JJNY : ส.นักกม.สิทธิ แถลงถึง ศปปส.│รองโฆษกก้าวไกล ซัด อัครเดช│“สุพันธุ์”โอด ดอกเบี้ยบาน │อิสราเอลถล่มราฟาห์เช้าวันนี้

สมาคมนักกม.สิทธิ ร่อนแถลงการณ์ถึง ศปปส. หยุดใช้ความรุนแรงต่อผู้เห็นต่าง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4420183
 
 
สมาคมนักกม.สิทธิ ร่อนแถลงการณ์ถึง ศปปส. หยุดใช้ความรุนแรงต่อผู้เห็นต่าง
 
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน – HRLA” โพสต์ข้อความระบุว่า
 
[แถลงการณ์สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและองค์กรร่วม ถึง ถึงกลุ่มปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์: หยุดใช้ความรุนแรงต่อผู้เห็นต่างทางความคิด]
 
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ขณะที่นางสาวทานตะวัน ตัวตุลานนท์ กลุ่มทะลุวังได้จัดกิจกรรมทำโพลตั้งคำถามถึงขบวนเสด็จฯ ในคำถามว่า “คุณคิดว่าขบวนเสด็จสร้างความเดือดร้อนหรือไม่?” และขณะกำลังชี้แจงสื่อมวลชนบริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS สยาม เกี่ยวกับกรณีบีบแตรใส่ขบวนเสด็จฯ โดยกล่าวขอโทษที่ขับรถเร็วและไม่ระมัดระวังจนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนคนอื่นที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ขอน้อมรับผิดเอาไว้
 
โดยขณะที่ยืนแถลงนั้น ชายสวมเสื้อสีน้ำเงินของกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ได้เดินเข้ามาและเกิดปะทะกันกับกลุ่มของนางสาวทานตะวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามากันทั้งสองฝ่ายออกจากกัน แต่ไม่เป็นผล เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องถึงพื้นที่เอกชน (ห้างสรรพสินค้า)
 
การกระทำของนางสาวทานตะวันเกี่ยวกับเหตุการณ์ขบวนเสด็จฯ นั้น กลุ่ม ศปปส. และกลุ่มปกป้องสถาบันควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายในการพิจารณาว่าเป็นความผิดหรือไม่ ส่วนการทำโพลในวันเกิดเหตุ เป็นเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองที่อยู่ในขอบเขตที่สามารถทำได้ การที่กลุ่ม ศปปส. ใช้กำลังเข้าทำร้ายร่างกายผู้เห็นต่างทางความคิด โดยบางคนสวมเสื้อ save 112 บางคนสวมเสื้อเหลืองอันเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงความจงรักภักดี แต่กลับใช้กำลังเข้าทำร้ายร่างกายผู้อื่น การใช้ความรุนแรงต่อผู้เห็นต่างทางความคิดไม่อาจถูกยอมรับให้เป็นวิธีการที่ชอบธรรมในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อสายตาชาวโลกได้
 
อีกทั้งยังเป็นการทำให้สังคมตกอยู่ในความหวาดกลัวว่าอาจเกิดเหตุการณ์เข่นฆ่าผู้เห็นต่างซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่สังคมไทยเคยเผชิญ กลุ่ม ศปปส. ควรหยุดพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าวและปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ควรถูกใช้เป็นเหตุผลหรือข้ออ้างในการทำร้ายบุคคลใด และผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นกลุ่ม ศปปส. ควรใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาแทนการใช้ความรุนแรง
 
กลุ่มที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น กลุ่ม ศปปส. , กลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน ฯลฯ เป็นกลุ่มที่มักใช้ความรุนแรงต่อผู้เห็นต่างทางความคิด เช่น นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ประธาน ศปปส. ถูกศาลพิพากษาว่าทำร้ายร่างกายนายสายน้ำ  กลุ่มทะลุวัง นอกจากนี้นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ยังไลฟ์ถ่ายทอดสดขู่เอาชีวิตนักกิจกรรม เช่น หยก  ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้เมื่อเดือนตุลาคม 2566 กลุ่ม ศปปส. ได้ข่มขู่คุกคามโดยแสดงท่าทีว่าจะเข้าทำร้ายร่างกายกลุ่มนักกิจกรรมที่ปักหลักเรียกร้องสิทธิประกันตัวผู้ต้องขังที่หน้าศาลอาญา และอีกหลายกรณีที่กลุ่มปกป้องสถาบันกลุ่มต่างๆ มีพฤติกรรมข่มขู่คุกคามและใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้เห็นต่างทางความคิด  หลังเกิดเหตุเมื่อวานนี้ มีการโพสต์ข้อความข่มขู่เอาชีวิตตะวันเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู
 
ดังนั้น เพื่อไม่ให้กลุ่มปกป้องสถาบันใช้ความรุนแรงกับผู้เห็นต่างทางความคิดอย่างต่อเนื่องต่อไป เจ้าพนักงานตำรวจควรดำเนินคดีตามกฎหมายกับกลุ่มคนดังกล่าวทุกคน และติดตามสืบสวนผู้โพสต์ขู่เอาชีวิตตะวัน เพื่อยับยั้งการใช้ความรุนแรงที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของนักกิจกรรม และควรเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีพฤติการณ์ใช้ความรุนแรงอย่างใกล้ชิดเหมือนที่เฝ้าติดตามนักกิจกรรมทางการเมืองด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของตนได้อย่างปลอดภัยตามที่รัฐธรรมนูญฯ ให้การรับรองไว้ และหากฝ่ายใดทำผิดกฎหมายก็ดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมภายใต้มาตรฐานเดียวกัน
 
11 กุมภาพันธ์ 2567
 
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
 
https://www.facebook.com/hrlathai/posts/pfbid02A9C4gdtP3NHnurNzjkJH2HATdEDpFzBKmMuUT13W1sagM47zQVc3Uj4SY5nBChkol
 


รองโฆษกก้าวไกล ซัด อัครเดช เลิกกล่าวหาคนอื่นสร้างวาทกรรมแบ่งแยก แนะลองทบทวนสาเหตุขัดแย้งมาจากอะไร
https://www.matichon.co.th/politics/news_4419856

‘รองโฆษกก้าวไกล’ ซัด ‘อัครเดช’ เลิกกล่าวหาคนอื่นสร้างวาทกรรมแบ่งแยก แนะลองทบทวนสาเหตุขัดแย้งมาจากอะไร ระบุ ชี้ สิ่งที่ควรไม่สบายใจไม่ใช่คำพูด ‘พิธา’ แต่คือการผลักคนเห็นต่าง-ไม่มีพื้นที่พูดคุยหาทางออก
 
เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณี นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ระบุว่า ไม่สบายใจที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก.ก. ใช้วาทกรรมคนรุ่นใหม่แบ่งแยกคนในสังคม ว่าถ้านายอัครเดชฟังสิ่งที่นายพิธาสื่อสารแล้วไม่สบายใจนั่นอาจเป็นปัญหาส่วนตัวเกี่ยวกับการตีความของนายอัครเดชเอง เพราะสิ่งที่นายพิธาพูดคือการพยายามเชิญชวนให้สังคมมองกรณีของ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นักกิจกรรม และเหตุการณ์ขบวนเสด็จโดยไม่แยกขาดจากการเมืองภาพใหญ่ เพราะไม่ว่านายอัครเดชจะยอมรับหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงคือความขัดแย้งทางการเมืองของสังคมไทย โดยเฉพาะที่ต่อเนื่องจากการชุมนุมที่นำโดยคนรุ่นใหม่เมื่อปี 2563 วันนี้ยังคงอยู่ โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกพูดถึงก็คือ สิ่งที่นายพิธาเรียกว่า “ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ

สิ่งที่น่าไม่สบายใจไม่ใช่คำพูดของนายพิธา แต่คือการที่สังคมไทยยังไม่มีพื้นที่ให้แต่ละฝ่ายที่เห็นต่างกันได้พูดคุยเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้ง กลับใช้นิติสงครามกดปราบ ผลักไสอีกฝ่ายเป็นคนไม่รักชาติ หรือเลวร้ายกว่านั้นคือลุกลามเป็นการใช้กำลัง หวังให้อีกฝ่ายไม่เหลือที่ยืน นี่ต่างหากคือสิ่งที่น่าไม่สบายใจ น่าเป็นห่วงต่ออนาคตประชาธิปไตยไทย“ น.ส.ภคมนกล่าว
 
น.ส.ภคมนกล่าวต่อว่า จึงขอให้นายอัครเดช ซึ่งด้วยวัยวุฒิเรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เลิกกล่าวหาคนอื่นใช้วาทกรรมแบ่งแยก และลองทบทวนดูว่าความขัดแย้งตลอดหลายสิบปีในสังคมไทยเกิดจากอะไรกันแน่ สิ่งใดที่แบ่งแยกคนออกจากกัน เป็นเพราะคำพูดของคนไม่กี่คน หรือเพราะประชาชนรับรู้ถึงความผิดปกติ ความอยุติธรรมว่ามันมีอยู่จริง ถ้าตั้งหลักแบบนี้ได้ นายอัครเดชและพรรค รทสช. ในฐานะพรรครัฐบาล สามารถมีบทบาท ทำให้ความขัดแย้งเหล่านี้คลี่คลายลง แม้การกระทำที่ผ่านมาของนายอัครเดชและพรรค รทสช.จะทำให้ตนคาดหวังได้ยาก แต่ก็ขอฝากให้พิจารณา


 
“สุพันธุ์” โอด ดอกเบี้ยบาน ส่งบ้านส่งรถเงินต้นไม่ยุบ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_675228/

“สุพันธุ์” โอด ดอกเบี้ยบาน ส่งบ้านส่งรถเงินต้นไม่ยุบ ติง กนง. คงดอกเบี้ยสูงทำเศรษฐกิจชะลอตัว ประชาชนหนี้เพิ่ม
 
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.5% ต่อปี เนื่องจากขณะนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ และการคงดอกเบี้ยนี้ก็ต้องรอไปอีก 3 เดือนกว่าจะมีการประชุม กนง. เพื่อพิจารณาประเด็นนี้อีกครั้ง ทำให้ประชาชนหรือภาคเอกชนที่กู้เงินก็ต้องเสียดอกเบี้ยแพงไปอีก 3 เดือนเช่นกัน ขณะเดียวกันข้อมูลเครดิตบูโรก็พบว่าหนี้ครัวเรือนไม่ลดลงและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจโดยรวมและระดับรากหญ้า
 
ขณะเดียวกัน นายสุพันธุ์ เห็นต่างจากคำชี้แจงของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าตอนนี้มีการบริโภคเพิ่มขึ้นและกลัวการปล่อยหนี้เพิ่มหากลดดอกเบี้ย ตนเห็นว่าทุกวันนี้ประชาชนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจระดับกลางถึงล่างจะกู้หนี้เพิ่ม แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะธนาคารเข้มงวดในการปล่อยกู้กับผู้ลงทุนมากๆ อยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือการลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ด้วยการลดดอกเบี้ย
 
ให้ประชาชนอยู่รอด เมื่อดอกเบี้ยสูง ทุกคนก็ต้องหาเงินเพิ่มขึ้น อีกทั้งการที่ดอกเบี้ยสูง ยังทำให้ประชาชนที่กำลังผ่อนรถ ผ่อนบ้าน หรือกู้เงินมาลงทุน แทนที่จะหาเงินมาจ่ายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ต้องเอาไปจ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เท่ากับรายจ่ายเพิ่ม แต่รายได้คงที่หรือลดลง ทำให้โอกาสที่ประชาชนจะติดลบก็เยอะขึ้น เมื่อติดลบก็กลายเป็นหนี้เสีย พอหนี้เสียก็กลายเป็นดอกเบี้ยผิดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น มีปัญหาต่อมาเป็นงูกินหาง ส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวม ช่วงเทศกาลตรุษจีนคนออกไปเดินห้างต่างจังหวัด ไปใช้จ่ายน้อยลง วันเที่ยววันจ่ายก็คึกคักน้อยลง
 
รายได้ของประเทศเหลือแค่การท่องเที่ยวกับการลงทุน การใช้จ่ายของภาครัฐกว่าจะได้ใช้ก็เดือนพฤษภาคม ก็จะทำให้เศรษฐกิจภาพรวมอืดลงไปเรื่อยๆ ถ้าดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจดี เงินเฟ้อสูง ไม่เป็นไร แต่วันนี้จีดีพีโตอยู่แค่ 2.8% และเงินเฟ้อ 1.11% นี่คือหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น เราต้องลดดอกเบี้ยลง ไม่อย่างนั้นเมื่อไรสภาพคล่องจะดีขึ้น
 
นอกจากนี้ นายสุพันธุ์ ยังเสนอว่า วันนี้รัฐบาลควรเข้ามาดูและเอสเอ็มอี ออกมาตราการงดเว้นภาษีนิติบุคคล 3 ปี เพื่อให้กิจการฟื้นตัวได้และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น และเมื่อเกิดสภาพคล่อง เศรษฐกิจจะหมุนเร็วขึ้นอีกเยอะ ดีกว่าเอาเงินงบประมาณไปทำอย่างอื่น ส่วนมาตรการแก้หนี้สำหรับบุคคลทั่วไป  รัฐบาลก็ต้องชัดเจนว่าจะหยุดพักหนี้หรือพักดอกเบี้ยแค่ไหน เพราะตอนนี้เพียงแค่เอาลูกหนี้มาคุยกับเจ้าหนี้ แต่ยังมีลูกหนี้นอกระบบอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้ตามข่าว และไม่ได้เข้าร่วมโครงการ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่