จีนกลืนไทย! ส่วนแบ่งตลาดส่งออก เครื่องนุ่งห่มไทยเหลือ 0.8% - มูลค่านำเข้าเสื้อจากจีนโตขึ้น 32%
https://ch3plus.com/news/economy/morning/385666
น.ส.
ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้ศึกษาประเด็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติโควิด-19 ซึ่งโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน พบว่ามาจาก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยเชิงวัฏจักรระยะสั้น ซึ่งพบว่าระยะหลังเศรษฐกิจโลกขยายตัวจากภาคบริการเป็นหลัก ขณะที่ภาคการผลิตชะลอตัว เห็นได้จากเครื่องชี้ภาคการผลิตของโลก (PMI) ที่ชะลอตัวมา 14 เดือน สวนทางกับเครื่องชี้ภาคบริการขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน ส่งผลให้การส่งออกไทยชะลอลง
ขณะเดียวกัน ธปท.ยังพบปัญหาปัจจัยเชิงโครงสร้าง ที่ส่อถึงการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของไทยที่รุนแรงขึ้น เช่น สินค้าที่เคยทำได้ดีภาคเกษตร โดยเฉพาะข้าว ที่ผลผลิตต่อไร่ของไทยทรงตัวนานกว่า 20 ปี ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดส่งออกข้าวไทยลดลงจาก 25% ปี 46 มาอยู่ที่ 13% ในปี 65 โดยไทยเสียแชมป์และกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก
ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดส่งออกกุ้งของไทยลดลงจาก 14% ในปี 55 มาอยู่ที่ 4% ในปี 65 จากต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่ง การผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ไทยมีส่วนแบ่งตลาดส่งออกต่ำอยู่แล้ว และระยะหลังยังถูกจีนเวียดนามตีตลาด จนส่วนแบ่งเหลือเพียง 0.8% ในปี 65 แม้กระทั่งสินค้าที่ผลิตเพื่อขายในไทยก็ถูกแทนที่จากสินค้าจีน เช่น มูลค่านำเข้าเสื้อผ้าจากจีนปี 66 เพิ่มขึ้น 32% จากปีก่อน สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนโควิดที่ 14%
ขณะที่การท่องเที่ยวไทย แม้ยังแข่งขันได้แต่คู่แข่งกำลังตีตื้นและบางรายแซงไทยไปแล้ว สะท้อนจากดัชนีการพัฒนาการเดินทางและการท่องเที่ยว (TTDI) ปี 64 ซึ่งไทยอยู่อันดับ 36 จาก 117 ประเทศ ใกล้เคียงกับปี 62 แต่อินโดนีเซียอยู่อันดับ 32 ขยับดีขึ้น 12 อันดับ เวียดนามอยู่อันดับ 52 ขยับดีขึ้น 8 อันดับ นอกจากนี้ สินค้าไทยยังได้รับผลกระทบจากกระแสดิจิทัล ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก กระแสความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งไทยเสี่ยงที่จะปรับตามไม่ทัน โดยเฉพาะไทยที่ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ปลายน้ำที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการแล้ว และยังไม่ได้ผลิตชิ้นส่วนเกี่ยวกับ AI จึงได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์น้อย.
“อุเทน” อัด “สนธิญา-ธีรยุทธ” ยื่น ป.ป.ช. สอบ 44 สส.ก้าวไกล ไม่เข้าใจคำวินิจฉัยศาลรธน.
https://www.thairath.co.th/news/politic/2760905
“อุเทน ชาติภิญโญ” ชี้ ประเด็นกรอบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ยันศาลไม่ได้บอก แก้ ม.112 ไม่ได้ แต่สั่งให้หยุดเพราะกลัวบานปลาย ซัด “สนธิญา สวัสดี-ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ยื่น ป.ป.ช. สอบจริยธรรม 44 สส. ไม่เข้าใจคำวินิจฉัย
วันที่ 5 ก.พ. 2567 นายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตหัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวแสดงความคิดเห็นกรณีศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ยุติการกระทำเกี่ยวกับการแก้ไข ม.112 เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองว่า ขณะนี้ปรากฏว่าเกิดความสับสน หรือเข้าใจผิดต่อคำวินิจฉัยของศาล และมีผลต่อเนื่องให้เกิดเสียงวิพากษ์ และมีความเห็นแตกต่างกันออกไป แม้กระทั่งเรื่องที่ พรรคก้าวไกล ถอดนโบายหาเสียงแก้ไข ม.112 ออกจากหน้าเพจเฟซบุ๊ก ขณะที่ฝั่งผู้ร้องยังมองว่าผลที่เกิดตามมาแตกต่างกัน ต้องการให้ยุบพรรค หรือไม่ยุบพรรค
นาย
อุเทน กล่าวว่า ตนในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่เรียนมาทางด้านกฎหมาย ได้ฟังคำวินิจฉัยของศาลหลายรอบ จับประเด็นในชุดแรกได้ว่า ศาลพยายามตีวงในเหตุการณ์ต่างๆ ที่บรรดาสาวกของก้าวไกลตั้งแต่หัวหน้าพรรค สส.พรรค และหรือบรรดามวลชนผู้สนับสนุนพรรค มีการออกมาชูนิ้ว และอะไรต่างๆ หลายอย่างที่ได้พูดถึง และอาจจะพูดว่านำไปผูกข้อหา 112 แต่ปรากฏว่าศาลไปผูกโยงว่าเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้น หากยังปล่อยไว้จะกระทบไปถึงการล้มล้างระบอบการปกครอง เพราะฉะนั้นจึงให้พรรคก้าวไกล และคุณพิธา หยุดการ กระทำที่ผ่านมา โดยเหตุที่สั่งให้หยุดการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมา เพราะกลัวว่าจะก่อให้เกิดการล้มล้างระบบการปกครอง ซึ่งศาลไม่ได้บอกว่าที่ทำสิ่งต่างๆ ข้างต้นมานั้นถือเป็นการล้มระบบการปกครอง แต่ให้หยุดซะ ก่อนที่มันจะบานปลายไป
ส่วนชุดที่ 2 ศาลก็บอกว่า ม.112 หรือกฎหมายในหมวด 2 ไปแตะต้องไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ความมั่นคงของรัฐ ซึ่งไม่ได้บอกว่า ม.112 แตะต้องไม่ได้ แต่ยังบอก ม.112 สามารถแก้ไขได้ แต่บอกว่าจะดำเนินการแก้ไขได้โดยสภานิติบัญญัติ โดยชอบ นั่นก็คือการใช้กระบวนการผ่านสภาฯ แล้วเหตุนี้บรรดานักร้องเรียนทั้งหลายที่ไปร้องป.ป.ช.ให้ออกใบดำบรรดา สส. 44 คน ที่เสนอแก้ไข ม.112 จะไปร้องได้อย่างไรในเมื่อศาลบอกแล้วว่าแก้ไขได้ถ้าผ่านสภานิติบัญญัติโดยชอบ ซึ่ง สส.ทั้ง 44 คนนั้นก็ทำตามกระบวนการตามขั้นตอนของสภาฯ จึงเป็นการกระทำโดยชอบที่ สส.มีสิทธิ์เสนอแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายได้
และประการสุดท้าย ศาลไม่ได้ชี้เลยว่าผิดอะไรบ้าง เพียงแต่บอกว่า “
เกรงว่าหากปล่อยไปไม่กำราบให้หยุด ก็เกรงว่าต่อไปจะทำให้เกิดการล้มล้างการปกครอง” ศาลกำลังพูดไปข้างหน้าว่าเกรงว่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงได้สั่งว่าให้ยุติการกระทำซะ ห้ามปลุกระดม ห้ามประกาศ ห้ามอะไรอย่างเนี่ยพูดง่ายๆ แต่ก็จะเห็นว่าบรรดานักร้องทั้งหลายไปโยนว่ามีความผิดแล้ว ผิดตรงไหน ศาลไม่ได้บอกว่าผิดเลย ไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้ แต่ศาลเกรงว่าที่ผ่านมาทำแล้วนี่บ้านเมืองมันจะวุ่นวายลุกเป็นไฟ แล้วเดี๋ยวเกิดกระบวนการทำให้เกิดการล้มล้างการปกครอง ก็อยากจะฝากถึงบรรดานักร้ององค์กรอิสระทั้งหลายว่าท่านเป็นใครมาจากไหน เพราะฉะนั้นอย่าทำจนเกินเลยหน้าที่ อย่าทำจนน่าเกลียด สักวันหนึ่งลูกหลานจะถามแล้วท่านจะตอบไม่ได้
“
ทุกวันนี้ที่มีปัญหาคือคนที่ไม่รู้กฎหมายแล้วมาวิพากษ์ผิดๆ โดยที่ไม่ได้อ่านไม่ได้ฟัง เอาแต่ที่เขาว่ามาบอกต่อ ว่าล้ม แต่ไม่จำว่าศาลรัฐธรรมนูญเขียนยังไง เขาไม่ได้บอกเลย บอกเพียงว่า หากไม่หยุดการกระทำ หากปล่อยไว้ให้กระทำต่อไปเช่นนี้จะทำให้เกิดการล้มล้างการปกครอง..” ประโยคชัดๆ ประเด็นอย่างนี้ เขาไม่ได้บอกเลยว่าก้าวไกลล้มล้างการปกครอง เขาบอกว่าถ้าปล่อยไปสังคมจะถูกนำพาไปสู่ตรงจุดนั้น เพราะฉะนั้นจึงให้หยุดการกระทำเสีย วันนี้ที่ผมออกมาแสดงความเห็นเพียงอยากกระตุ้นสังคมให้เห็นว่าศาลยังไม่ได้บอกว่าอะไรผิด อะไรถูก ไม่ได้บอกว่าแก้ ม.112 ไม่ได้” นายอุเทน กล่าว
ส่วนกรณีที่ นาย
สนธิญา สวัสดี, นาย
ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบมาตรฐานจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ ของสส.พรรคก้าวไกล 44 คน หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยล่าสุดนั้น นาย
อุเทน กล่าวว่า เขาอ่านคำวินิจฉัยของศาลไม่เข้าใจ ซึ่งกฎหมายประเทศไทยเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแบบกล่าวหา ตนจึงให้ไปถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญท่านสั่งตรงไหนว่า 44 สส.ยื่นไม่ได้ เป็น สส.แล้วยื่นแก้กฎหมายไม่ได้
“
ซึ่งคำว่า “โดยชอบ” ในความหมายของตน คือ โดยชอบตามข้อบังคับกฎระเบียบของรัฐสภาของสภาผู้แทนฯ ส่วนหากการเสนอแก้ไขกฎหมายไม่ได้รับเสียงข้างมากในสภาฯ เห็นชอบให้ผ่านนั้น ก็ไม่เป็นไร กฎหมายที่เสนอแก้ไขก็ตกไป ก็นั่นก็เป็นเพราะจำนวนมือที่ยกน้อยกว่าเขา แต่ถ้าประชาชนอยากได้ คราวหน้าก็เลือกมากหน่อย นี่คือกระบวนการทางรัฐสภา” นาย
อุเทน กล่าวย้ำ.
บุญยืน อัดยับ รัฐบาลมือถือสาก ปากถือศีล แสดงละครรักปชช.แต่อุ้มธุรกิจน้ำเมาชงขยายเวลาขาย
https://www.dailynews.co.th/news/3147102/
บุญยืน อัดยับ รัฐบาลมือถือสาก ปากถือศีล แสดงละครรักประชาชน แต่อุ้มธุรกิจน้ำเมาชงขยายเวลาขาย ไม่สนเจ็บ ตาย พิการ ขู่ปลุกม็อบสู้ ขอกก.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยึดมั่นจริยธรรม ไม่หันซ้าย-ขวาตามสั่ง
จากกรณีมีการเปิดเผยข้อมูลว่า ในการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 ก.พ.นี้ มีวาระการพิจารณา เรื่องการขอขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า จะมีการยกเลิกเวลาห้ามขาย เนื่องจากปรากฏข้อมูลว่ามีกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งหนังสือถึงนาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และนพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนกฎหมายที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 ก.พ. นางสาว
บุญยืน ศิริธรรม นายกสมาคมผู้บริโภคภาคตะวันตก กล่าวว่า ตนมองว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นไปในรูปแบบ “
มือถือสาก ปากถือศีล” เพราะปากก็บอกว่าเราจะช่วยพี่น้อง จะฟื้นฟูเรื่องสุขภาพ จึงขอให้พี่น้องสบายใจได้ แต่มือที่กำลังถือสากอยู่ก็กำลังจะอนุมัติให้มีการเพิ่มเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นำมาสู่ความเจ็บป่วย อุบัติเหตุต่างๆ สะท้อนว่า ไม่ได้มีความห่วงใยประชาชนอย่างที่พูด แต่กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อกินบุญเก่าที่เคยทำไว้สำเร็จ คือ 30 บาท รักษาทุกโรค เพื่อคงโลโก้ที่เป็นนโยบายของเขาเอาไว้ การที่มีแนวความคิดที่จะให้ขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ตนจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง จะมาบอกว่า กฎหมายที่กำหนดช่วงเวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นกฎหมายที่มาจากการรัฐประหารในอดีตไม่ได้ เพราะกฎหมายอะไรที่ดีอยู่แล้วก็ควรที่จะต้องพัฒนาให้ดีขึ้นไป ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ทำให้คนดื่มน้อยลง เกิดอุบัติเหตุลดลง จะแก้ให้แย่ลงไม่ได้
สิ่งที่เราอยากจะถาม ที่เรากังวลมาก คือคนที่ได้รับผลกระทบ เกิดว่า เสียชีวิต หรือพิการ จากการถูกคนเมาแล้วขับ รัฐจะรับผิดชอบดูแลช่วยเหลือเขาอย่างไร ไม่ใช่ว่าปล่อยให้เขาเป็นผู้พิการแล้วให้เขาเดือนละ 400-800 บาท เหมือนทุกวันนี้ ในเมื่อเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย รัฐบาลอย่าบอกว่า เอาเงินรัฐมาชดเชยเยียวยา แล้วรัฐบาลมีปัญญาไปหาเงินมาจากไหน เพราะทุกบาททุกสตางค์ก็มาจากภาษีประชาชนทั้งนั้น และอีกเรื่องที่เราอยากถามและเป็นกังวลคือคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีความเป็นตัวของตัวเองมากแค่ไหน รัฐบาลแทรกแซงและสั่งการได้หรือเปล่า ตกลงแล้วจะยังคงประโยชน์เพื่อสุขภาพคนไทยอยู่หรือเปล่า หรือว่าแล้วแต่ลมพัดไปพัดมา หากรัฐบาลไหนพัดไปอย่างไรก็ไปอย่างนั้นหรือ ดังนั้น ขอให้กรรมการต้องยึดมั่นใจจริยธรรม หน้าที่ของตัวเองในการเป็นกรรมการ ซึ่งต่างก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่กันทั้งนั้น ถ้าฟังที่รัฐบาลบอกให้ไปซ้าย ก็ไปซ้าย ให้ไปขวาก็ไปขวา แบบนี้ให้เด็กอนุบาลมาเป็นกรรมการก็ได้
“
สิ่งที่เราอยากจะบอกรัฐบาลคือ หยุดทำเป็นมือถือสาก ปากถือศีลได้แล้ว จะถือศีลก็ถือศีลไป เลือกเอาสักอย่าง จะถือสากหรือถือศีล เอาให้แน่ อย่าหลอกลวงชาวบ้าน อย่าให้เป็นเพื่อไทยการละคร ซึ่งครั้งนี้ตนมีความรู้สึกว่านี่เป็นละครที่แสดงว่ารักชาวบ้าน แต่สุดท้ายก็เชื่อธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาทำร้ายประชาชน หมอชลน่าน เป็นหมอมาหลายปี ในดุลพินิจของหมอก็ต้องรู้ว่าคนดื่มแล้วสติสัมปชัญญะจะเป็นอย่างไร จะสร้างความเดือดร้อน สร้างความร้าวฉานในครอบครัวอย่างไร แล้วนี่ได้เริงร่าสบายอารมณ์อย่างนี้ รัฐบาลทำเพื่ออะไร เรื่องดีๆ เยอะแยะทำไมไม่ทำ” นางสาว
บุญยืน กล่าว
นางสาว
บุญยืน กล่าวต่อว่า นับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา จะเห็นว่า มีการออกนโยบายต่างๆ มาเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อเนื่อง นับตั้งแต่อนุญาตให้มีการขยายเวลาปิดสถานบันเทิงได้ถึง 04.00 น.แล้ว มีการขับรถชนคนเสียชีวิตไปเท่าไหร่แล้ว รัฐบาลเคยช่วยเหลืออย่างไร เคยเอาเงินส่วนตัวที่อนุมัตินโยบายเหล่านี้มาจ่ายหรือไม่ แล้วที่ผ่านมาก็ไม่เคยออกมาพูดสรุปบทเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ซึ่งมองว่าเป็นเพราะไม่กล้าออกมาพูด เนื่องจากว่า ไม่มีข้อมูลเชิงวิชาการอะไรออกมาสนับสนุนว่า เปิดผับถึงตีสี่แล้วเศรษฐกิจดีขึ้นแค่ไหน ไม่มีอะไรสักอย่าง ทำตามความอยากอย่างเดียว และเป็นความอยากที่อยู่บนความเสียหายทางสุขภาพของประชาชน
JJNY : จีนกลืนไทย! ส่วนแบ่งตลาดส่งออก│“อุเทน”อัด“สนธิญา-ธีรยุทธ”│บุญยืนอัดยับรัฐบาล│สภาสิงคโปร์ผ่านกม.“ติดคุกไม่มีกำหนด”
https://ch3plus.com/news/economy/morning/385666
ขณะเดียวกัน ธปท.ยังพบปัญหาปัจจัยเชิงโครงสร้าง ที่ส่อถึงการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของไทยที่รุนแรงขึ้น เช่น สินค้าที่เคยทำได้ดีภาคเกษตร โดยเฉพาะข้าว ที่ผลผลิตต่อไร่ของไทยทรงตัวนานกว่า 20 ปี ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดส่งออกข้าวไทยลดลงจาก 25% ปี 46 มาอยู่ที่ 13% ในปี 65 โดยไทยเสียแชมป์และกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก
ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดส่งออกกุ้งของไทยลดลงจาก 14% ในปี 55 มาอยู่ที่ 4% ในปี 65 จากต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่ง การผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ไทยมีส่วนแบ่งตลาดส่งออกต่ำอยู่แล้ว และระยะหลังยังถูกจีนเวียดนามตีตลาด จนส่วนแบ่งเหลือเพียง 0.8% ในปี 65 แม้กระทั่งสินค้าที่ผลิตเพื่อขายในไทยก็ถูกแทนที่จากสินค้าจีน เช่น มูลค่านำเข้าเสื้อผ้าจากจีนปี 66 เพิ่มขึ้น 32% จากปีก่อน สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนโควิดที่ 14%
ขณะที่การท่องเที่ยวไทย แม้ยังแข่งขันได้แต่คู่แข่งกำลังตีตื้นและบางรายแซงไทยไปแล้ว สะท้อนจากดัชนีการพัฒนาการเดินทางและการท่องเที่ยว (TTDI) ปี 64 ซึ่งไทยอยู่อันดับ 36 จาก 117 ประเทศ ใกล้เคียงกับปี 62 แต่อินโดนีเซียอยู่อันดับ 32 ขยับดีขึ้น 12 อันดับ เวียดนามอยู่อันดับ 52 ขยับดีขึ้น 8 อันดับ นอกจากนี้ สินค้าไทยยังได้รับผลกระทบจากกระแสดิจิทัล ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก กระแสความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งไทยเสี่ยงที่จะปรับตามไม่ทัน โดยเฉพาะไทยที่ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ปลายน้ำที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการแล้ว และยังไม่ได้ผลิตชิ้นส่วนเกี่ยวกับ AI จึงได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์น้อย.
“อุเทน” อัด “สนธิญา-ธีรยุทธ” ยื่น ป.ป.ช. สอบ 44 สส.ก้าวไกล ไม่เข้าใจคำวินิจฉัยศาลรธน.
https://www.thairath.co.th/news/politic/2760905
“อุเทน ชาติภิญโญ” ชี้ ประเด็นกรอบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ยันศาลไม่ได้บอก แก้ ม.112 ไม่ได้ แต่สั่งให้หยุดเพราะกลัวบานปลาย ซัด “สนธิญา สวัสดี-ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ยื่น ป.ป.ช. สอบจริยธรรม 44 สส. ไม่เข้าใจคำวินิจฉัย
วันที่ 5 ก.พ. 2567 นายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตหัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวแสดงความคิดเห็นกรณีศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ยุติการกระทำเกี่ยวกับการแก้ไข ม.112 เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองว่า ขณะนี้ปรากฏว่าเกิดความสับสน หรือเข้าใจผิดต่อคำวินิจฉัยของศาล และมีผลต่อเนื่องให้เกิดเสียงวิพากษ์ และมีความเห็นแตกต่างกันออกไป แม้กระทั่งเรื่องที่ พรรคก้าวไกล ถอดนโบายหาเสียงแก้ไข ม.112 ออกจากหน้าเพจเฟซบุ๊ก ขณะที่ฝั่งผู้ร้องยังมองว่าผลที่เกิดตามมาแตกต่างกัน ต้องการให้ยุบพรรค หรือไม่ยุบพรรค
นายอุเทน กล่าวว่า ตนในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่เรียนมาทางด้านกฎหมาย ได้ฟังคำวินิจฉัยของศาลหลายรอบ จับประเด็นในชุดแรกได้ว่า ศาลพยายามตีวงในเหตุการณ์ต่างๆ ที่บรรดาสาวกของก้าวไกลตั้งแต่หัวหน้าพรรค สส.พรรค และหรือบรรดามวลชนผู้สนับสนุนพรรค มีการออกมาชูนิ้ว และอะไรต่างๆ หลายอย่างที่ได้พูดถึง และอาจจะพูดว่านำไปผูกข้อหา 112 แต่ปรากฏว่าศาลไปผูกโยงว่าเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้น หากยังปล่อยไว้จะกระทบไปถึงการล้มล้างระบอบการปกครอง เพราะฉะนั้นจึงให้พรรคก้าวไกล และคุณพิธา หยุดการ กระทำที่ผ่านมา โดยเหตุที่สั่งให้หยุดการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมา เพราะกลัวว่าจะก่อให้เกิดการล้มล้างระบบการปกครอง ซึ่งศาลไม่ได้บอกว่าที่ทำสิ่งต่างๆ ข้างต้นมานั้นถือเป็นการล้มระบบการปกครอง แต่ให้หยุดซะ ก่อนที่มันจะบานปลายไป
ส่วนชุดที่ 2 ศาลก็บอกว่า ม.112 หรือกฎหมายในหมวด 2 ไปแตะต้องไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ความมั่นคงของรัฐ ซึ่งไม่ได้บอกว่า ม.112 แตะต้องไม่ได้ แต่ยังบอก ม.112 สามารถแก้ไขได้ แต่บอกว่าจะดำเนินการแก้ไขได้โดยสภานิติบัญญัติ โดยชอบ นั่นก็คือการใช้กระบวนการผ่านสภาฯ แล้วเหตุนี้บรรดานักร้องเรียนทั้งหลายที่ไปร้องป.ป.ช.ให้ออกใบดำบรรดา สส. 44 คน ที่เสนอแก้ไข ม.112 จะไปร้องได้อย่างไรในเมื่อศาลบอกแล้วว่าแก้ไขได้ถ้าผ่านสภานิติบัญญัติโดยชอบ ซึ่ง สส.ทั้ง 44 คนนั้นก็ทำตามกระบวนการตามขั้นตอนของสภาฯ จึงเป็นการกระทำโดยชอบที่ สส.มีสิทธิ์เสนอแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายได้
และประการสุดท้าย ศาลไม่ได้ชี้เลยว่าผิดอะไรบ้าง เพียงแต่บอกว่า “เกรงว่าหากปล่อยไปไม่กำราบให้หยุด ก็เกรงว่าต่อไปจะทำให้เกิดการล้มล้างการปกครอง” ศาลกำลังพูดไปข้างหน้าว่าเกรงว่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงได้สั่งว่าให้ยุติการกระทำซะ ห้ามปลุกระดม ห้ามประกาศ ห้ามอะไรอย่างเนี่ยพูดง่ายๆ แต่ก็จะเห็นว่าบรรดานักร้องทั้งหลายไปโยนว่ามีความผิดแล้ว ผิดตรงไหน ศาลไม่ได้บอกว่าผิดเลย ไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้ แต่ศาลเกรงว่าที่ผ่านมาทำแล้วนี่บ้านเมืองมันจะวุ่นวายลุกเป็นไฟ แล้วเดี๋ยวเกิดกระบวนการทำให้เกิดการล้มล้างการปกครอง ก็อยากจะฝากถึงบรรดานักร้ององค์กรอิสระทั้งหลายว่าท่านเป็นใครมาจากไหน เพราะฉะนั้นอย่าทำจนเกินเลยหน้าที่ อย่าทำจนน่าเกลียด สักวันหนึ่งลูกหลานจะถามแล้วท่านจะตอบไม่ได้
“ทุกวันนี้ที่มีปัญหาคือคนที่ไม่รู้กฎหมายแล้วมาวิพากษ์ผิดๆ โดยที่ไม่ได้อ่านไม่ได้ฟัง เอาแต่ที่เขาว่ามาบอกต่อ ว่าล้ม แต่ไม่จำว่าศาลรัฐธรรมนูญเขียนยังไง เขาไม่ได้บอกเลย บอกเพียงว่า หากไม่หยุดการกระทำ หากปล่อยไว้ให้กระทำต่อไปเช่นนี้จะทำให้เกิดการล้มล้างการปกครอง..” ประโยคชัดๆ ประเด็นอย่างนี้ เขาไม่ได้บอกเลยว่าก้าวไกลล้มล้างการปกครอง เขาบอกว่าถ้าปล่อยไปสังคมจะถูกนำพาไปสู่ตรงจุดนั้น เพราะฉะนั้นจึงให้หยุดการกระทำเสีย วันนี้ที่ผมออกมาแสดงความเห็นเพียงอยากกระตุ้นสังคมให้เห็นว่าศาลยังไม่ได้บอกว่าอะไรผิด อะไรถูก ไม่ได้บอกว่าแก้ ม.112 ไม่ได้” นายอุเทน กล่าว
ส่วนกรณีที่ นายสนธิญา สวัสดี, นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบมาตรฐานจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ ของสส.พรรคก้าวไกล 44 คน หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยล่าสุดนั้น นายอุเทน กล่าวว่า เขาอ่านคำวินิจฉัยของศาลไม่เข้าใจ ซึ่งกฎหมายประเทศไทยเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแบบกล่าวหา ตนจึงให้ไปถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญท่านสั่งตรงไหนว่า 44 สส.ยื่นไม่ได้ เป็น สส.แล้วยื่นแก้กฎหมายไม่ได้
“ซึ่งคำว่า “โดยชอบ” ในความหมายของตน คือ โดยชอบตามข้อบังคับกฎระเบียบของรัฐสภาของสภาผู้แทนฯ ส่วนหากการเสนอแก้ไขกฎหมายไม่ได้รับเสียงข้างมากในสภาฯ เห็นชอบให้ผ่านนั้น ก็ไม่เป็นไร กฎหมายที่เสนอแก้ไขก็ตกไป ก็นั่นก็เป็นเพราะจำนวนมือที่ยกน้อยกว่าเขา แต่ถ้าประชาชนอยากได้ คราวหน้าก็เลือกมากหน่อย นี่คือกระบวนการทางรัฐสภา” นายอุเทน กล่าวย้ำ.
บุญยืน อัดยับ รัฐบาลมือถือสาก ปากถือศีล แสดงละครรักปชช.แต่อุ้มธุรกิจน้ำเมาชงขยายเวลาขาย
https://www.dailynews.co.th/news/3147102/
บุญยืน อัดยับ รัฐบาลมือถือสาก ปากถือศีล แสดงละครรักประชาชน แต่อุ้มธุรกิจน้ำเมาชงขยายเวลาขาย ไม่สนเจ็บ ตาย พิการ ขู่ปลุกม็อบสู้ ขอกก.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยึดมั่นจริยธรรม ไม่หันซ้าย-ขวาตามสั่ง
จากกรณีมีการเปิดเผยข้อมูลว่า ในการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 ก.พ.นี้ มีวาระการพิจารณา เรื่องการขอขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า จะมีการยกเลิกเวลาห้ามขาย เนื่องจากปรากฏข้อมูลว่ามีกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งหนังสือถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนกฎหมายที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 ก.พ. นางสาวบุญยืน ศิริธรรม นายกสมาคมผู้บริโภคภาคตะวันตก กล่าวว่า ตนมองว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นไปในรูปแบบ “มือถือสาก ปากถือศีล” เพราะปากก็บอกว่าเราจะช่วยพี่น้อง จะฟื้นฟูเรื่องสุขภาพ จึงขอให้พี่น้องสบายใจได้ แต่มือที่กำลังถือสากอยู่ก็กำลังจะอนุมัติให้มีการเพิ่มเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นำมาสู่ความเจ็บป่วย อุบัติเหตุต่างๆ สะท้อนว่า ไม่ได้มีความห่วงใยประชาชนอย่างที่พูด แต่กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อกินบุญเก่าที่เคยทำไว้สำเร็จ คือ 30 บาท รักษาทุกโรค เพื่อคงโลโก้ที่เป็นนโยบายของเขาเอาไว้ การที่มีแนวความคิดที่จะให้ขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ตนจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง จะมาบอกว่า กฎหมายที่กำหนดช่วงเวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นกฎหมายที่มาจากการรัฐประหารในอดีตไม่ได้ เพราะกฎหมายอะไรที่ดีอยู่แล้วก็ควรที่จะต้องพัฒนาให้ดีขึ้นไป ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ทำให้คนดื่มน้อยลง เกิดอุบัติเหตุลดลง จะแก้ให้แย่ลงไม่ได้
สิ่งที่เราอยากจะถาม ที่เรากังวลมาก คือคนที่ได้รับผลกระทบ เกิดว่า เสียชีวิต หรือพิการ จากการถูกคนเมาแล้วขับ รัฐจะรับผิดชอบดูแลช่วยเหลือเขาอย่างไร ไม่ใช่ว่าปล่อยให้เขาเป็นผู้พิการแล้วให้เขาเดือนละ 400-800 บาท เหมือนทุกวันนี้ ในเมื่อเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย รัฐบาลอย่าบอกว่า เอาเงินรัฐมาชดเชยเยียวยา แล้วรัฐบาลมีปัญญาไปหาเงินมาจากไหน เพราะทุกบาททุกสตางค์ก็มาจากภาษีประชาชนทั้งนั้น และอีกเรื่องที่เราอยากถามและเป็นกังวลคือคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีความเป็นตัวของตัวเองมากแค่ไหน รัฐบาลแทรกแซงและสั่งการได้หรือเปล่า ตกลงแล้วจะยังคงประโยชน์เพื่อสุขภาพคนไทยอยู่หรือเปล่า หรือว่าแล้วแต่ลมพัดไปพัดมา หากรัฐบาลไหนพัดไปอย่างไรก็ไปอย่างนั้นหรือ ดังนั้น ขอให้กรรมการต้องยึดมั่นใจจริยธรรม หน้าที่ของตัวเองในการเป็นกรรมการ ซึ่งต่างก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่กันทั้งนั้น ถ้าฟังที่รัฐบาลบอกให้ไปซ้าย ก็ไปซ้าย ให้ไปขวาก็ไปขวา แบบนี้ให้เด็กอนุบาลมาเป็นกรรมการก็ได้
“สิ่งที่เราอยากจะบอกรัฐบาลคือ หยุดทำเป็นมือถือสาก ปากถือศีลได้แล้ว จะถือศีลก็ถือศีลไป เลือกเอาสักอย่าง จะถือสากหรือถือศีล เอาให้แน่ อย่าหลอกลวงชาวบ้าน อย่าให้เป็นเพื่อไทยการละคร ซึ่งครั้งนี้ตนมีความรู้สึกว่านี่เป็นละครที่แสดงว่ารักชาวบ้าน แต่สุดท้ายก็เชื่อธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาทำร้ายประชาชน หมอชลน่าน เป็นหมอมาหลายปี ในดุลพินิจของหมอก็ต้องรู้ว่าคนดื่มแล้วสติสัมปชัญญะจะเป็นอย่างไร จะสร้างความเดือดร้อน สร้างความร้าวฉานในครอบครัวอย่างไร แล้วนี่ได้เริงร่าสบายอารมณ์อย่างนี้ รัฐบาลทำเพื่ออะไร เรื่องดีๆ เยอะแยะทำไมไม่ทำ” นางสาวบุญยืน กล่าว
นางสาวบุญยืน กล่าวต่อว่า นับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา จะเห็นว่า มีการออกนโยบายต่างๆ มาเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อเนื่อง นับตั้งแต่อนุญาตให้มีการขยายเวลาปิดสถานบันเทิงได้ถึง 04.00 น.แล้ว มีการขับรถชนคนเสียชีวิตไปเท่าไหร่แล้ว รัฐบาลเคยช่วยเหลืออย่างไร เคยเอาเงินส่วนตัวที่อนุมัตินโยบายเหล่านี้มาจ่ายหรือไม่ แล้วที่ผ่านมาก็ไม่เคยออกมาพูดสรุปบทเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ซึ่งมองว่าเป็นเพราะไม่กล้าออกมาพูด เนื่องจากว่า ไม่มีข้อมูลเชิงวิชาการอะไรออกมาสนับสนุนว่า เปิดผับถึงตีสี่แล้วเศรษฐกิจดีขึ้นแค่ไหน ไม่มีอะไรสักอย่าง ทำตามความอยากอย่างเดียว และเป็นความอยากที่อยู่บนความเสียหายทางสุขภาพของประชาชน