อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๔)

กระทู้สนทนา
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดยละเว้
บทที่๔ ชีวิตในป่า

การเข้าป่าของผมแต่ละครั้งแม้จะเป็นการไปทำงาน แต่เอาเข้าจริงมันก็เป็นเพียงข้ออ้างอย่างที่บอก คือหาเรื่องตามไปเที่ยวให้เป็นภาระของฅนอื่นเสียมากกว่า แต่ถ้าจะถามว่าทำไมถึงชอบแบบนั้น คงตอบยากหรืออาจต้องอธิบายกันยาวทีเดียว เพราะคำว่าชอบบางครั้งก็ไม่มีเหตุผล หรือหากจะเอาเหตุผลจริง ๆ มันก็อาจซับซ้อนจนต้องอธิบายกันนานเลยนั่นแหละ (ฟังดูงงเนาะ) 

แฮ่ อย่าไปหาเหตุผลว่าทำไมผมถึงชอบเข้าป่าทั้งที่ไม่ใช่ขาลุยอะไรเลยดีกว่า เอาเป็นว่าชีวิตในป่าเป็นอย่างไรผมจะเล่าให้ฟังครับ

.
หลังจากสร้างวีรเวรวีรกรรมในการเติมน้ำมันไม่ผสมโอโตลูปใส่เครื่องเลื่อยไม้คราวนั้น เว้นระยะสักหน่อยผมก็ได้เข้าป่ากันอีกครั้ง ทางเกาะกงผ่านเกาะลอยเช่นเคย แต่จุดที่เราไปคราวนี้ต้องนั่งเรือหางยาวเลยเกาะลอยออกไปอีก มีกลุ่มอื่นเดินทางไปกับเราด้วย ซึ่งก็จะมีทั้งที่เป็นฅนไทยเกาะกงและแขมร์จริง ๆ อีกด้วย

เรานั่งเรือหางยาวผ่านบ้านมะพร้าว หรือ ‘ภูมิโดง’ ซึ่งที่นี่ดูจะเป็นชุมชนใหญ่ทีเดียว เพราะมีแม้กระทั่งสถานบริการสำหรับท่านชาย และความเจริญของชุมชนแห่งนี้นั้นมองออกว่า เกิดจากและเพื่อรองรับการเข้ามาทำไม้ของนายทุนต่างชาตินั่นแหละครับ

เมื่อเรือแล่นเลยจากภูมิโดงสภาพบ้านเรือนก็ห่างตามากขึ้น ในที่สุดก็มีแต่พื้นที่ป่าเป็นส่วนใหญ่ หากแต่นอกหมู่บ้านออกมานี้ผมเห็นมีสวนยางซึ่งไม่ทราบว่าใครปลูกไว้กลางป่าดงแต่ครั้งไหนด้วย 

เราเข้ามากันจนสุดทางที่เรือจะไปต่อได้ ส่วนสาเหตุที่ทำให้ไปต่อไม่ได้นั้นใช่ว่าเป็นเพราะลำน้ำแคบลงหรือตื้นเขินแต่อย่างใดนะครับ แต่ว่าเป็นเพราะสายน้ำที่ไหลมาดี ๆ นั้น ดันลดระดับลงจนกลายเป็นปราการงดงามขวางกั้นเราไว้เสียอย่างนั้น ครับตอนนี้ลำน้ำทั้งสายกลายเป็นน้ำตกอยู่ตรงหน้าเราไปแล้ว ซึ่งน้ำตกนี้ผมได้ทราบภายหลังว่ามันชื่อ ‘น้ำตกตาไต’ หรือ ‘ตาไท’ ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งของจังหวัดเกาะกง

เส้นทางต่อไปจึงเป็นการเดินเท้ากับข้าวของพะรุงพะรังเช่นเคย จากน้ำตกเราเลี้ยวขวาตามลำน้ำสายหนึ่งขึ้นไป เหตุที่ต้องไปกันตามสายน้ำเพราะการใช้ชีวิตในป่าของเรานั้นต้องอ้างอิงแหล่งน้ำเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการนำน้ำมาใช้สอยดื่มกินของเรากันนั่นเอง 

และเนื่องจากหนนี้มีกลุ่มอื่นมากับเราด้วย ยามค่ำคืนป่าจึงดูครึกครื้นพอควร เมื่อถึงจุดหมายเราก็สร้างที่อยู่กัน โดยที่พักของเรานั้นจะอยู่ห่างน้ำสักหน่อย ส่วนกลุ่มอื่นจะอยู่ริมน้ำ และที่นี่ถึงจะอยู่กลางป่าแต่ยังคงรับสัญญาณวิทยุจากเมืองไทยได้นะครับ ยามค่ำคืนเราจึงมีเสียงเพลงลูกทุ่งในแบบคลื่นแทรก (ตรงนี้หากใครเคยฟังวิทยุเอเอ็มสมัยก่อนจะทราบดี) เป็นการสร้างบรรยากาศกลางป่าดงยามค่ำคืน ท่ามกลางแสงตะเกียงซึ่งทำจากกระป๋องปลาซาร์ดีน โดยเราจะใส่เบนซินลงไปในกระป๋อง หักกิ่งไม้แห้งใส่ลงไปสักสองสามอันแล้วจุดไฟก็ได้ตะเกียงแล้ว ง่าย ๆ แบบนี้แหละครับชีวิตกลางป่าของเรา

และนอกจากเสียงเพลงผสมเสียงคลื่นซ่านั่นแล้วบางครั้ง (หรือบ่อยครั้ง) เรายังมีเสียงเพลงจากวงเหล้าเข้าบรรยากาศกล่อมไพรกันอีกด้วย

แทบทุกค่ำคืน ฅนแขมร์กลุ่มที่อยู่ริมน้ำ มักมาชวนกลุ่มของเราร่วมวงร่ำสุราเหล้าป่ากันเป็นประจำ สำหรับผมในตอนนั้นได้เลิกเครื่องดื่มของมึนเมานานแล้ว จึงได้แต่นอนฟังพวกเขาเฮฮากัน

และเพลงที่ถูกนำมาร้องกันนั้นที่จะได้ยินบ่อยเลยก็คือเพลง ‘คืนลับฟ้า’ ของ ‘เหลืองบริสุทธิ์’
น่าขำที่ผมได้รู้จักเพลงนี้ครั้งแรกก็จากวงเหล้ากลางป่านี่แหละ ทั้งที่ว่าตามจริงเพลงนี้นั้นแม้จะเก่าแก่แต่ก็ถือว่าดังมากนะครับ ดังทั้งในไทยและแขมร์ แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็เถอะ แต่ผมกลับเพิ่งเคยได้ยินอย่างที่บอก ก็แหม จะเอาอะไรกับผมล่ะ... แฮ่ มาว่ากันต่อดีกว่า

เรียกว่าบรรยากาศนั้นเป็นแบบลูกทุ่ง (ลูกป่า) ขนานแท้นั่นแหละ กลางวันทำงาน กลางคืนสังสรรค์เฮฮากันไป

ส่วนหน้าที่กลางป่าของผมก็คือผู้คอยอำนวยความสะดวกให้มือเลื่อย เริ่มตั้งแต่ไม้ล้ม ซึ่งผมจะต้องถางข้างขอนไม้ให้เตียนพอตีเส้นบรรทัดได้สะดวก เส้นบรรทัดที่จะใช้เป็นแนวในการเดินเลื่อยนั่นแหละครับ บางทีก็ต้องถากเปลือกไม้เพื่อให้เห็นเส้นที่จะตีได้ง่ายขึ้น และที่ต้องมีก็คือ การใช้ใบไม้คอยกวาดขี้เลื่อยที่บังเส้นบรรทัดบนหน้าไม้ อันเป็นที่มาของชื่อ ‘เด็กปัดขี้เลื่อย’ แม้จะไม่ใช่เด็กแล้วก็เถอะ แฮ่ นอกนั้นก็คอยช่วยพลิกไม้อะไรต่าง ๆ ไป และบางครั้งยังรวมถึงการช่วยเดินดูไม้ที่จะโค่นล้มด้วยเช่นกัน เมื่อเจอไม้ที่ต้องการผมจะถางโคนไว้เพื่อรอให้เพื่อนมาตัดโค่นกันอีกที

.
วันนั้นผมเจอไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มันขึ้นอยู่ข้างกอไผ่ซึ่งค่อนข้างรกทีเดียว จะถางก็คงลำบากหน่อย จะผ่านเลยก็เสียดาย เอาวะตู ผมบอกตัวเองว่าถางก็ถาง ในที่สุดไผ่รก ๆ กอนั้นก็ถูกตัดฟันออกจนหมด (พยายามมาก) ขณะที่เพื่อนมาถึงพอดี เมื่อเห็นไม้ที่ผมถางโคนไว้เขาก็หัวเราะหึ ถามว่า ‘ไปถางมันทำไม’

เพราะว่าไม้ต้นนั้นเป็นไม้เนื้ออ่อนที่เขาไม่ต้องการกันนั่นสิครับ แต่ดูจากเปลือกแล้วมันคล้ายยางแดงมากเลย เรียกว่ายากที่ผมจะแยกแยะได้ (ถึงจะเคยอยู่ป่าอยู่ดงมาก่อนก็เถอะ) และเรื่องนี้ก็ทำเอาผมถูกแซวไปหลายวันเลยเหมือนกัน ฮา

เมื่อออกเดินมาหน่อยเราได้เจอไม้ที่โค่นล้มจากลมฝนเมื่อคืน

‘ไม้เมืองเขมรไม่มีรากแก้ว’

ผมอดนึกถึงคำบอกเล่าที่เคยได้ฟังมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ บอกตรง ๆ ว่าไม่เคยเชื่อเลยว่าไม้อะไรจะไม่มีรากแก้ว

แต่ไม้ที่โค่นล้มอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ทำให้ต้องลังเล รากของมันดูแผ่ออกไปเป็นแผ่น ไม่มีรากที่จะช่วยยึดลำต้นหรือรากแก้วแต่อย่างใด 

แต่เมื่อสังเกตร่องรอยจุดถอนโค่นของมันผมจึงได้เข้าใจ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีรากแก้วนะครับ มันมี แต่พื้นที่บริเวณโคนต้นของมันเต็มไปด้วยหินแผ่นใหญ่ จะมีดินก็เพียงผิวหน้าพอให้ต้นไม้เติบโตได้เท่านั้น รากแก้วที่มีก็เลยไม่ต่างจากฟันคุด มันเลยต้องกลายเป็นต้นไม้ที่ไม่มีรากแก้วไป

.
และเมื่อเดินเลยต้นไม้ที่ไม่มีรากแก้วนั้นออกมาสักหน่อยเราก็ได้เจอไม้ที่พี่รอน ฅนในคณะของเราโค่นล้มไว้ มีร่องรอยตีปึกเรียบร้อย

การทำไม้ของเรานั้นจะเป็นการตีปึกเพื่อส่งให้โรงเลื่อยแปรรูปอีกที เช่น 5x10 นิ้ว 3x15 นิ้ว อะไรประมาณนั้น หากเป็นไม้ที่ไม่ได้ส่งโรงเลื่อยเรามักจะแปรรูปกันเลย และไม้แปรรูปนี้จะคิดราคาเป็นยก (ห้ามถามว่าหนึ่งยกมีกี่ตารางนิ้ว ลืมไปแล้ว)

ส่วนไม้ตีปึกแบบนี้เราจะคิดราคาเป็นลูกบาศก์เมตร แต่ไม่ได้เรียกเป็นคิวเหมือนของอื่นที่คิดจำนวนเป็นลูกบาศก์เมตรนะครับ เราจะเรียกเป็นกิ๊ปแทน ซึ่งมันจะแปลว่าอะไรเขียนถูกไหมอย่างไรก็ยังไม่รู้เช่นกัน แฮ่ พาไปไหนอีกแล้วมาเข้าเรื่องดีกว่า

ตรงขอนไม้นี้เอง เมื่อมองไปตรงส่วนยอดก็ทำให้ผมอดคิดถึงคำพูดของพี่รอนเมื่อคืนนี้ไม่ได้ 

‘หวายต้นเท่าขาแน่ะ’ 

พี่รอนบอกเราพร้อมกับจับขาให้ดูเป็นการยืนยันไปด้วย ผมกับเพื่อนได้แต่หัวเราะ หวายอะไรจะต้นเท่าขา

‘ใหญ่ขนาดนั้นก็ต้นหมากแล้ว’ 

จำได้ว่าตอบแกไปแบบนั้น แต่ตรงหน้าผมตอนนี้มันใช่เลยจริง ๆ หวายที่ถูกฉุดดึงลงมาพร้อมกับไม้ที่พี่รอนโค่นล้มนั้น มันมีลำต้นโดยเฉพาะตรงส่วนยอดขนาดเท่าขาหรือใหญ่กว่าขาจริง ๆ

อย่ากระนั้นเลย ลองมากินยอดหวายเท่าขานี้ดูดีกว่า ผมกับเพื่อนต่างเห็นดีเห็นงามตามกัน เลื่อยยนต์ที่แบกมานั่นแหละครับ จัดการหั่นมันออกมาเป็นอาหารเย็นเสียเลย ยังมีเหลือเผื่อแผ่ไปถึงขนำข้างเคียงอีกด้วยนะ

.
การอยู่ป่าของเรานั้นเมื่อไม้โดยรอบถูกโค่นล้มจนหมดหรือเหลือน้อยแล้ว ก็ถึงคราวต้องย้ายที่พัก (ดูไปก็ไม่ต่างจากผีตองเหลืองเหมือนกันนัก) 

และวันนี้เป็นวันย้ายที่พักของเรา หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จเราก็เก็บข้าวของ เพื่อเตรียมโยกย้ายไปยังที่พักแห่งใหม่ซึ่งสร้างไว้แล้วทางต้นน้ำ โดยเรามักสร้างที่พักไม่ห่างจากแหล่งน้ำอย่างที่บอก เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางโดยหวังไปกินข้าวเช้าที่นั่นกันเลย

เราเดินไปได้สักพัก จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนฟังไม่ได้ศัพท์จากพี่รอนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ทำให้เราอดสงสัยกันไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไอ้โต้ง ไอ้โต้ง” ในที่สุดก็จับใจความได้ว่า พี่รอนกำลังตะโกนเรียกลูกชายวัยสิบสี่ที่แกพามาทำงานกลางป่าด้วย พวกเราต่างมองหน้ากัน ยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อดห่วงไอ้โต้งมันไม่ได้ ด้วยความที่พี่รอนจะเป็นฅนจริงจังถึงค่อนข้างดุ โดยเฉพาะกับลูก ๆ แต่ก็พอ ๆ กับความแสบซ่าของไอ้โต้งมันนั่นแหละ

‘ผมมันเป็นไรไม่รู้ ทั้งที่กลัวพ่อนะ แต่พอเจอเพื่อนก็เที่ยวเพลินลืมกลับบ้าน แล้วทีนี้ความกลัวโดนพ่อตี ก็เลยพาลไม่กล้ากลับบ้านเลย’

นั่นคือคำบอกเล่าของไอ้โต้ง ถึงสาเหตุที่มันโดนพ่อตามตี (ซึ่งที่จริงต้องเรียกว่าทุบมากกว่า) อันเนื่องมาจากการเที่ยวแล้วไม่ยอมกลับบ้านของมันอยู่บ่อย ๆ

“ไอ้โต้งนั่นสิ ลืมของเลยให้มันกลับไปเอาที่ขนำ ดูท่าจะหลงป่าไปไหนแล้วไม่รู้” พี่รอนเล่าให้พวกเราฟังเมื่อเจอกัน ต่างอดเป็นห่วงกันไม่ได้ มันคงจะหลงจริง ๆ นั่นแหละ เพราะถ้ามันมาตามเส้นทางนี้ก็ต้องเจอพวกเราบ้าง

“มันเอาไม่ได้จริง ๆ ไอ้นี่” พี่รอนบ่นด้วยอาการหัวเสียกับท่าทางดูโกรธทีเดียว ซึ่งผมรู้ว่ามันมาจากความเป็นห่วงเสียล่ะมากกว่า แกมักพูดถึงไอ้โต้งให้ผมฟังบ่อย ๆ แม้จะเป็นการบ่นเรื่องความเกเรของมัน แต่ก็มองออกนั่นแหละว่าแกรักลูก ถึงจะไม่แสดงออก หรือชอบแสดงออกในทางตรงกันข้ามก็เถอะ

พวกเราแยกย้ายออกค้นหา ผมเองนั้นยังต้องเดินตามหลังเพื่อนฅนหนึ่งเสมอ เพราะถ้าแยกไปฅนเดียวก็คงหลงแบบไอ้โต้งมันเหมือนกัน อดห่วงไม่ได้ จะว่าไปแล้วมันยังเด็กอยู่เลย ป่านนี้จะหลงเตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ เพราะแม้ว่าเราจะช่วยกันตะโกนเรียกจนเสียง ‘ไอ้โต้ง’ ‘ไอ้โต้ง’ ดังลั่นป่าสักเท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบรับ

อีกเรื่องที่ต้องกังวลก็คือ ความห่วงลูกของพี่รอนที่กลายเป็นความโกรธไปแล้วนั่นแหละ

“ไอ้โต้งเอ๊ย โดนหนักแน่” เสียงตาหล้าบ่นพึมพำขณะเรายังคงค้นหาตามทางที่คิดว่าไอ้ตัวแสบมันจะไป

พี่รอนเงียบเสียงไปแล้ว เราเองก็เหนื่อยกันพอดู กับการเดินหามันทั้งข้าวของพะรุงพะรังที่ขนมา

“ไปที่ขนำกันก่อน” พี่รอนบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเมื่อวนมาเจอกันอีกครั้ง ก่อนเดินเงียบไปยังที่พักซึ่งสร้างเตรียมไว้ พวกเราดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าพูดอะไรกันตอนนี้ คงได้แต่ตามไปเงียบ ๆ คอยกวาดสายตามองข้างทางไปด้วย

ภาพไอ้โต้งนั่งหุงข้าวรอพวกเราในขนำหลังใหม่ทำให้ตาหล้าถึงกับระเบิดหัวเราะเสียงดังออกมา สอบถามได้ความว่า เมื่อรู้ว่าหลงป่า มันก็ตัดสินใจเดินเลาะริมคลองทวนน้ำขึ้นมา เพราะรู้ว่าต้องเจอที่พักซึ่งอยู่ริมคลองนี่ 
พี่รอนแค่นยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้าเหมือนจะระอากับมันเต็มทน ผมรู้หรอกว่าแกแอบภูมิใจในการรู้จักเอาตัวรอดของลูกชาย

‘เอ็งรอดตัวไปได้นะไอ้โต้ง’

ผมคิดและแอบยิ้มในใจไปด้วยเหมือนกัน.
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่