เรื่อง : ใครลิขิต
โดย : ละเว้
'ชะตาของเจ้าตกเลขไฟไหม้เสาเรือน เรื่องความเจริญก้าวหน้าจึงค่อนข้างลำบากอยู่สักหน่อย เพราะดวงของเจ้าเป็นดวงผลาญทรัพย์ ดั่งผู้ที่เผาเรือนของตนเอง ยากจะรักษาสมบัติที่มีหรือหามาได้ นอกจากคอยทำลายเสียมากกว่า'
'ทางแก้นั้นพอมี เพียงแต่เจ้าต้องตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม หมั่นทำคุณงามความดี แล้วสิ่งดีจะบังเกิดแก่เจ้าเอง'
นั่นคือคำทำนายซึ่งกลายเป็นเสมือนตราประทับติดตัวทองอินทร์มาตลอด เขาจำไม่ได้แล้วว่ารับรู้ความจริงข้อนี้มาตั้งแต่เมื่อไร
จากลูกโทนของครอบครัวพอมีฐานะ เมื่อสิ้นบุญพ่อแม่ ชะตาชีวิตของเขายิ่งดูชัดขึ้นกับชีวิตที่ตกต่ำลง ทั้งที่เขาเองนั้นหาใช่ฅนเกียจคร้านหรือชอบใช้ชีวิตยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขอะไรที่ไหน แต่เป็นเพราะเมื่อชีวิตกำลังดำเนินไปด้วยดี เขาจะมีเคราะห์กรรมซ้ำซัดเข้ามาไม่ขาด บางครั้งหากไม่เป็นเรื่องเจ็บป่วย ก็มีเรื่องราวให้ต้องเสียเงินเสียทอง สูญเสียทรัพย์สินเสมอ ชีวิตครอบครัวนั้นก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ มีเรื่องระหองระแหงกันตลอดระหว่างเขากับภรรยา
และแม้จะโทษชะตาฟ้าลิขิต หากไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้จากมันเป็นอันขาด ทองอินทร์หมั่นเพียรสร้างบุญกุศล มุ่งมั่นทำดี มุมานะทำงานหาเงินเก็บหอมรอมริบ ด้วยหวังเอาชนะลิขิตฟ้าด้วยมานะตนให้จงได้
.
“ได้มาจากไหนวะบักอิน ตัวกำลังต้มเปรตเลยนะ”
ทองอินทร์ก้มมองถุงพลาสติกในมือก่อนหันไปตอบบุญเพ็ง
“ว่าจะเอาไปปล่อย ซื้อมาจากตลาด พรุ่งนี้จะเข้ากรุงเทพแล้วเลยอยากปล่อยปลาทำบุญเสียบ้าง” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถือว่าสะเดาะเคราะห์ไปด้วยในตัว ปล่อยปลาไหล ชีวิตจะได้ลื่นไหล”
“สายบุญจริง ๆ นะเอ็ง น่าเสียดายต้มเปรต แต่เอาเถอะ ได้บุญ ๆ” เมื่อพูดจบบุญเพ็งจึงครวญเพลงหันหลังเดินขึ้นสู่กุฏิหลวงตาอันเป็นที่อยู่อาศัยของเขาด้วยเช่นกัน
ทองอินทร์ท่องคำอธิษฐานเหยียดยาวก่อนเทปลาจากถุงลงน้ำ แล้วพารอยยิ้มอิ่มเอมออกจากวัดไป
ปลาไหลสามตัวยังคงว่ายวนตามแนวอิฐบล็อกกั้นขอบสระ นานเข้าก็พากันทิ้งดิ่งลอยตัวตั้งตรงอยู่อย่างนั้น
.
ความอบอ้าวเป็นปกติของเมืองคอนกรีตแม้ยามค่ำคืน ท่ามกลางแสงสีฉาบราตรี สถานที่ซึ่งเป็นลานกว้างนั้นแออัดด้วยจำนวนฝูงชน เสียงเพลงกระหึ่มจากเวทีสูงเป็นจุดดึงดูดความสนใจ จอภาพขนาดใหญ่ด้านข้างฉายภาพบนเวทีและรอบบริเวณไปพร้อมกัน เหล่าผู้ฅนบ้างโยกกายตามจังหวะเสียงเพลง บ้างนั่งบ้างยืน บ้างห่มผ้านอนดู
ห่างจากเวทีออกมาหากยังอยู่กลางฝูงชนนั้น
“นอนเถอะว่ะบักเซียง” ทองอินทร์เอ่ยปากบอกเพื่อนขณะเตรียมตัวเอนกาย
“เดี๋ยวก่อนสิ ข้ารอดูขวัญใจข้าก่อน” เซียงพูดโดยสายตายังคงจับจ้องอยู่กับภาพบนจอ โยกกายตามภาพวิดีโอและเสียงร้องของผู้กำลังก้าวขึ้นเวที
ถ้อยคำปลุกเร้าใจดังขึ้นแทนเสียงเพลงที่จบลง ความสนใจของเซียงยังคงมุ่งมั่นอยู่กับภาพและเสียงตรงหน้า ขณะทองอินทร์นอนคิดทบทวนเรื่องราว
.
“เราต้องทำเพื่อบ้านเมือง เพื่อความเท่าเทียมในสังคม และประชาธิปไตย’
เซียงบอกกับเขาที่เถียงนาในวันนั้น ช่วงเวลาเมฆดำโอบคลุมด้านหนึ่งของฟากฟ้า
‘เรายอมไม่ได้ หากเรายอมแพ้จะมีใครทำเพื่อเรา เมื่อไม่มีใครทำเพื่อเรา ก็จะมีแต่พวกบ้าอำนาจเอารัดเอาเปรียบครองเมืองเท่านั้น’
‘ใช่ เพื่อความถูกต้อง’
ทองอินทร์จำได้ว่ารับคำพลางแหงนมองเงาทะมึนเหนือหัว จากเสียงครืนที่ดังมา
เขาพยายามสลัดทิ้งเรื่องราว เพื่อข่มตาหลับท่ามกลางเสียงปลุกใจ
.
แม้ว่าบ่ายนี้จะมีฝนพรำ แต่กิจกรรมบนเวทียังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ฝูงชนยังคงยืนหยัดปักหลักกันอยู่อย่างนั้น
“ดีนะที่มีร่มติดมา” ทองอินทร์พึมพำ ทอดตาผ่านสายฝนขณะนั่งเบียดอยู่ใต้ร่มคันเดียวกันกับเซียง ละอองน้ำกระเซ็นจับผิวกาย
“นี่แหละฤกษ์เย็น รู้ไหม ด้วยพระบารมีของพระสยามเทวาธิราชผู้คอยปกป้องพวกเราช่วยดลบันดาลไงล่ะ” เซียงบอกกับทองอินทร์ สองมือกอดเข่าแนบอก ริมฝีปากที่คล้ำขึ้นนั้นสั่นเล็กน้อย
.
ท่ามกลางความมืดมิดนั้น จู่ ๆ เปลวเพลิงก็ลุกโหมขึ้น ความน่าหวาดกลัวสะบัดแสงกับความบ้าคลั่ง ทองอินทร์เบิกตากว้างจับจ้องฟ้าแดงฉาน ใจเต้นแรงเร่งสูบฉีดเลือดในกาย รับรู้ได้ถึงความสะพรึงกลัวและแรงบีบคั้น ขณะร่างกายเหมือนถูกตรึงเกินเคลื่อนไหวได้ พยายามดิ้นรนกลับสะดุ้งตื่นลืมตา
เขาปาดเหงื่อบนใบหน้า ลุกนั่งท่ามกลางฝูงชนที่ยังหลับใหลอยู่โดยรอบ รู้สึกได้ถึงแรงเต้นเป็นจังหวะจากอกซ้ายขณะหันมองรอบกาย เวทีที่เคยมีเสียงปลุกเร้าเงียบสงบลงแล้ว
เขาฝันร้าย ฝันเห็นไฟถือเป็นลางร้าย ทองอินทร์นึกถึงถ้อยคำโบราณแล้วอดห่วงฅนอยู่ทางหลังและบ้านที่จากมาไม่ได้
.
“ข้าสบายดีไม่เป็นอะไรดอก”
ทองอินทร์นั่งเอนหลังพิงเสา ยิ้มมองภรรยาที่พูดพลางจัดเตรียมสำรับกับข้าวไปพลาง นานครั้งได้กลับมานั่งร่วมวงปั้นจิ้มด้วยกันแบบนี้ก็ดูมีความสุขดี ทั้งที่ตอนอยู่ด้วยกันมีแต่จะกระทบกระทั่ง
อดขำตัวเองไม่ได้ที่คิดมาก บางทีมันก็แค่ความฝัน แต่โบราณเขาว่าไว้อย่างนั้นนี่นา หรือบางทีบุญกุศลที่เขาหมั่นสร้างอาจส่งผลแล้วก็ได้ จะว่าไปก็นานแล้วที่เขาไม่เคยเจอเรื่องร้ายอะไรเข้ามาในชีวิต ทองอินทร์คิดพลางปั้นข้าวเหนียวจิ้มปลาร้าสับส่งเข้าปาก รับรู้ถึงรสชาติความอร่อยเป็นพิเศษของอาหารบ้าน ๆ รสชาติคุ้นลิ้นทำให้ลืมข้าวมันไก่ หรือผัดกะเพราในกล่องโฟมกลางสนามประชาธิปไตย ที่มักมีของแถมในกล่องติดมาด้วยเสมอนั่นเลยทีเดียว
.
“ที่เอ็งทำอยู่นี่ใคร ๆ เขาก็บอกว่าดี เอ็งทำดีแล้ว มีแต่ฅนชื่นชม บักมันยังบอกว่าโก้ดี อยากไปกับเอ็งด้วยแต่แม่มันไม่ยอม ก็มันตัวแค่นั้นนั่นนะ” ภรรยาพูดพลางหัวเราะอารมณ์ดี ทองอินทร์ก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
ภารกิจยังไม่ลุล่วง อีกสองวันต้องเข้ากรุงอีกครั้ง แม้จะรู้สึกสุขใจกับบ้านเกิด แต่สิ่งที่ทำนั้นคือหน้าที่ความดี เขาต้องเสียสละ ทองอินทร์ทอดสายตาเลยชายคากระท่อมออกไป บ้านหลังใหม่ซึ่งสร้างจากน้ำพักน้ำแรงใกล้แล้วเสร็จเต็มที เป็นความภาคภูมิใจ ที่ได้นับวันรอเวลาขึ้นบ้านใหม่
ขณะกำลังเพลินกับความคิด เสียงนั้นก็มาเรียกร้องความสนใจให้ออกมองหา ห่างกระท่อมออกไปสักหน่อย เขียดน้อยตัวนั้นทำได้เพียงส่งเสียงอยู่ในปากงูหิว ทองอินทร์รู้สึกได้ถึงสัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กตามคำโบราณว่า เจ้าเขียดน้อยนี้คงไม่ต่างอะไรกับเขาที่เกิดมาเป็นชนชั้นล่างสุด รังแต่จะถูกเอารัดเอาเปรียบเช่นกัน
อีการ้องดังบนยอดไม้เมื่อทองอินทร์เดินยิ้มกลับเข้ากระท่อม เขาทิ้งซากงูไว้อย่างนั้น หลังจากช่วยเขียดให้เป็นอิสระได้แล้ว
.
ถึงวันต้องกลับเข้ากรุงอีกครั้ง บ้านใหม่นั้นแม้จะยังไม่ได้เข้าอยู่ แต่ข้าวของบางส่วนก็ถูกย้ายเข้าไปบ้างแล้ว
หน้าหิ้งพระข้างฝาบ้าน ควันธูปลอยม้วนบิดเบี้ยวสู่เพดานท่ามกลางความสลัวของเช้าตรู่ เปลวเทียนเอนไหวส่งแสงวับแวม ทองอินทร์ยืนพนมมือท่องบทสวดสั้น ๆ ขอพรให้แคล้วคลาด ขอคุณพระคุ้มครองภรรยาและความถูกต้อง พระปฏิมายังคงยิ้มน้อย ๆ เขายกมือจดหน้าผากเมื่อสิ้นคำอธิษฐาน ก่อนจากลาบ้านเกิดอีกครั้ง
.
“ช่วงนี้ต้องระวังกันหน่อย พวกมันชักเล่นงานเราหนักขึ้นทุกวัน” เซียงบอกกับทองอินทร์ทันทีที่ได้เจอกัน คำบอกเล่าถึงเรื่องราวในช่วงที่เขากลับบ้านนั้น เหมือนช่วยเพิ่มระดับความเร้าใจจากบนเวทีให้ยิ่งเข้มข้นขึ้น ทองอินทร์ได้แต่สูดลมหายใจลึกเข้าปอด รู้สึกถึงเลือดในกายที่ฉีดพล่าน
“ทำอะไรวะ” เซียงถามเมื่อเห็นทองอินทร์นั่งนิ่งหลับตา
“แผ่เมตตาให้พวกมัน” ตอบขณะลืมตาขึ้น
“เอ็งนี่ธรรมะธัมโมจริง ๆ มีแผ่เมตตาให้ศัตรูด้วย”
ทองอินทร์ได้แต่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ “มันจะได้พ่ายแพ้เราไปเอง”
.
ความตึงเครียดที่ก่อตัวมานานดูยิ่งทวีความรุนแรง ไม่ว่าจะวัดจากระดับความเข้มข้นบนเวที จากวิดีโอลิงก์ หรือจากจำนวนรถหุ้มเกราะที่รายล้อมอยู่โดยรอบก็ตาม
และภายในวงล้อมนั้น ทองอินทร์ยังคงมั่นใจว่าพวกเขาต้องชนะ ตราบใดที่ยังมีเสียงปลุกเร้า ยังมีฝูงชน มีเหล่าพี่น้องพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน และตรบใดที่ยังมีวิดีโอลิงก์จากแดนไกล เขาจะไม่มีวันแพ้ไม่ว่าอย่างไร ประชาธิปไตยต้องอยู่คู่บ้านเมือง หากบ้านเมืองไม่มีประชาธิปไตย สังคมจะอยู่ได้อย่างไร เขาเป็นฅนหนึ่งที่จะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น
แต่ทองอินทร์กลับต้องทิ้งอุดมการณ์ทิ้งความวุ่นวายในเมืองหลวงไว้เบื้องหลังอีกครั้ง
.
รถ บขส. แล่นไปบนถนนแห้งแล้งยาวไกลภายใต้ท้องฟ้าครึ้มดำนั้น ทองอินทร์ได้แต่นั่งทบทวน พยายามหาคำตอบ หรือว่าทั้งชีวิตของเขา จะผูกติดกับโชคชะตาที่ไม่มีวันแก้ไขได้เลยหรืออย่างไร
“วันนั้นเมื่อแกไปได้สักพัก ข้าเห็นมีควันเลยออกมาดู”
ภรรยาพูดพลางป้ายน้ำตา แหงนมองฟ้าเบือนหน้าหนีภาพสะเทือนใจ ทองอินทร์ยังคงนิ่งงันกับโครงบ้านที่กลายเป็นสีดำและกองเถ้าถ่านตรงหน้า
"กว่าชาวบ้านจะมาช่วยกันดับไฟ กว่าที่ข้าจะติดต่อแกได้” เธอพยายามลำดับเรื่องราว ทั้งฝืนก้อนสะอื้นจุกคอ
คำถามที่ทองอินทร์ต้องการคำตอบมากสุดก็คือทำไม ทั้งที่เขาพยายามสร้างบุญกุศล ทั้งเสียสละและหมั่นทำความดีมิได้ขาด แล้วทำไมโชคชะตาถึงคอยแต่จะกลั่นแกล้งอยู่ร่ำไป เขาทั้งละเว้นจากการพูดเท็จ ไม่ข้องแวะกับอบายมุขทั้งปวง หมั่นทำบุญทำทาน ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า แม้แต่เขียดตัวน้อยเขายังมองเห็นคุณค่าชีวิตของมัน ยิ่งเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเขามีแต่ให้ความเคารพยำเกรงไม่เคยคิดลบหลู่ เขาไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ทุกแห่งที่เจอ แม้แต่เศษพัง ๆ ที่ฅนชอบเอามาวางทิ้งตามต้นไม้ข้างทาง เขายังให้ความเคารพทุกครั้งที่ผ่าน เรื่องการเสียสละรักพวกพ้องรักชาติบ้านเมืองรักประชาธิปไตย เขานั้นไม่เป็นรองใครเช่นกัน แล้วทำไมฟ้าดินถึงคอยกลั่นแกล้งอยู่ร่ำไป ทองอินทร์ได้แต่ท้อใจในโชคชะตา ทั้งยังไม่รู้ว่ามันจะเล่นตลกอะไรกับเขาได้อีก
.
ตลาดยามเช้าของที่นี่ยังเป็นปกติกับความเงียบสงบ ร้านกาแฟตรงมุมตลาดวันนี้ยังเหมือนเดิมเช่นกัน ทองอินทร์คนกาแฟเข้มดำเข้ากับสีขาวของนมสดที่อยู่ก้นแก้ว ยกขึ้นจิบช้า ๆ เมื่อมันกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม
เสียงอ่านข่าวผ่านจอสี่เหลี่ยมจากมุมสูงในร้าน ทองอิยทร์หันมองพวกพ้องที่จากมา หลายวันแล้วเขาไม่เคยได้สนใจข่าวคราวเลย แต่ภาพบนจอกลับทำให้ผะอืดผะอมและชาวูบไปทั้งร่าง สนามประชาธิปไตยกลายเป็นสนามรบไปแล้ว เปลวไฟ ควันดำ ทั้งเมืองเต็มไปด้วยเปลวไฟและควันดำ มันครอบคลุมทั้งผืนฟ้า มีรายงานผู้บาดเจ็บล้มตายสลับภาพเปลวไฟ การต่อสู้ ความสูญเสีย ทุกอย่างในจอดูสับสนไปหมด ไม่ต่างจากความคิดของเขาในยามนี้เช่นกัน
มันเหมือนฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอนมาตลอด หากแต่นี่ไม่ใช่ฝัน ทองอินทร์รับรู้ถึงความปั่นป่วนในท้องและจุกแน่นในอก
‘ชะตาของเจ้าตกเลขไฟไหม้เสาเรือน’
วูบหนึ่งของการหวนคิดถึงคำทำนาย ทองอินทร์รับรู้ได้ว่าชะตากรรมของเขานั้น ช่างชั่วร้ายกว่าที่คิดเสียยิ่งนัก
.
กังสดาลยังคงส่งเสียงแว่วจากหลังคาโบสถ์ ใบโพธิ์ยังคงพลิ้วไหวรับสายลม แม้จะสับสนและหวั่นไหวบ้าง แต่ทองอินทร์ยังคงไม่หมดศรัทธาในความดี
ปลาไหลยังดิ้นอยู่ในถุง สระน้ำอยู่ตรงหน้า สิ่งที่เห็นกลับทำให้ต้องแปลกใจ มันลอยสงบนิ่งอยู่ในสระเมื่อเขามาถึง พร้อมกับแมลงวันตอมไต่
“จะเอาปลามาปล่อยรึโยม”
เขาสะดุ้งกับคำทักทายของภิกษุชราที่ดังจากด้านหลัง ทองอินทร์หันมอง พยายามยกมือไหว้ทั้งถุงปลา
“ครับหลวงพ่อ เจอที่ตลาดเลยซื้อมาสะเดาะเคราะห์ครับ”
“อย่าเลย สระนี้มันไม่ใช่ที่อยู่ของปลาไหลดอก” หลวงพ่อกล่าวช้า ๆ กับเขา “เต่าบกนั่นก็เหมือนกัน”
ท่ามกลางความสับสน ทองอินทร์หันมองร่างลอยอืดทั้งกระดองนั่นอีกครั้ง.
ใครลิขิต
โดย : ละเว้
'ชะตาของเจ้าตกเลขไฟไหม้เสาเรือน เรื่องความเจริญก้าวหน้าจึงค่อนข้างลำบากอยู่สักหน่อย เพราะดวงของเจ้าเป็นดวงผลาญทรัพย์ ดั่งผู้ที่เผาเรือนของตนเอง ยากจะรักษาสมบัติที่มีหรือหามาได้ นอกจากคอยทำลายเสียมากกว่า'
'ทางแก้นั้นพอมี เพียงแต่เจ้าต้องตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม หมั่นทำคุณงามความดี แล้วสิ่งดีจะบังเกิดแก่เจ้าเอง'
นั่นคือคำทำนายซึ่งกลายเป็นเสมือนตราประทับติดตัวทองอินทร์มาตลอด เขาจำไม่ได้แล้วว่ารับรู้ความจริงข้อนี้มาตั้งแต่เมื่อไร
จากลูกโทนของครอบครัวพอมีฐานะ เมื่อสิ้นบุญพ่อแม่ ชะตาชีวิตของเขายิ่งดูชัดขึ้นกับชีวิตที่ตกต่ำลง ทั้งที่เขาเองนั้นหาใช่ฅนเกียจคร้านหรือชอบใช้ชีวิตยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขอะไรที่ไหน แต่เป็นเพราะเมื่อชีวิตกำลังดำเนินไปด้วยดี เขาจะมีเคราะห์กรรมซ้ำซัดเข้ามาไม่ขาด บางครั้งหากไม่เป็นเรื่องเจ็บป่วย ก็มีเรื่องราวให้ต้องเสียเงินเสียทอง สูญเสียทรัพย์สินเสมอ ชีวิตครอบครัวนั้นก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ มีเรื่องระหองระแหงกันตลอดระหว่างเขากับภรรยา
และแม้จะโทษชะตาฟ้าลิขิต หากไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้จากมันเป็นอันขาด ทองอินทร์หมั่นเพียรสร้างบุญกุศล มุ่งมั่นทำดี มุมานะทำงานหาเงินเก็บหอมรอมริบ ด้วยหวังเอาชนะลิขิตฟ้าด้วยมานะตนให้จงได้
.
“ได้มาจากไหนวะบักอิน ตัวกำลังต้มเปรตเลยนะ”
ทองอินทร์ก้มมองถุงพลาสติกในมือก่อนหันไปตอบบุญเพ็ง
“ว่าจะเอาไปปล่อย ซื้อมาจากตลาด พรุ่งนี้จะเข้ากรุงเทพแล้วเลยอยากปล่อยปลาทำบุญเสียบ้าง” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถือว่าสะเดาะเคราะห์ไปด้วยในตัว ปล่อยปลาไหล ชีวิตจะได้ลื่นไหล”
“สายบุญจริง ๆ นะเอ็ง น่าเสียดายต้มเปรต แต่เอาเถอะ ได้บุญ ๆ” เมื่อพูดจบบุญเพ็งจึงครวญเพลงหันหลังเดินขึ้นสู่กุฏิหลวงตาอันเป็นที่อยู่อาศัยของเขาด้วยเช่นกัน
ทองอินทร์ท่องคำอธิษฐานเหยียดยาวก่อนเทปลาจากถุงลงน้ำ แล้วพารอยยิ้มอิ่มเอมออกจากวัดไป
ปลาไหลสามตัวยังคงว่ายวนตามแนวอิฐบล็อกกั้นขอบสระ นานเข้าก็พากันทิ้งดิ่งลอยตัวตั้งตรงอยู่อย่างนั้น
.
ความอบอ้าวเป็นปกติของเมืองคอนกรีตแม้ยามค่ำคืน ท่ามกลางแสงสีฉาบราตรี สถานที่ซึ่งเป็นลานกว้างนั้นแออัดด้วยจำนวนฝูงชน เสียงเพลงกระหึ่มจากเวทีสูงเป็นจุดดึงดูดความสนใจ จอภาพขนาดใหญ่ด้านข้างฉายภาพบนเวทีและรอบบริเวณไปพร้อมกัน เหล่าผู้ฅนบ้างโยกกายตามจังหวะเสียงเพลง บ้างนั่งบ้างยืน บ้างห่มผ้านอนดู
ห่างจากเวทีออกมาหากยังอยู่กลางฝูงชนนั้น
“นอนเถอะว่ะบักเซียง” ทองอินทร์เอ่ยปากบอกเพื่อนขณะเตรียมตัวเอนกาย
“เดี๋ยวก่อนสิ ข้ารอดูขวัญใจข้าก่อน” เซียงพูดโดยสายตายังคงจับจ้องอยู่กับภาพบนจอ โยกกายตามภาพวิดีโอและเสียงร้องของผู้กำลังก้าวขึ้นเวที
ถ้อยคำปลุกเร้าใจดังขึ้นแทนเสียงเพลงที่จบลง ความสนใจของเซียงยังคงมุ่งมั่นอยู่กับภาพและเสียงตรงหน้า ขณะทองอินทร์นอนคิดทบทวนเรื่องราว
.
“เราต้องทำเพื่อบ้านเมือง เพื่อความเท่าเทียมในสังคม และประชาธิปไตย’
เซียงบอกกับเขาที่เถียงนาในวันนั้น ช่วงเวลาเมฆดำโอบคลุมด้านหนึ่งของฟากฟ้า
‘เรายอมไม่ได้ หากเรายอมแพ้จะมีใครทำเพื่อเรา เมื่อไม่มีใครทำเพื่อเรา ก็จะมีแต่พวกบ้าอำนาจเอารัดเอาเปรียบครองเมืองเท่านั้น’
‘ใช่ เพื่อความถูกต้อง’
ทองอินทร์จำได้ว่ารับคำพลางแหงนมองเงาทะมึนเหนือหัว จากเสียงครืนที่ดังมา
เขาพยายามสลัดทิ้งเรื่องราว เพื่อข่มตาหลับท่ามกลางเสียงปลุกใจ
.
แม้ว่าบ่ายนี้จะมีฝนพรำ แต่กิจกรรมบนเวทียังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ฝูงชนยังคงยืนหยัดปักหลักกันอยู่อย่างนั้น
“ดีนะที่มีร่มติดมา” ทองอินทร์พึมพำ ทอดตาผ่านสายฝนขณะนั่งเบียดอยู่ใต้ร่มคันเดียวกันกับเซียง ละอองน้ำกระเซ็นจับผิวกาย
“นี่แหละฤกษ์เย็น รู้ไหม ด้วยพระบารมีของพระสยามเทวาธิราชผู้คอยปกป้องพวกเราช่วยดลบันดาลไงล่ะ” เซียงบอกกับทองอินทร์ สองมือกอดเข่าแนบอก ริมฝีปากที่คล้ำขึ้นนั้นสั่นเล็กน้อย
.
ท่ามกลางความมืดมิดนั้น จู่ ๆ เปลวเพลิงก็ลุกโหมขึ้น ความน่าหวาดกลัวสะบัดแสงกับความบ้าคลั่ง ทองอินทร์เบิกตากว้างจับจ้องฟ้าแดงฉาน ใจเต้นแรงเร่งสูบฉีดเลือดในกาย รับรู้ได้ถึงความสะพรึงกลัวและแรงบีบคั้น ขณะร่างกายเหมือนถูกตรึงเกินเคลื่อนไหวได้ พยายามดิ้นรนกลับสะดุ้งตื่นลืมตา
เขาปาดเหงื่อบนใบหน้า ลุกนั่งท่ามกลางฝูงชนที่ยังหลับใหลอยู่โดยรอบ รู้สึกได้ถึงแรงเต้นเป็นจังหวะจากอกซ้ายขณะหันมองรอบกาย เวทีที่เคยมีเสียงปลุกเร้าเงียบสงบลงแล้ว
เขาฝันร้าย ฝันเห็นไฟถือเป็นลางร้าย ทองอินทร์นึกถึงถ้อยคำโบราณแล้วอดห่วงฅนอยู่ทางหลังและบ้านที่จากมาไม่ได้
.
“ข้าสบายดีไม่เป็นอะไรดอก”
ทองอินทร์นั่งเอนหลังพิงเสา ยิ้มมองภรรยาที่พูดพลางจัดเตรียมสำรับกับข้าวไปพลาง นานครั้งได้กลับมานั่งร่วมวงปั้นจิ้มด้วยกันแบบนี้ก็ดูมีความสุขดี ทั้งที่ตอนอยู่ด้วยกันมีแต่จะกระทบกระทั่ง
อดขำตัวเองไม่ได้ที่คิดมาก บางทีมันก็แค่ความฝัน แต่โบราณเขาว่าไว้อย่างนั้นนี่นา หรือบางทีบุญกุศลที่เขาหมั่นสร้างอาจส่งผลแล้วก็ได้ จะว่าไปก็นานแล้วที่เขาไม่เคยเจอเรื่องร้ายอะไรเข้ามาในชีวิต ทองอินทร์คิดพลางปั้นข้าวเหนียวจิ้มปลาร้าสับส่งเข้าปาก รับรู้ถึงรสชาติความอร่อยเป็นพิเศษของอาหารบ้าน ๆ รสชาติคุ้นลิ้นทำให้ลืมข้าวมันไก่ หรือผัดกะเพราในกล่องโฟมกลางสนามประชาธิปไตย ที่มักมีของแถมในกล่องติดมาด้วยเสมอนั่นเลยทีเดียว
.
“ที่เอ็งทำอยู่นี่ใคร ๆ เขาก็บอกว่าดี เอ็งทำดีแล้ว มีแต่ฅนชื่นชม บักมันยังบอกว่าโก้ดี อยากไปกับเอ็งด้วยแต่แม่มันไม่ยอม ก็มันตัวแค่นั้นนั่นนะ” ภรรยาพูดพลางหัวเราะอารมณ์ดี ทองอินทร์ก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
ภารกิจยังไม่ลุล่วง อีกสองวันต้องเข้ากรุงอีกครั้ง แม้จะรู้สึกสุขใจกับบ้านเกิด แต่สิ่งที่ทำนั้นคือหน้าที่ความดี เขาต้องเสียสละ ทองอินทร์ทอดสายตาเลยชายคากระท่อมออกไป บ้านหลังใหม่ซึ่งสร้างจากน้ำพักน้ำแรงใกล้แล้วเสร็จเต็มที เป็นความภาคภูมิใจ ที่ได้นับวันรอเวลาขึ้นบ้านใหม่
ขณะกำลังเพลินกับความคิด เสียงนั้นก็มาเรียกร้องความสนใจให้ออกมองหา ห่างกระท่อมออกไปสักหน่อย เขียดน้อยตัวนั้นทำได้เพียงส่งเสียงอยู่ในปากงูหิว ทองอินทร์รู้สึกได้ถึงสัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กตามคำโบราณว่า เจ้าเขียดน้อยนี้คงไม่ต่างอะไรกับเขาที่เกิดมาเป็นชนชั้นล่างสุด รังแต่จะถูกเอารัดเอาเปรียบเช่นกัน
อีการ้องดังบนยอดไม้เมื่อทองอินทร์เดินยิ้มกลับเข้ากระท่อม เขาทิ้งซากงูไว้อย่างนั้น หลังจากช่วยเขียดให้เป็นอิสระได้แล้ว
.
ถึงวันต้องกลับเข้ากรุงอีกครั้ง บ้านใหม่นั้นแม้จะยังไม่ได้เข้าอยู่ แต่ข้าวของบางส่วนก็ถูกย้ายเข้าไปบ้างแล้ว
หน้าหิ้งพระข้างฝาบ้าน ควันธูปลอยม้วนบิดเบี้ยวสู่เพดานท่ามกลางความสลัวของเช้าตรู่ เปลวเทียนเอนไหวส่งแสงวับแวม ทองอินทร์ยืนพนมมือท่องบทสวดสั้น ๆ ขอพรให้แคล้วคลาด ขอคุณพระคุ้มครองภรรยาและความถูกต้อง พระปฏิมายังคงยิ้มน้อย ๆ เขายกมือจดหน้าผากเมื่อสิ้นคำอธิษฐาน ก่อนจากลาบ้านเกิดอีกครั้ง
.
“ช่วงนี้ต้องระวังกันหน่อย พวกมันชักเล่นงานเราหนักขึ้นทุกวัน” เซียงบอกกับทองอินทร์ทันทีที่ได้เจอกัน คำบอกเล่าถึงเรื่องราวในช่วงที่เขากลับบ้านนั้น เหมือนช่วยเพิ่มระดับความเร้าใจจากบนเวทีให้ยิ่งเข้มข้นขึ้น ทองอินทร์ได้แต่สูดลมหายใจลึกเข้าปอด รู้สึกถึงเลือดในกายที่ฉีดพล่าน
“ทำอะไรวะ” เซียงถามเมื่อเห็นทองอินทร์นั่งนิ่งหลับตา
“แผ่เมตตาให้พวกมัน” ตอบขณะลืมตาขึ้น
“เอ็งนี่ธรรมะธัมโมจริง ๆ มีแผ่เมตตาให้ศัตรูด้วย”
ทองอินทร์ได้แต่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ “มันจะได้พ่ายแพ้เราไปเอง”
.
ความตึงเครียดที่ก่อตัวมานานดูยิ่งทวีความรุนแรง ไม่ว่าจะวัดจากระดับความเข้มข้นบนเวที จากวิดีโอลิงก์ หรือจากจำนวนรถหุ้มเกราะที่รายล้อมอยู่โดยรอบก็ตาม
และภายในวงล้อมนั้น ทองอินทร์ยังคงมั่นใจว่าพวกเขาต้องชนะ ตราบใดที่ยังมีเสียงปลุกเร้า ยังมีฝูงชน มีเหล่าพี่น้องพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน และตรบใดที่ยังมีวิดีโอลิงก์จากแดนไกล เขาจะไม่มีวันแพ้ไม่ว่าอย่างไร ประชาธิปไตยต้องอยู่คู่บ้านเมือง หากบ้านเมืองไม่มีประชาธิปไตย สังคมจะอยู่ได้อย่างไร เขาเป็นฅนหนึ่งที่จะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น
แต่ทองอินทร์กลับต้องทิ้งอุดมการณ์ทิ้งความวุ่นวายในเมืองหลวงไว้เบื้องหลังอีกครั้ง
.
รถ บขส. แล่นไปบนถนนแห้งแล้งยาวไกลภายใต้ท้องฟ้าครึ้มดำนั้น ทองอินทร์ได้แต่นั่งทบทวน พยายามหาคำตอบ หรือว่าทั้งชีวิตของเขา จะผูกติดกับโชคชะตาที่ไม่มีวันแก้ไขได้เลยหรืออย่างไร
“วันนั้นเมื่อแกไปได้สักพัก ข้าเห็นมีควันเลยออกมาดู”
ภรรยาพูดพลางป้ายน้ำตา แหงนมองฟ้าเบือนหน้าหนีภาพสะเทือนใจ ทองอินทร์ยังคงนิ่งงันกับโครงบ้านที่กลายเป็นสีดำและกองเถ้าถ่านตรงหน้า
"กว่าชาวบ้านจะมาช่วยกันดับไฟ กว่าที่ข้าจะติดต่อแกได้” เธอพยายามลำดับเรื่องราว ทั้งฝืนก้อนสะอื้นจุกคอ
คำถามที่ทองอินทร์ต้องการคำตอบมากสุดก็คือทำไม ทั้งที่เขาพยายามสร้างบุญกุศล ทั้งเสียสละและหมั่นทำความดีมิได้ขาด แล้วทำไมโชคชะตาถึงคอยแต่จะกลั่นแกล้งอยู่ร่ำไป เขาทั้งละเว้นจากการพูดเท็จ ไม่ข้องแวะกับอบายมุขทั้งปวง หมั่นทำบุญทำทาน ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า แม้แต่เขียดตัวน้อยเขายังมองเห็นคุณค่าชีวิตของมัน ยิ่งเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเขามีแต่ให้ความเคารพยำเกรงไม่เคยคิดลบหลู่ เขาไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ทุกแห่งที่เจอ แม้แต่เศษพัง ๆ ที่ฅนชอบเอามาวางทิ้งตามต้นไม้ข้างทาง เขายังให้ความเคารพทุกครั้งที่ผ่าน เรื่องการเสียสละรักพวกพ้องรักชาติบ้านเมืองรักประชาธิปไตย เขานั้นไม่เป็นรองใครเช่นกัน แล้วทำไมฟ้าดินถึงคอยกลั่นแกล้งอยู่ร่ำไป ทองอินทร์ได้แต่ท้อใจในโชคชะตา ทั้งยังไม่รู้ว่ามันจะเล่นตลกอะไรกับเขาได้อีก
.
ตลาดยามเช้าของที่นี่ยังเป็นปกติกับความเงียบสงบ ร้านกาแฟตรงมุมตลาดวันนี้ยังเหมือนเดิมเช่นกัน ทองอินทร์คนกาแฟเข้มดำเข้ากับสีขาวของนมสดที่อยู่ก้นแก้ว ยกขึ้นจิบช้า ๆ เมื่อมันกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม
เสียงอ่านข่าวผ่านจอสี่เหลี่ยมจากมุมสูงในร้าน ทองอิยทร์หันมองพวกพ้องที่จากมา หลายวันแล้วเขาไม่เคยได้สนใจข่าวคราวเลย แต่ภาพบนจอกลับทำให้ผะอืดผะอมและชาวูบไปทั้งร่าง สนามประชาธิปไตยกลายเป็นสนามรบไปแล้ว เปลวไฟ ควันดำ ทั้งเมืองเต็มไปด้วยเปลวไฟและควันดำ มันครอบคลุมทั้งผืนฟ้า มีรายงานผู้บาดเจ็บล้มตายสลับภาพเปลวไฟ การต่อสู้ ความสูญเสีย ทุกอย่างในจอดูสับสนไปหมด ไม่ต่างจากความคิดของเขาในยามนี้เช่นกัน
มันเหมือนฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอนมาตลอด หากแต่นี่ไม่ใช่ฝัน ทองอินทร์รับรู้ถึงความปั่นป่วนในท้องและจุกแน่นในอก
‘ชะตาของเจ้าตกเลขไฟไหม้เสาเรือน’
วูบหนึ่งของการหวนคิดถึงคำทำนาย ทองอินทร์รับรู้ได้ว่าชะตากรรมของเขานั้น ช่างชั่วร้ายกว่าที่คิดเสียยิ่งนัก
.
กังสดาลยังคงส่งเสียงแว่วจากหลังคาโบสถ์ ใบโพธิ์ยังคงพลิ้วไหวรับสายลม แม้จะสับสนและหวั่นไหวบ้าง แต่ทองอินทร์ยังคงไม่หมดศรัทธาในความดี
ปลาไหลยังดิ้นอยู่ในถุง สระน้ำอยู่ตรงหน้า สิ่งที่เห็นกลับทำให้ต้องแปลกใจ มันลอยสงบนิ่งอยู่ในสระเมื่อเขามาถึง พร้อมกับแมลงวันตอมไต่
“จะเอาปลามาปล่อยรึโยม”
เขาสะดุ้งกับคำทักทายของภิกษุชราที่ดังจากด้านหลัง ทองอินทร์หันมอง พยายามยกมือไหว้ทั้งถุงปลา
“ครับหลวงพ่อ เจอที่ตลาดเลยซื้อมาสะเดาะเคราะห์ครับ”
“อย่าเลย สระนี้มันไม่ใช่ที่อยู่ของปลาไหลดอก” หลวงพ่อกล่าวช้า ๆ กับเขา “เต่าบกนั่นก็เหมือนกัน”
ท่ามกลางความสับสน ทองอินทร์หันมองร่างลอยอืดทั้งกระดองนั่นอีกครั้ง.