอย่างยังคงคาใจ จนกระทั้งถึงวันนี้ผมก็ยังไม่เคยลืม เราเเต่งงานและมีลูกด้วยกัน 2 คนเเล้ว เเต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมลืมเหตการณ์ครั้งนั้นได้เลย
"ปากบอกให้อภัย เเต่ในใจยังไม่เคยลืม"