เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1112223
กำลังเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจขนส่งอย่าง “หุ้น KEX” ที่ครั้งหนึ่งเคยมี “มนต์ขลัง” ดึงดูดนักลงทุนทั้ง “ราคาหุ้น & กำไร” สะท้อนราคาหุ้นพุ่งสูงสุดแตะ 73 บาท แต่วันนี้ ! คลายมนต์เสน่ห์หลังหุ้นดิ่ง 92.60% จากราคาสูงสุด ผลประกอบการ “หดตัว” ล่าสุดปี 2566 “ขาดทุน” กว่า 3.8 พันล้าน !!
Key Points :
อดีตหุ้น KEX นักลงทุนอยากเป็นเจ้าของ แต่วันนี้กลายเป็นหนังคนละม้วน หลังราคาหุ้นดิ่ง 92.60% จากราคาสูงสุด 73 บาท
ผลประกอบการ KEX เริ่มส่งสัญญาณไม่ดี ก่อนพลิกขาดทุนหนัก และล่าสุดปี 2566 พลิกขาดทุน 3.8 พันล้าน หนักสุดตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นไทย
จับตา “เอสเอฟฯ” ตั้งโต๊ะเทนเดอร์ซื้อหุ้น KEX หาก VGI และ BTS ตัดขายหุ้นทั้งหมดที่ถือ ตัดปัญหาการตั้งสำรองการด้วยค่าเงินลงทุน
หรืออาจจะใกล้หมดเวลา “ฮันนีมูน” (Honeymoon) ของ “หุ้น KEX”หรือ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่แท้จริง ! หากลองย้อนความหลังกับหุ้น KEX จะพบว่าปัจจุบันสถานการณ์ “หุ้น KEX” กำลังกลายเป็นหนังคนละม้วนกับช่วงเข้าตลาดหุ้นไปแล้ว !
จากวันแรกที่หุ้น KEX เดินเข้า “ตลาดหุ้นไทย” เมื่อ 24 ธ.ค. 2563 ถือเป็นหนึ่งในหุ้นไอพีโอที่ “ทรงพลัง” เพราะนักลงทุนต่างอยากเป็นเจ้าของ แม้ในสภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ก็พร้อมลงทุนเพราะเชื่อมั่นในธุรกิจ !! ด้วยเป็น “หุ้นขนส่ง” ที่นักลงทุนมองว่าธุรกิจได้รับอานิสงส์จากตลาดอี-คอมเมิร์ซเติบโตสูง หลังการรพบาดของโควิด-19 ทำพฤติกรรมคนทั่วโลกเปลี่ยนไปซื้อของออนไลน์เป็นหลัก...
การเข้าตลาดหุ้นวันนั้น ! ก็ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง จากราคาไอพีโอหุ้นละ 28 บาท เปิดที่ 63 บาท ก่อนถูกลากขึ้นไป “สูงสุด” (New High) ที่ 73 บาท ทะยาน 160% ประกอบกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และ “คีรี กาญจนพาสน์” ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ BTS เข้าซื้อ KEX เพิ่มรวมกันทั้งหมด 1.9873% ทำให้สัดส่วนการถือรวมแตะ 21.0218% เป็นอีกปัจจัยที่หนุนแรงเก็งกำไรของนักลงทุน
แต่ ณ ปัจจุบันราคาหุ้น KEX ไหลรูดลงไป “ต่ำสุด” อยู่ที่ 5.40 บาท โดยนับตั้งแต่จุดสูงสุดในวัน IPO ถึง ปัจจุบัน KEX ปรับตัวลดลงมาถึง -92.60%เรียกว่าหลุดราคาจองซื้อหุ้นไปมากแล้ว ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังคงหลอกหลอนนักลงทุนหลายคนต่อเนื่อง
เมื่อสัญญาณของผลดำเนินงานของ KEX เริ่มไม่ดี ! นับตั้งแต่ผลประกอบการปี 2563 จาก “รายได้” ปรับตัวลดลง 4.4% แตะ 18,917 ล้านบาท หลังปรับกลยุทธ์ลดค่าส่งสินค้าเพื่อตีตลาดขนส่งแบบราคาประหยัดเพราะการแข่งขันในอุตสาหกรรมขนส่งที่รุนแรง กดความน่าสนใจน้อยลง
ถัดมาโชว์ที่ “กำไรสุทธิ” ไตรมาส 1 ปี 2564 เริ่ม “หดตัว” เหลือ 302 ล้านบาท หดตัว -18.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าราคาประหยัด ส่งนักลงทุนเกิดความกังวล รับแนวโน้มกำไร KEX หดตัว
และมาสะท้อนผลที่ชัดเจนในตัวเลขไตรมาส 3 ปี 2564 หลัง KEX มีการลดราคาค่าขนส่งในช่วงที่ผ่านมา แม้ปริมาณการจัดส่งสินค้าเพิ่มขึ้น 46% ทำรายได้เพิ่มขึ้น 18.8% แต่กลับ “กำไร” ดิ่งหนัก -95.61% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหลือเพียง 12.84 ล้านบาท รับการแข่งขันในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าที่รุนแรงจากการหั่นราคาขนส่ง ประกอบราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากโควิด-19
สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ เมื่อตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2564 KEX ประกาศ “ขาดทุน” 604 ล้านบาท ในรายไตรมาสเป็นครั้งแรก !! แม้ไตรมาส 4 ปี 2564 รายได้เพิ่มขึ้น 11% แต่ต้นทุนที่เพิ่มแตะ 42%
อย่างไรก็ตาม ปี 2565 ธุรกิจ KEX ฟื้นตัว สะท้อนภาพจาก KEX ขาดทุนไตรมาส 1 ปี 2565 “ลดลง” เหลือ 491 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ขาดทุน 604 ล้านบาท สร้างความหวังให้นักลงทุนว่า KEX มีโอกาสฟื้นตัวได้
ท้ายสุด KEX อาจไม่ใช่หุ้นดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างเสมอต้นเสมอปลายอย่างที่คิดอีกแล้ว เพราะแม้จะเป็นธุรกิจดาวรุ่ง แต่ผลประกอบการกลับไม่ได้เติบโตต่อเนื่องอย่างที่คิดไว้ก็ได้ !
แต่แล้ว !! ผู้บริหารของ KEX กลับมาประกาศเตรียม “ปรับลดราคาส่งสินค้า” เริ่มต้นเหลือ 15 บาท เดิม 19 บาท เพื่อดันยอดส่งสินค้าให้เพิ่มสูงขึ้น ประเด็นดังกล่าวกลับมาสร้างความกังวลใจให้นักลงทุนว่า KEX อาจขาดทุนมากขึ้นอีก
แล้วตัวเลขแท้จริงของกลยุทธ์ลดราคาขนส่งสินค้าก็ปรากฏ ! เมื่อผลประกอบการปี 2565 KEX พลิกขาดทุนหนักแตะ 2,829 ล้านบาท จากปี 2564 ที่กำไร 46 ล้านบาท รับการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่รุนแรงและการปรับลดราคาค่าส่งสินค้า รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องรับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนของ KEX เพิ่มสูงขึ้น
และล่าสุด KEX ประกาศผลประกอบการปี 2566 ขาดทุนหนักสุดตั้งแต่เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น“ขาดทุน 3.8 พันล้าน” ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 37.1% หลังยอดส่งสินค้า “ดิ่งหนัก” เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนอีกรอบ จากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และเปิดประเทศ ส่งผลให้ผู้บริโภคหันกลับไปซื้อสินค้าตามหน้าร้านตามเดิม...
อย่างไรก็ตาม ผลขาดทุนรุนแรงและต่อเนื่องของ KEX ย่อมถูก “จับตามอง” จากนักลงทุนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใน KEX อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหลังเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (SFTH) กำลังทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์หลังจากธุรกรรมการจ่ายปันผลพิเศษแบบมีเงื่อนไขบรรลุผลทั้งหมดของ KEX นอกเหนือจากส่วนที่ SFTH ถืออยู่แล้วปัจจุบันสัดส่วน 52.06% โดยจะทำคำเสนอซื้อในส่วนที่เหลือในราคาหุ้นละ 5.50 บาท
ทั้งนี้ “เอสเอฟฯ” ตั้งโต๊ะเทนเดอร์ฯ ซื้อหุ้น KEX นั้น อาจทำให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่าง บมจ. วี จี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ที่ถือหุ้นจำนวน 269,230,900 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15.45% และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ที่ถือหุ้น จำนวน 88,100,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5.06% อาจต้องขบคิดว่าจะยอมตัดขายหุ้นออกหรือไม่ เพื่อลดปัญหาการตั้งสำรองการด้วยค่าเงินลงทุนใน KEX ต่อไป
“ความหวังของ KEX”
บริษัทเชื่อว่า KEX ได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว บริษัทยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนำกลยุทธ์ของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และให้ความสำคัญกับการดำเนิน “กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง” เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่มีรายได้ต่อพัสดุสูง ให้บริการการขนส่งที่รวดเร็ว เพิ่มการสร้างประสบการณ์ผู้ใช้งานให้ดียิ่งขึ้นตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางให้บริการที่ครบวงจร
รวมถึงการให้บริการส่งสินค้าข้ามประเทศในรูปแบบที่คู่แข่งในตลาดไม่สามารถเทียบเคียงได้ด้วยการเพิ่มจุดให้บริการในเครือข่ายเพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้ำที่มีรายได้ต่อพัสดุสูง มอบบริการที่มีความแตกต่างจากคู่แข่ง และสร้างกระแสรายได้ใหม่ (เช่น สินค้ำและอาหารพื้นเมือง รวมถึงสินค้ำจากต่างประเทศ)
จะช่วยสร้างการเติบโตของรายได้ให้มีความยั่งยืน ในไตรมาสแรกของปี 2567 บริษัทจะยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงต้นทุนของบริษัทที่บริษัทได้เริ่มตั้งแต่ปี 2566 เพื่อเตรียมความพร้อมในการฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ในระยะยาว
กำลังเกิดอะไรกับ ‘หุ้น KEX’ อนาคตยังพอมีความหวัง ‘ฟื้นตัว’ ไหม ?
https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1112223
กำลังเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจขนส่งอย่าง “หุ้น KEX” ที่ครั้งหนึ่งเคยมี “มนต์ขลัง” ดึงดูดนักลงทุนทั้ง “ราคาหุ้น & กำไร” สะท้อนราคาหุ้นพุ่งสูงสุดแตะ 73 บาท แต่วันนี้ ! คลายมนต์เสน่ห์หลังหุ้นดิ่ง 92.60% จากราคาสูงสุด ผลประกอบการ “หดตัว” ล่าสุดปี 2566 “ขาดทุน” กว่า 3.8 พันล้าน !!
Key Points :
อดีตหุ้น KEX นักลงทุนอยากเป็นเจ้าของ แต่วันนี้กลายเป็นหนังคนละม้วน หลังราคาหุ้นดิ่ง 92.60% จากราคาสูงสุด 73 บาท
ผลประกอบการ KEX เริ่มส่งสัญญาณไม่ดี ก่อนพลิกขาดทุนหนัก และล่าสุดปี 2566 พลิกขาดทุน 3.8 พันล้าน หนักสุดตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นไทย
จับตา “เอสเอฟฯ” ตั้งโต๊ะเทนเดอร์ซื้อหุ้น KEX หาก VGI และ BTS ตัดขายหุ้นทั้งหมดที่ถือ ตัดปัญหาการตั้งสำรองการด้วยค่าเงินลงทุน
หรืออาจจะใกล้หมดเวลา “ฮันนีมูน” (Honeymoon) ของ “หุ้น KEX”หรือ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่แท้จริง ! หากลองย้อนความหลังกับหุ้น KEX จะพบว่าปัจจุบันสถานการณ์ “หุ้น KEX” กำลังกลายเป็นหนังคนละม้วนกับช่วงเข้าตลาดหุ้นไปแล้ว !
จากวันแรกที่หุ้น KEX เดินเข้า “ตลาดหุ้นไทย” เมื่อ 24 ธ.ค. 2563 ถือเป็นหนึ่งในหุ้นไอพีโอที่ “ทรงพลัง” เพราะนักลงทุนต่างอยากเป็นเจ้าของ แม้ในสภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ก็พร้อมลงทุนเพราะเชื่อมั่นในธุรกิจ !! ด้วยเป็น “หุ้นขนส่ง” ที่นักลงทุนมองว่าธุรกิจได้รับอานิสงส์จากตลาดอี-คอมเมิร์ซเติบโตสูง หลังการรพบาดของโควิด-19 ทำพฤติกรรมคนทั่วโลกเปลี่ยนไปซื้อของออนไลน์เป็นหลัก...
การเข้าตลาดหุ้นวันนั้น ! ก็ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง จากราคาไอพีโอหุ้นละ 28 บาท เปิดที่ 63 บาท ก่อนถูกลากขึ้นไป “สูงสุด” (New High) ที่ 73 บาท ทะยาน 160% ประกอบกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และ “คีรี กาญจนพาสน์” ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ BTS เข้าซื้อ KEX เพิ่มรวมกันทั้งหมด 1.9873% ทำให้สัดส่วนการถือรวมแตะ 21.0218% เป็นอีกปัจจัยที่หนุนแรงเก็งกำไรของนักลงทุน
แต่ ณ ปัจจุบันราคาหุ้น KEX ไหลรูดลงไป “ต่ำสุด” อยู่ที่ 5.40 บาท โดยนับตั้งแต่จุดสูงสุดในวัน IPO ถึง ปัจจุบัน KEX ปรับตัวลดลงมาถึง -92.60%เรียกว่าหลุดราคาจองซื้อหุ้นไปมากแล้ว ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังคงหลอกหลอนนักลงทุนหลายคนต่อเนื่อง
เมื่อสัญญาณของผลดำเนินงานของ KEX เริ่มไม่ดี ! นับตั้งแต่ผลประกอบการปี 2563 จาก “รายได้” ปรับตัวลดลง 4.4% แตะ 18,917 ล้านบาท หลังปรับกลยุทธ์ลดค่าส่งสินค้าเพื่อตีตลาดขนส่งแบบราคาประหยัดเพราะการแข่งขันในอุตสาหกรรมขนส่งที่รุนแรง กดความน่าสนใจน้อยลง
ถัดมาโชว์ที่ “กำไรสุทธิ” ไตรมาส 1 ปี 2564 เริ่ม “หดตัว” เหลือ 302 ล้านบาท หดตัว -18.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าราคาประหยัด ส่งนักลงทุนเกิดความกังวล รับแนวโน้มกำไร KEX หดตัว
และมาสะท้อนผลที่ชัดเจนในตัวเลขไตรมาส 3 ปี 2564 หลัง KEX มีการลดราคาค่าขนส่งในช่วงที่ผ่านมา แม้ปริมาณการจัดส่งสินค้าเพิ่มขึ้น 46% ทำรายได้เพิ่มขึ้น 18.8% แต่กลับ “กำไร” ดิ่งหนัก -95.61% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหลือเพียง 12.84 ล้านบาท รับการแข่งขันในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าที่รุนแรงจากการหั่นราคาขนส่ง ประกอบราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากโควิด-19
สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ เมื่อตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2564 KEX ประกาศ “ขาดทุน” 604 ล้านบาท ในรายไตรมาสเป็นครั้งแรก !! แม้ไตรมาส 4 ปี 2564 รายได้เพิ่มขึ้น 11% แต่ต้นทุนที่เพิ่มแตะ 42%
อย่างไรก็ตาม ปี 2565 ธุรกิจ KEX ฟื้นตัว สะท้อนภาพจาก KEX ขาดทุนไตรมาส 1 ปี 2565 “ลดลง” เหลือ 491 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ขาดทุน 604 ล้านบาท สร้างความหวังให้นักลงทุนว่า KEX มีโอกาสฟื้นตัวได้
ท้ายสุด KEX อาจไม่ใช่หุ้นดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างเสมอต้นเสมอปลายอย่างที่คิดอีกแล้ว เพราะแม้จะเป็นธุรกิจดาวรุ่ง แต่ผลประกอบการกลับไม่ได้เติบโตต่อเนื่องอย่างที่คิดไว้ก็ได้ !
แต่แล้ว !! ผู้บริหารของ KEX กลับมาประกาศเตรียม “ปรับลดราคาส่งสินค้า” เริ่มต้นเหลือ 15 บาท เดิม 19 บาท เพื่อดันยอดส่งสินค้าให้เพิ่มสูงขึ้น ประเด็นดังกล่าวกลับมาสร้างความกังวลใจให้นักลงทุนว่า KEX อาจขาดทุนมากขึ้นอีก
แล้วตัวเลขแท้จริงของกลยุทธ์ลดราคาขนส่งสินค้าก็ปรากฏ ! เมื่อผลประกอบการปี 2565 KEX พลิกขาดทุนหนักแตะ 2,829 ล้านบาท จากปี 2564 ที่กำไร 46 ล้านบาท รับการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่รุนแรงและการปรับลดราคาค่าส่งสินค้า รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องรับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนของ KEX เพิ่มสูงขึ้น
และล่าสุด KEX ประกาศผลประกอบการปี 2566 ขาดทุนหนักสุดตั้งแต่เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น“ขาดทุน 3.8 พันล้าน” ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 37.1% หลังยอดส่งสินค้า “ดิ่งหนัก” เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนอีกรอบ จากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และเปิดประเทศ ส่งผลให้ผู้บริโภคหันกลับไปซื้อสินค้าตามหน้าร้านตามเดิม...
อย่างไรก็ตาม ผลขาดทุนรุนแรงและต่อเนื่องของ KEX ย่อมถูก “จับตามอง” จากนักลงทุนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใน KEX อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหลังเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (SFTH) กำลังทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์หลังจากธุรกรรมการจ่ายปันผลพิเศษแบบมีเงื่อนไขบรรลุผลทั้งหมดของ KEX นอกเหนือจากส่วนที่ SFTH ถืออยู่แล้วปัจจุบันสัดส่วน 52.06% โดยจะทำคำเสนอซื้อในส่วนที่เหลือในราคาหุ้นละ 5.50 บาท
ทั้งนี้ “เอสเอฟฯ” ตั้งโต๊ะเทนเดอร์ฯ ซื้อหุ้น KEX นั้น อาจทำให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่าง บมจ. วี จี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ที่ถือหุ้นจำนวน 269,230,900 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15.45% และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ที่ถือหุ้น จำนวน 88,100,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5.06% อาจต้องขบคิดว่าจะยอมตัดขายหุ้นออกหรือไม่ เพื่อลดปัญหาการตั้งสำรองการด้วยค่าเงินลงทุนใน KEX ต่อไป
“ความหวังของ KEX”
บริษัทเชื่อว่า KEX ได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว บริษัทยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนำกลยุทธ์ของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และให้ความสำคัญกับการดำเนิน “กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง” เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่มีรายได้ต่อพัสดุสูง ให้บริการการขนส่งที่รวดเร็ว เพิ่มการสร้างประสบการณ์ผู้ใช้งานให้ดียิ่งขึ้นตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางให้บริการที่ครบวงจร
รวมถึงการให้บริการส่งสินค้าข้ามประเทศในรูปแบบที่คู่แข่งในตลาดไม่สามารถเทียบเคียงได้ด้วยการเพิ่มจุดให้บริการในเครือข่ายเพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้ำที่มีรายได้ต่อพัสดุสูง มอบบริการที่มีความแตกต่างจากคู่แข่ง และสร้างกระแสรายได้ใหม่ (เช่น สินค้ำและอาหารพื้นเมือง รวมถึงสินค้ำจากต่างประเทศ)
จะช่วยสร้างการเติบโตของรายได้ให้มีความยั่งยืน ในไตรมาสแรกของปี 2567 บริษัทจะยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงต้นทุนของบริษัทที่บริษัทได้เริ่มตั้งแต่ปี 2566 เพื่อเตรียมความพร้อมในการฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ในระยะยาว