กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมครับจะมาแชร์ประสบการณ์จริงๆก็ผ่านเหตุการณ์มาได้จะครบ 1 ปีแล้วครับ(ผมอาจเล่าไม่เก่งนะครับ)
ผมและภรรยาอายุขณะตั้งครรภ์ 38 ปีครับ เรามีแพลนจะมีน้องหลายปีมาก แต่เนื่องจากทั้งผมและภรรยามีภาวะซึมเศร้าต้องทานยาตลอดในระหว่างทานยาจึงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ จนถึงระยะที่ภรรยาใกล้จะหยุดยาซึมเศร้าแล้ว ทางคุณหมอจึงให้ทานโฟลิคมาเพื่อเตรียมตัว จนหยุดยามาได้ประมาณ 3 ปี จึงตั้งครรภ์ เราอยู่ในอำเภอเล็กๆในต่างจังหวัดครับ เราจึงเลือกฝากครรภ์กับคุณหมอสูติ-นรีเวช ในอีกอำเภอ(รพ.อำเภอเราไม่มีหมอเฉพาะทางครับแต่ฝากครรภ์ได้ เราคิดว่าเราอายุเยอะเลยเลือกไปฝากครรภ์กับคุณหมอเฉพาะทางในอีกอำเภอเอง)
ในช่วงแรกของการฝากครรภ์ก็ปกติครับ เราเลือกตรวจหาความผิดปกติของลูกด้วยวิธีการตรวจจากเลือดครับเพราะคิดว่าความเสี่ยงในการแท้งลูกน้อยกว่า จนมาถึงสัปดาห์ที่ 30 ของการตั้งครรภ์ครับ
วันนั้น(วันอังคาร)เราพาภรรยาไปพบคุณหมอตามปกติ เนื่องจากเราฝากกับคลีนิคคุณหมอจึงอัลตร้าซาว์ดให้ทุกครั้งแต่ครั้งนี้แปลกไปครับ ภรรยาเราออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่ดี(ที่คลีนิคไม่ให้สามีเข้าไปด้วยนะครับ ภรรยาเข้าห้องตรวจได้คนเดียว) บอกเราว่าหมอว่าลูกผิดปกติ ให้ไปตรวจที้โรงพยาบาลวันรุ่งขึ้น
วันรุ่งขึ้น(วันพุธ)เราพาภรรยาไปหาคุณหมอตามนัด รอบนี้เราเข้าไปด้วย คุณหมอซาว์ดอีกครั้งพร้อมกับอธิบายให้เราฟัง ยอมรับครับว่าเราตื้อมากในหัว เหมือนไม่รับรู้อะไร ได้ยินคุณหมอพูดแล้วก็ได้แต่ถามคุณหมอว่า อันตรายไม๊ จนคุณหมอบอกเราว่าพรุ่งนี้ให้ไปหาคุณหมอที่เป็นหมอเฉพาะทางมารดาและทารกในครรภ์นะ คุณหมอประสานไปให้แล้ว พร้อมเขียนใบส่งตัวให้ จำได้ว่าเรากลับมาบ้านเราไม่ได้นอนเลย เราโทรหาน้องที่รู้จักที่เป็นพยาบาลเพื่อให้แปลใบส่งตัวให้เราว่าคุณหมอเขียนว่าอะไร น้องเขาก็อุตส่าห์ช่วยเหลือเราด้วยการถามน้องหมอที่รู้จักให้ แล้วก็ตอบเรากลับมาว่า รอเจอหมอเฉพาะทางดีกว่าพี่
วันถัดมา(วันพฤหัส)เรามาที่ รพ.จังหวัด พบคุณหมอเฉพาะทางตามใบส่งตัว คุณหมอตรวจให้พร้อมกับบอกเราว่าตามใบที่ส่งมาว่าไม่พบอวัยวะนึงคุณหมอเห็นนะ ใจเราฟูเลย แต่ก็ดิ่งใหม่ด้วยคำว่า แต่เด็กในท้องตัวเล็กนะ เราถามคุณหมอว่าตัวเล็กคือแบบไหนครับ เพราะคิดว่าแค่เด็กตัวเล็กคงไม่เป็นอะไรหรอก คถณหมอบอกว่าไม่ใช่แค่ตัวเล็ก น้องตัวเล็กที่พอคลอดจะคลอดแบบตัวเล็กและอาจจะไม่แข็งแรง และน้องจะอยู่ในท้องไม่ครบกำหนดคลอดนะ ตอนนั้นเพิ่ง 30 สัปดาห์เอง ในวันนั้นคุณหมอให้ภรรยานอนโรงพยาบาล
คืนนั้นเรานอนเฝ้าภรรยาที่หน้าห้องคลอด ที่ รพ.จังหวัด ตัวคนไข้จะอยู่ในห้องคลอดส่วนญาติจะต้องนอนเฝ้าตามเก้าอี้ที่หน้าห้องคลอดครับ ตอนเช้า(วันศุกร์)ภรรยาออกมาบอกเราว่าเมื่อคืนลูกหัวใจหยุดเต้นไป 3 ครั้งนะ แต่ไม่กล้าให้พยาบาลในห้องออกมาบอกเราเพราะกลัวเราไม่มีสติ ยอมรับครับไม่มีสติจริงๆ ภรรยาให้เรามัดผมให้ เรามัดผมให้ภรรยาไม่ได้ ในวันนั้นคุณหมอก็บอกเราว่าคงต้องส่งภรรยาเราไปคลอดที่โรงพยาบาลราชวิถีในกรุงเทพ
วันเสาร์ คุณหมอพาภรรยาเราไปอัลตร้าซาว์ดอีกครั้ง คุณหมอบอกว่าน้ำคร่ำเริ่มแห้งแล้วนะ แต่เด็กก็พยายามที่จะอยู่นะ แล้วสาเหตุที่เด็กไม่โตเพราะเลือดที่ส่งไปเลี้ยงลูกมันถูกส่งกลับคืนมาที่แม่ด้วย เราคิดว่าคงเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก คุณหมอเปรียบให้ฟังว่า เหมือนเราตักข้าวให้ไม่เต็มจานตอนแรกลูกตัวเล็กก็กินอิ่ม พอลูกตัวโตขึ้นแต่ข้าวเท่าเดิมก็กินไม่อิ่มก็เลยไม่โต คุณหมอบอกว่าคุณหมอประสานไปทาง รพ.ราชวิถีแล้ว ทาง รพ.ราชวิถีตอบรับและให้ส่งภรรยาเราไปให้ถึง รพ.ราชวิถีในเช้าวันจันทร์
วันอาทิตย์ ลูกเราก็ยังมีการดิ้นบ้าง แม้จะไม่ถี่มาก คุณหมอวางแผนการเดินทางว่าจะออกเดินทางด้วยรถพยาบาลตอนเที่ยงคืน(เราต้องไปจองรถ+จ่ายค่ารถเอง)เพื่อให้ถึงปลายทางตอนเช้า หากดูท่าไม่ดีจะส่งใน รพ.ที่สามารถรับได้(คิดว่าเป็น รพ.จังหวัด)ที่ รถพยาบาลวิ่งผ่านและจะส่งต่อแบบนี้เป็นทอดๆไปแต่ทางคุณหมอจะพยายามส่งให้ใกล้ รพ.ปลายทางมากที่สุด จนมาถึงตอนช่วง3-4ทุ่ม คุณหมอขึ้นมาอีกครั้งเราก็คิดว่าคุณหมอมาเตรียมตัวคนไข้ เราเลยถามคุณพยาบาลว่าเราจะได้ออกเดินทางกี่โมง คุณพยาบาลตอบว่าน่าจะไม่ได้เดินทางแล้ว รอให้คุณหมออธิบายนะ สักพักคุณหมอก็มาบอกว่าเดินทางไม่ได้แล้ว เด็กไม่ไหว ต้องผ่าคลอดฉุกเฉินที่นี่ เดี๋ยวรอหมอเด็กมาจะเรียกเราเข้ามาคุยอีกที อีกสักพักหมอเด็กมาก็เรียกเราไปอธิบายข้างเตียงภรรยาเราว่า ลูกไม่ไหวนะ จะผ่าคลอดฉุกเฉิน มีความเสี่ยงนะ เพราะเด็กตัวเล็ก ในระหว่างคลอดมีความเสี่ยงแบบนี้นะ หากเด็กหยุดหายใจจะปั้มแค่ 15 หรือ 30 นาทีนี่แหละ ส่วนคุณแม่จะวางยาสลบนะ ให้คุณพ่อรออยู่หน้าห้องผ่าตัดนะ มีอะไรฉุกเฉินจะให้เจ้าหน้าที่มาบอกแล้วให้คุณพ่อตัดสินใจ เด็กเมื่อคลอดจะส่งไป NICU และในกรณีที่ร้ายแรงจะส่งต่อไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งโดยคุณหมอประสานเตียงไว้แล้วเราจำได้ว่าเราได้ยินแต่มันเหมือนแค่ได้ยิน มึนๆ ได้แต่ถามหาเปอร์เซ็นต์รอดของลูก ถามแค่ว่าลูกจะรอดหรือเปล่า มีโอกาศกี่เปอร์เซ็นต์จนสุดท้ายคุณหมอ(หมอสูติ-นรีเวชเฉพาะทาง)บอกว่าคุณพ่อทำใจนะ เด็กไม่มาทางเรา และให้เราออกไปรอหน้าห้องคลอด สักพักก็เข็นภรรยาเราออกไปห้องผ่าตัด มีเราเดินตามไป ตอนนั้นใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว จำได้ว่าคุณพยาบาลมาช่วยกันหลายคนมาก
หลังจากเข้าห้องผ่าตัด ก็มีทีมหมอเด็กเข้าไป สักพักใหญ่ๆก็เข็นตู้อบเด็กออกมา ในนั้นมีเด็กที่ตัวเล็กมากๆ ถ้าใครดูแฮรี่พ็อตเตอร์จะอารมณ์ฉากที่แฮรี่นั่งคุยกับศ.ดัมเบิ้ลดอร์ที่ม้านั่งในความทรงจำหรือความฝันที่มีโวลเดอร์มอร์ที่เหมือนทารกนอนอยู่ข้างใต้ ประมาณนั้นเลย ความรู้สึกช่วงนั้นพูดไม่ออก ไม่กล้าถามคุณหมอด้วยซ้ำ เห็นแค่เป็นเด็กในตู้ใส่หมวกสีส้มๆจีวรพระ เรายกนื้วโป้งให้คุณหมอเด็ก คุณ

กนิ้วกลับให้เราแล้วพูดว่าตอนนี้นะคุณพ่อ
สุดท้ายเราอยากบอกทุกคนว่า การฝากครรภ์ การดูแลตัวเองสำคัญมากๆครับ มีอะไรผิดปกติรีบปรึกษาคุณหมอเลยครับ
ขอขอบคุณ :
- คุณหมอสูติ-นรีเวช ท่านแรกที่ดูแลภรรยาเราอย่างดีและสังเกตุเห็นความผิดปกติ
- คุณหมอสูติ-นรีเวช ท่านที่สองที่ประเมินภาวะได้อย่างแม่นยำ รับตัวภรรยาเราไว้นอนโรงพยาบาลไม่งั้นคืนแรกเราอาจเสียลูกไป ประสานกับโรงพยาบาลที่ศักยภาพสูงกว่า เพื่อประโยชน์ของคนไข้ คุณหมอพูดว่า ถ้าแค่คุณหมอผ่าคลอดคุณหมอทำแป๊ปเดียวก็เสร็จแต่เด็กที่ออกมาล่ะจะเป็นยังไงต่อ
- คุณหมอเด็ก ที่ดูแลลูกเราอย่างดี ด้วยคำพูดว่า ตอนอยู่ในท้องแม่สู้เพื่อหนู ตอนนี้หนูคลอดหนูต้องสู้ไปกับคุณหมอเพื่อพ่อและแม่นะ
- ทีมคุณพยาบาลห้องคลอด NICU และ Nursery
- โรงพยาบาลทุกโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้อง
ส่วนลูกเราที่เกิด น้ำหนักแรกเกิด 940 กรัม ผ่าตัดคลอดด้วย(ที่ลงในใบรับรองแพทย์)ภาวะทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้าระดับรุนแรง นอนโรงพยาบาล 3 เดือน เป็นนอน NICU ประมาณ 2 เดือนกว่า ปัจจุบันแข็งแรงดี มีปัญหาเรื่องพัฒนาการที่ช้าบ้าง(จะ 11 เดือน แต่ยังคลานไม่ได้) กำลังเข้ารับการกระตุ้นพัฒนาการด้วยเทคนิควอยต้าและยังอยู่ในการติดตามภาวะต่างๆจากคุณหมอครับ(คุณหมอเด็ก/คุณหมอตา ส่วนคุณหมอหูบอกว่าการได้ยินปกติครับ)
เราอาจจะเล่าไม่เก่ง แท็คห้องผิด หรือทำผิดกฎต้องขอโทษด้วยนะครับ เราอยากมาแบ่งปันประสบการณ์ครับ
แชร์ประสบการณ์