เทศกาลตรุษจีน ของเซ่นไหว้ปรับขึ้นทุกชนิด เหตุค่าขนส่งแพง กระทบร้านค้า-ประชาชน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8082857
ตรัง เทศกาลตรุษจีน ของเซ่นไหว้ปีนี้ ปรับขึ้นราคาทุกชนิด โรงงานต้นทางอ้างค่าขนส่งแพง กระทบประชาชน-ร้านค้าท้องถิ่น จำทนกัดฟันแบกต้นทุน จัดโปรเอาใจลูกค้า แม้ได้กำไรน้อย
5 ก.พ. 67 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจของเซ่นไหว้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้พบว่า ต่างปรับราคาขึ้นทั้งหมด โดยแพงจากต้นทาง สาเหตุค่าขนส่งแพงขึ้น ทำร้านค้าปลายทางในพื้นที่ต้องแบกรับเอง ไม่กล้าปรับราคาสินค้ามากนัก
ขณะที่ร้านขนาดใหญ่สั่งจากโรงงานโดยตรง แม้ราคาจะปรับขึ้น แต่จะสั่งมาจำนวนมากๆ จะได้ราคาพิเศษ ก็นำมาจัดโปรโมชั่นขายลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่าย ร้านขายได้ง่าย ปิดการขายได้เร็ว โดยทุกร้านจะเอากำไรแค่เล็กน้อย เพราะสภาพเศรษฐกิจไม่ดี
โดยมองว่าช่วงเทศกาลตรุษจีน ประชาชนจะมีค่าใช้จ่ายสูง จึงขายยาก เพราะประชาชนประหยัด ซื้อที่จำเป็น แม้ยางพาราราคาดีขึ้น แต่สินค้าทุกชนิด ทั้งของกินของใช้ ปรับราคาขึ้นทั้งหมด ทำให้ประชาชนต้องแบกรับรายจ่ายเพิ่มขึ้นอยู่ดี ขณะที่เศรษฐกิจครัวเรือนก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่ประการใด
อย่างเช่นที่ร้านสิริมงคล ใกล้ตลาดวังยาว ในเขตเทศบาลนครตรัง บอกว่า ของเซ่นไหว้ปีนี้ปรับขึ้นราคาจากต้นทางทุกชนิด โดยหากเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ จะปรับขึ้นประมาณ 100 -200 บาท บางชนิดตั้งแต่ต้นทางปรับราคาขึ้นเท่าตัว เชื่อว่าเกิดจากปัญหาค่าขนส่งแพง เช่น เดิมประทัดขนาด 1 หมื่นนัด จากเดิมเคยซื้อราคา 1,100 บาท มาปีนี้ปรับขึ้นเป็น 1,250 บาท
ส่วนถังเผาปีที่แล้ว จากเดิมเคยซื้อราคาถังละ 200 กว่าบาท ปีนี้ปรับขึ้นมาเป็นถังละ 300-400 บาท แต่ทางร้านพยายามจะขายตรึงราคาเดิม เอากำไรเล็กน้อย เพราะค่าขนส่งที่ร้านสั่งมาก็ต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 2,000 -3,000 บาทต่อเที่ยว
ซึ่งปีนี้แม้ยางพาราจะมีราคาสูงขึ้น กก.ละกว่า 60 บาทแล้วก็ตาม แต่ประชาชนก็ไม่ได้มีกำลังซื้อมากนัก เพราะของกินของใช้จำเป็นอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน มีการปรับราคาขึ้นทั้งหมด ดังนั้น ของเซ่นไหว้ตรุษจีน ลูกค้าจึงซื้อเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
ส่วนที่ร้านชัยรุ่งเรืองพาณิชย์ ถนนกันตัง ในเขตเทศบาลนครตรัง นาง
ธนาพร เรืองวิทยาวงศ์ เจ้าของร้าน บอกว่า ปีนี้ของเซ่นไหว้มีการปรับราคาขึ้นจากต้นทางเล็กน้อย แต่ทางร้านจะขายตรึงราคาเดิม หากสินค้าตัวไหนที่ซื้อมาจำนวนมากๆ และโรงงานให้ราคาพิเศษมา ทางร้านก็จะนำมาจัดโปรโมชั่นให้ลูกค้า เพื่อแบ่งเบาภาระ และเอากำไรน้อยๆ
เช่น เต็งลั้ง หรือโคมจีน จะลด 50%, ธูป เทียน ก็เช่นกัน สั่งมาจำนวนมากๆ ก็นำมาทำโปร เช่น ธูป ห่อละ 95 บาท แต่จัดโปร 2 ห่อ ขายราคา 150 บาท, เทียนห่อละ 35 บาท หากซื้อ 3 ห่อ 100 บาท, กระดาษเงิน กระดาษทอง จากเดิมมัดละ 85 บาท ตอนนี้มัดละ 95 บาท แต่ทางร้านนำมาขายปลีกมัดละ 20 บาท, ประทัดหากซื้อ 1 ลัง จะแถม 1 กล่อง หากซื้อ 1 ลังใหญ่ ก็แถม 2 กล่อง เพื่อให้ลูกค้าได้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น ส่วนร้านก็ขายง่ายขึ้น
นอกจากนั้นสินค้าประเภทของใช้ ก็ยังนำมาจัดเป็นเซ็ตๆ เพื่อจำหน่าย ในราคาตั้งแต่ราคาเซ็ตละ 199-499 บาท เช่น เซ็ตไหว้บรรพบุรุษ 1 ชุด, เซ็ตไหว้เจ้าที่ 1 ชุด ,เซ็ตไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย 1 ชุด, เซ็ตธนบัตร ทั้งนี้ เพื่อเอาใจลูกค้าสมัยใหม่ ที่บางครั้งอาจไม่ชำนาญในการซื้อของเซ่นไหว้ หรือห่วงจะได้ไม่ครบ และบางคนก็ประหยัด หรือขอให้ได้ทำตามประเพณี ก็จะให้ทางร้านจัดเป็นเซ็ตๆ ให้ครบ ซึ่งจะประหยัดกว่าซื้อทีละชิ้น
โพลชี้ ศก.ไทย ‘อ่วม’ ฟื้นตัวไม่โดดเด่น ปชช.รัดเข็มขัด แต่ใช้จ่ายเพิ่ม เพราะสินค้าแพง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4410431
ม.หอการค้า เผย ใช้จ่ายตรุษจีนปี 67 คึกคัก เงินสะพัด 4.9 หมื่นล้านบาท มีแผนเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่เท่าก่อนโควิด ด้านวาเลนไทน์
สะพัด 2,518 ล้านบาท ยังกังวลเรื่องเด็ก-เยาวชน ใช้ความรุนแรง ติดยา ถูกล่อลวง ประชาชน 38.3% ตอบหนี้ครัวเรือนปี 2567เพิ่มขึ้น
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ นาย
ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ ในปี 2567 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,300 ตัวอย่างทั่วประเทศ วันที่ 25-31 มกราคม 2567 ว่า สำหรับช่วงเทศกาลตรุษจีนมีความคึกคักกว่าปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด โดยมีมูลค่าสูงถึง 4.95 หมื่นล้านบาท และมีอัตราการขยายตัว 10.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 11 ปี นับตั้งแต่ปี 2556 เนื่องจากฐานที่ต่ำในช่วงที่มีโควิดปี 2564-2566
นาย
ธนวรรธน์ กล่าวว่า ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่าง 57.2% จะไหว้เจ้าและบรรพบุรุษ และอีก 42.8% ไม่ไหว้ จากปี 2566 ที่ตอบจะไหว้เจ้าตอบ 45.0% รวมถึงยังมีการวางแผนท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีผู้ตอบถึง 55.7% ส่วนใหญ่เที่ยวในประเทศ และไม่ไป 44.3% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ตอบไปเที่ยวเพียง 29.7% และไม่ไปสูงถึง 70.3%
สำหรับการใช้จ่ายส่วนใหญ่จะหมดไปกับการซื้อของเซ่นไหว้ ทำบุญ เที่ยวในประเทศ แต๊ะเอีย ไปทานข้าว-สังสรรค์ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค-เสื้อผ้า-สินค้าฟุ่มเฟือย-สินค้าคงทน และเครื่องประดับ
นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่าง 40.3% บอกว่า ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะราคาสินค้าแพงขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น แก้ชง ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐ รายได้เพิ่ม ธุรกิจได้กำไรมากขึ้น และได้โบนัสมากขึ้น ส่วน 33.7% บอกใช้จ่ายลดลง เพราะลดค่าใช้จ่าย รายได้ลด มีหนี้มากขึ้น เศรษฐกิจแย่ลง ตกงาน เสถียรภาพทางการเมือง ภัยธรรมชาติ และอีก 26.0% ใช้จ่ายเท่าเดิม โดยเน้นซื้อของจำเป็น ลดจำนวนชิ้น ลดคุณภาพ ใช้ของเหลือจากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ในด้านเงินแต๊ะเอีย แม้เศรษฐกิจปัจจุบันยังฟื้นตัวไม่โดดเด่น แต่ส่วนใหญ่ยังคงให้แต๊ะเอียเหมือนเดิม
“
ดังนั้น เป็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นหลังจากโควิด แต่คนยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่โดดเด่น รวมไปถึงราคาสินค้าเพิ่มขึ้น จึงมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอยที่มีความระมัดระวัง ทำให้การขยายตัวยังน้อยกว่าในช่วงก่อนมีการแพร่ระบาดของโควิด คือ ปี 2558- 2563 มีการใช้จ่ายอยู่ 5-5.8 หมื่นล้านบาทต่อปี และยังเป็นช่วงที่มีการใช้สูงสุดเป็นอันดับสาม รองมาจ่าย เทศกาลปีใหม่ และสงกรานต์” นาย
ธนวรรธน์ กล่าว
นาย
ธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า ส่วนผลสำรวจการใช้จ่ายช่วงวาเลนไทน์ พบว่า จะมีเงินสะพัด 2,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% จากปี 2566 ที่มีค่าใช้จ่าย 2,389 ล้านบาท ขณะที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน 2,125 ล้านบาท จากปี 2566 ที่ 1,847 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลของการสำรวจย้อนหลัง 3 ปี พบความกังวลปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นมาก โดยกังวลมากที่สุดคือ การใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ติดยาเสพติด ถูกล่องลวงทางโซเชียลมีเดีย รวมถึงเป็นโรคซึมเศร้า จากการอยู่คนเดียว จึงจำเป็นที่ภาครัฐ สถาบันการศึกษา และครอบครัวต้องเร่งแก้ปัญหา เพราะจะเป็นปัญหาสังคมในระยะยาว ซึ่งน่าห่วงกว่าปัญหาเศรษฐกิจ ที่ในระยะยาวฟื้นตัวแน่นอน
“
ผลสำรวจของทั้ง 2 โพล ทำให้เห็นว่า ปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่โดดเด่น ประชาชนยังระมัดระวังใช้จ่าย โดยยังฟื้นเป็นรูปตัวเค(K) แต่ยังเห็นการฟื้นตัว ถ้ารวมเงินสะพัดจากตรุษจีนปีนี้ กับรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าไทยในช่วงตรุษจีน ซึ่งตามสถิติจะเข้าไทยประมาณสัปดาห์ละ 8 แสนคน ก็น่าจะทำให้ช่วงตรุษจีนมีเงินสะพัดได้มากถึง 5.5 – 6 หมื่นบาท หรืออาจจะถึง 7 หมื่นล้านบาทได้” นาย
ธนวรรธน์ กล่าว
นาย
ธนวรรธน์ กล่าวอรกว่า ขณะเดียวกัน ยังได้สอบถามเกี่ยวกับสถานภาพหนี้ครัวเรือนปี 2567 เทียบปี 2566 ซึ่งมากถึง 38.3% ตอบว่า หนี้เพิ่มขึ้น 39.3% ตอบว่าเท่าเดิม และ 22.3% ตอบว่าหนี้ลดลง
โดยผู้มีรายได้เดือนละ 5,000-10,000 บาท มีหนี้มากกว่ารายได้ ส่วนต่ำกว่า 5,000 บาทมีหนี้พอๆ กับรายได้ ซึ่งความเป็นอยู่แย่ลงมาก และมากกว่า 4 หมื่นบาทมีหนี้น้อยกว่ารายได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบมองว่า มาตรการอีซี อี-รีซีท (Easy E-Reciept) จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ปานกลาง และมอวว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้ยังแย่มาก น่าจะดีขึ้นไตรมาส 4/67 ขณะที่การสำรวจผู้ประกอบการ พบว่า อีซี อี-รีซีท จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก และเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะโตได้ต่ำกว่า 2.5%
พิธา ยันอุทธรณ์สู้คดีแฟลชม็อบ หลังศาลตัดสินคุก 4 เดือน ปิยบุตร ยกเทียบคดีปิดสนามบิน โทษแค่ปรับ 2 หมื่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4410923
พิธา ยัน 8 จำเลยคดีแฟลชม็อบอุทธรณ์ หลังศาลตัดสินคุก 4 เดือน ปิยบุตร ยกเทียบคดีปิดสนามบิน โทษแค่ปรับ 2 หมื่น
จากกรณีศาลแขวงดุสิต อ่านคำพิพากษา คดีแฟลชม็อบปี 2562 สกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน สั่งจำคุก 8 จำเลย คนละ 4 เดือน ประกอบด้วย นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นาย
ปิยบุตร แสงกนกกุล,น.ส.
พรรณิการ์ วานิช, น.ส.
ณัฏฐา มหัทธนา, นาย
พริษฐ์ ชีวารักษ์ ,นายธนวัฒน์ วงค์ไชย และนาย
ไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 20,200 บาท ในความผิด ตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ โดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวังฯ, พ.ร.บ. ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ เป็นต้น
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ นาย
กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ในฐานะทนายความ กล่าวภายหลังศาลพิพากษาว่า จำเลยยังติดใจในประเด็นเรื่องระยะ 150 เมตรของเขตพระราชฐานว่าวัดจากจุดไหน ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวมีการเทียบเคียงกับคดีอื่นที่มีการชุมนุมสถานที่เดียวกัน จุดเดียวกัน ซึ่งศาลอาญากรุงเทพฯใต้เคยมีคำพิพากษายกฟ้องข้อหาชุมนุมใกล้เขตพระราชฐานในระยะ 150 เมตร ทั้งที่เป็นการชุมนุมจุดเดียวกัน
อีกทั้งในประเด็นเรื่องการไม่แจ้งการชุมนุมต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ศาลแขวงจังหวัดเชียงรายเคยมีคำวินิจฉัยว่าไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเพียงแต่ต้องแจ้งพนักงานสอบสวนให้ทราบเท่านั้น แต่หากมีการโพสต์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ก็ถือว่าเจ้าหน้าที่รับรู้แล้ว ซึ่งคดีนี้ตำรวจรับรู้ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2562 แล้วว่ามีการชุมนุม เนื่องจากจำเลยมีการโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะทนายคิดว่าจำเลยควรที่จะอุทธรณ์คดี เรื่องนี้ไม่ต้องการเอาชนะ เเต่ต้องการความจริง ตนเคารพคำพิพากษาศาลเเต่เคารพข้อเท็จจริงมากกว่า ส่วนอัยการจะอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานหนักกว่าเดิมหรือไม่ต้องถามทางอัยการ
ด้านนาย
พิธา กล่าวว่า จากการหารือกับจำเลยคนอื่นว่า จะต้องยื่นอุทธรณ์คดีเพราะมีประเด็นข้อเท็จจริงเรื่องของระยะของการชุมนุมใกล้เขตพระราชฐานว่าอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของ 150 เมตรว่าวัดจากจุดไหน เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานกับคดีอื่นๆ พร้อมระบุว่าการที่ศาลตัดสินในลักษณะนี้ ไม่ทำให้พรรคก้าวไกลเสียเครดิตทางการเมือง เนื่องจากประชาชนมีความเข้าใจในข้อเท็จจริง ตนอยากโฟกัสเรื่องงานเพราะสัปดาห์หน้าจะไปสภาอภิปรายเรื่องปัญหาการประมง
ด้านนาย
ปิยบุตร กล่าวว่า คดีนี้มีหลายประเด็นในการยื่นอุทธรณ์ต่อ พร้อมเทียบเคียงกับคดีปิดสนามบิน มีผลกระทบกับคนจำนวนมาก และเป็นความผิดชัดเจนแต่ศาลพิจารณาสั่งปรับคนละ 20,000 บาท ส่วนคดีการชุมนุมคดีนี้ เป็นการชุมนุมใช้ระยะเวลาไม่นานหลังเลิกชุมนุมก็มีการช่วยกันเก็บขยะ ศาลใช้ระยะเวลาอ่านคำพิพากษานานกว่าการชุมนุมดังกล่าวด้วยซ้ำ สุดท้ายถูกจำคุกถึง 4 เดือนปรับ 20,200 บาท เป็นเหตุผลที่จะต้องอุทธรณ์คดีเพื่อให้ศาลสูงพิจารณา ส่วนเรื่องความไม่เหมาะสมของกฎหมายก็อยากจะฝากให้พรรคก้าวไกลไปพิจารณาแก้ไขในสภาต่อไป
JJNY : 5in1 ของเซ่นไหว้ปรับขึ้น│โพลชี้ ศก.ไทย‘อ่วม’│พิธายันอุทธรณ์คดีแฟลชม็อบ│ศก.อินโดนีเซียยังซบเซา│ไฟป่าชิลียังรุนแรง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8082857
ตรัง เทศกาลตรุษจีน ของเซ่นไหว้ปีนี้ ปรับขึ้นราคาทุกชนิด โรงงานต้นทางอ้างค่าขนส่งแพง กระทบประชาชน-ร้านค้าท้องถิ่น จำทนกัดฟันแบกต้นทุน จัดโปรเอาใจลูกค้า แม้ได้กำไรน้อย
5 ก.พ. 67 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจของเซ่นไหว้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้พบว่า ต่างปรับราคาขึ้นทั้งหมด โดยแพงจากต้นทาง สาเหตุค่าขนส่งแพงขึ้น ทำร้านค้าปลายทางในพื้นที่ต้องแบกรับเอง ไม่กล้าปรับราคาสินค้ามากนัก
ขณะที่ร้านขนาดใหญ่สั่งจากโรงงานโดยตรง แม้ราคาจะปรับขึ้น แต่จะสั่งมาจำนวนมากๆ จะได้ราคาพิเศษ ก็นำมาจัดโปรโมชั่นขายลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่าย ร้านขายได้ง่าย ปิดการขายได้เร็ว โดยทุกร้านจะเอากำไรแค่เล็กน้อย เพราะสภาพเศรษฐกิจไม่ดี
โดยมองว่าช่วงเทศกาลตรุษจีน ประชาชนจะมีค่าใช้จ่ายสูง จึงขายยาก เพราะประชาชนประหยัด ซื้อที่จำเป็น แม้ยางพาราราคาดีขึ้น แต่สินค้าทุกชนิด ทั้งของกินของใช้ ปรับราคาขึ้นทั้งหมด ทำให้ประชาชนต้องแบกรับรายจ่ายเพิ่มขึ้นอยู่ดี ขณะที่เศรษฐกิจครัวเรือนก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่ประการใด
อย่างเช่นที่ร้านสิริมงคล ใกล้ตลาดวังยาว ในเขตเทศบาลนครตรัง บอกว่า ของเซ่นไหว้ปีนี้ปรับขึ้นราคาจากต้นทางทุกชนิด โดยหากเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ จะปรับขึ้นประมาณ 100 -200 บาท บางชนิดตั้งแต่ต้นทางปรับราคาขึ้นเท่าตัว เชื่อว่าเกิดจากปัญหาค่าขนส่งแพง เช่น เดิมประทัดขนาด 1 หมื่นนัด จากเดิมเคยซื้อราคา 1,100 บาท มาปีนี้ปรับขึ้นเป็น 1,250 บาท
ส่วนถังเผาปีที่แล้ว จากเดิมเคยซื้อราคาถังละ 200 กว่าบาท ปีนี้ปรับขึ้นมาเป็นถังละ 300-400 บาท แต่ทางร้านพยายามจะขายตรึงราคาเดิม เอากำไรเล็กน้อย เพราะค่าขนส่งที่ร้านสั่งมาก็ต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 2,000 -3,000 บาทต่อเที่ยว
ซึ่งปีนี้แม้ยางพาราจะมีราคาสูงขึ้น กก.ละกว่า 60 บาทแล้วก็ตาม แต่ประชาชนก็ไม่ได้มีกำลังซื้อมากนัก เพราะของกินของใช้จำเป็นอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน มีการปรับราคาขึ้นทั้งหมด ดังนั้น ของเซ่นไหว้ตรุษจีน ลูกค้าจึงซื้อเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
ส่วนที่ร้านชัยรุ่งเรืองพาณิชย์ ถนนกันตัง ในเขตเทศบาลนครตรัง นางธนาพร เรืองวิทยาวงศ์ เจ้าของร้าน บอกว่า ปีนี้ของเซ่นไหว้มีการปรับราคาขึ้นจากต้นทางเล็กน้อย แต่ทางร้านจะขายตรึงราคาเดิม หากสินค้าตัวไหนที่ซื้อมาจำนวนมากๆ และโรงงานให้ราคาพิเศษมา ทางร้านก็จะนำมาจัดโปรโมชั่นให้ลูกค้า เพื่อแบ่งเบาภาระ และเอากำไรน้อยๆ
เช่น เต็งลั้ง หรือโคมจีน จะลด 50%, ธูป เทียน ก็เช่นกัน สั่งมาจำนวนมากๆ ก็นำมาทำโปร เช่น ธูป ห่อละ 95 บาท แต่จัดโปร 2 ห่อ ขายราคา 150 บาท, เทียนห่อละ 35 บาท หากซื้อ 3 ห่อ 100 บาท, กระดาษเงิน กระดาษทอง จากเดิมมัดละ 85 บาท ตอนนี้มัดละ 95 บาท แต่ทางร้านนำมาขายปลีกมัดละ 20 บาท, ประทัดหากซื้อ 1 ลัง จะแถม 1 กล่อง หากซื้อ 1 ลังใหญ่ ก็แถม 2 กล่อง เพื่อให้ลูกค้าได้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น ส่วนร้านก็ขายง่ายขึ้น
นอกจากนั้นสินค้าประเภทของใช้ ก็ยังนำมาจัดเป็นเซ็ตๆ เพื่อจำหน่าย ในราคาตั้งแต่ราคาเซ็ตละ 199-499 บาท เช่น เซ็ตไหว้บรรพบุรุษ 1 ชุด, เซ็ตไหว้เจ้าที่ 1 ชุด ,เซ็ตไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย 1 ชุด, เซ็ตธนบัตร ทั้งนี้ เพื่อเอาใจลูกค้าสมัยใหม่ ที่บางครั้งอาจไม่ชำนาญในการซื้อของเซ่นไหว้ หรือห่วงจะได้ไม่ครบ และบางคนก็ประหยัด หรือขอให้ได้ทำตามประเพณี ก็จะให้ทางร้านจัดเป็นเซ็ตๆ ให้ครบ ซึ่งจะประหยัดกว่าซื้อทีละชิ้น
โพลชี้ ศก.ไทย ‘อ่วม’ ฟื้นตัวไม่โดดเด่น ปชช.รัดเข็มขัด แต่ใช้จ่ายเพิ่ม เพราะสินค้าแพง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4410431
ม.หอการค้า เผย ใช้จ่ายตรุษจีนปี 67 คึกคัก เงินสะพัด 4.9 หมื่นล้านบาท มีแผนเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่เท่าก่อนโควิด ด้านวาเลนไทน์
สะพัด 2,518 ล้านบาท ยังกังวลเรื่องเด็ก-เยาวชน ใช้ความรุนแรง ติดยา ถูกล่อลวง ประชาชน 38.3% ตอบหนี้ครัวเรือนปี 2567เพิ่มขึ้น
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ ในปี 2567 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,300 ตัวอย่างทั่วประเทศ วันที่ 25-31 มกราคม 2567 ว่า สำหรับช่วงเทศกาลตรุษจีนมีความคึกคักกว่าปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด โดยมีมูลค่าสูงถึง 4.95 หมื่นล้านบาท และมีอัตราการขยายตัว 10.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 11 ปี นับตั้งแต่ปี 2556 เนื่องจากฐานที่ต่ำในช่วงที่มีโควิดปี 2564-2566
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่าง 57.2% จะไหว้เจ้าและบรรพบุรุษ และอีก 42.8% ไม่ไหว้ จากปี 2566 ที่ตอบจะไหว้เจ้าตอบ 45.0% รวมถึงยังมีการวางแผนท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีผู้ตอบถึง 55.7% ส่วนใหญ่เที่ยวในประเทศ และไม่ไป 44.3% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ตอบไปเที่ยวเพียง 29.7% และไม่ไปสูงถึง 70.3%
สำหรับการใช้จ่ายส่วนใหญ่จะหมดไปกับการซื้อของเซ่นไหว้ ทำบุญ เที่ยวในประเทศ แต๊ะเอีย ไปทานข้าว-สังสรรค์ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค-เสื้อผ้า-สินค้าฟุ่มเฟือย-สินค้าคงทน และเครื่องประดับ
นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่าง 40.3% บอกว่า ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะราคาสินค้าแพงขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น แก้ชง ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐ รายได้เพิ่ม ธุรกิจได้กำไรมากขึ้น และได้โบนัสมากขึ้น ส่วน 33.7% บอกใช้จ่ายลดลง เพราะลดค่าใช้จ่าย รายได้ลด มีหนี้มากขึ้น เศรษฐกิจแย่ลง ตกงาน เสถียรภาพทางการเมือง ภัยธรรมชาติ และอีก 26.0% ใช้จ่ายเท่าเดิม โดยเน้นซื้อของจำเป็น ลดจำนวนชิ้น ลดคุณภาพ ใช้ของเหลือจากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ในด้านเงินแต๊ะเอีย แม้เศรษฐกิจปัจจุบันยังฟื้นตัวไม่โดดเด่น แต่ส่วนใหญ่ยังคงให้แต๊ะเอียเหมือนเดิม
“ดังนั้น เป็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นหลังจากโควิด แต่คนยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่โดดเด่น รวมไปถึงราคาสินค้าเพิ่มขึ้น จึงมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอยที่มีความระมัดระวัง ทำให้การขยายตัวยังน้อยกว่าในช่วงก่อนมีการแพร่ระบาดของโควิด คือ ปี 2558- 2563 มีการใช้จ่ายอยู่ 5-5.8 หมื่นล้านบาทต่อปี และยังเป็นช่วงที่มีการใช้สูงสุดเป็นอันดับสาม รองมาจ่าย เทศกาลปีใหม่ และสงกรานต์” นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า ส่วนผลสำรวจการใช้จ่ายช่วงวาเลนไทน์ พบว่า จะมีเงินสะพัด 2,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% จากปี 2566 ที่มีค่าใช้จ่าย 2,389 ล้านบาท ขณะที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน 2,125 ล้านบาท จากปี 2566 ที่ 1,847 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลของการสำรวจย้อนหลัง 3 ปี พบความกังวลปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นมาก โดยกังวลมากที่สุดคือ การใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ติดยาเสพติด ถูกล่องลวงทางโซเชียลมีเดีย รวมถึงเป็นโรคซึมเศร้า จากการอยู่คนเดียว จึงจำเป็นที่ภาครัฐ สถาบันการศึกษา และครอบครัวต้องเร่งแก้ปัญหา เพราะจะเป็นปัญหาสังคมในระยะยาว ซึ่งน่าห่วงกว่าปัญหาเศรษฐกิจ ที่ในระยะยาวฟื้นตัวแน่นอน
“ผลสำรวจของทั้ง 2 โพล ทำให้เห็นว่า ปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่โดดเด่น ประชาชนยังระมัดระวังใช้จ่าย โดยยังฟื้นเป็นรูปตัวเค(K) แต่ยังเห็นการฟื้นตัว ถ้ารวมเงินสะพัดจากตรุษจีนปีนี้ กับรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าไทยในช่วงตรุษจีน ซึ่งตามสถิติจะเข้าไทยประมาณสัปดาห์ละ 8 แสนคน ก็น่าจะทำให้ช่วงตรุษจีนมีเงินสะพัดได้มากถึง 5.5 – 6 หมื่นบาท หรืออาจจะถึง 7 หมื่นล้านบาทได้” นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวอรกว่า ขณะเดียวกัน ยังได้สอบถามเกี่ยวกับสถานภาพหนี้ครัวเรือนปี 2567 เทียบปี 2566 ซึ่งมากถึง 38.3% ตอบว่า หนี้เพิ่มขึ้น 39.3% ตอบว่าเท่าเดิม และ 22.3% ตอบว่าหนี้ลดลง
โดยผู้มีรายได้เดือนละ 5,000-10,000 บาท มีหนี้มากกว่ารายได้ ส่วนต่ำกว่า 5,000 บาทมีหนี้พอๆ กับรายได้ ซึ่งความเป็นอยู่แย่ลงมาก และมากกว่า 4 หมื่นบาทมีหนี้น้อยกว่ารายได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบมองว่า มาตรการอีซี อี-รีซีท (Easy E-Reciept) จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ปานกลาง และมอวว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้ยังแย่มาก น่าจะดีขึ้นไตรมาส 4/67 ขณะที่การสำรวจผู้ประกอบการ พบว่า อีซี อี-รีซีท จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก และเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะโตได้ต่ำกว่า 2.5%
พิธา ยันอุทธรณ์สู้คดีแฟลชม็อบ หลังศาลตัดสินคุก 4 เดือน ปิยบุตร ยกเทียบคดีปิดสนามบิน โทษแค่ปรับ 2 หมื่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4410923
พิธา ยัน 8 จำเลยคดีแฟลชม็อบอุทธรณ์ หลังศาลตัดสินคุก 4 เดือน ปิยบุตร ยกเทียบคดีปิดสนามบิน โทษแค่ปรับ 2 หมื่น
จากกรณีศาลแขวงดุสิต อ่านคำพิพากษา คดีแฟลชม็อบปี 2562 สกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน สั่งจำคุก 8 จำเลย คนละ 4 เดือน ประกอบด้วย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล,น.ส.พรรณิการ์ วานิช, น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา, นายพริษฐ์ ชีวารักษ์ ,นายธนวัฒน์ วงค์ไชย และนาย ไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 20,200 บาท ในความผิด ตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ โดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวังฯ, พ.ร.บ. ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ เป็นต้น
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ในฐานะทนายความ กล่าวภายหลังศาลพิพากษาว่า จำเลยยังติดใจในประเด็นเรื่องระยะ 150 เมตรของเขตพระราชฐานว่าวัดจากจุดไหน ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวมีการเทียบเคียงกับคดีอื่นที่มีการชุมนุมสถานที่เดียวกัน จุดเดียวกัน ซึ่งศาลอาญากรุงเทพฯใต้เคยมีคำพิพากษายกฟ้องข้อหาชุมนุมใกล้เขตพระราชฐานในระยะ 150 เมตร ทั้งที่เป็นการชุมนุมจุดเดียวกัน
อีกทั้งในประเด็นเรื่องการไม่แจ้งการชุมนุมต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ศาลแขวงจังหวัดเชียงรายเคยมีคำวินิจฉัยว่าไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเพียงแต่ต้องแจ้งพนักงานสอบสวนให้ทราบเท่านั้น แต่หากมีการโพสต์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ก็ถือว่าเจ้าหน้าที่รับรู้แล้ว ซึ่งคดีนี้ตำรวจรับรู้ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2562 แล้วว่ามีการชุมนุม เนื่องจากจำเลยมีการโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะทนายคิดว่าจำเลยควรที่จะอุทธรณ์คดี เรื่องนี้ไม่ต้องการเอาชนะ เเต่ต้องการความจริง ตนเคารพคำพิพากษาศาลเเต่เคารพข้อเท็จจริงมากกว่า ส่วนอัยการจะอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานหนักกว่าเดิมหรือไม่ต้องถามทางอัยการ
ด้านนายพิธา กล่าวว่า จากการหารือกับจำเลยคนอื่นว่า จะต้องยื่นอุทธรณ์คดีเพราะมีประเด็นข้อเท็จจริงเรื่องของระยะของการชุมนุมใกล้เขตพระราชฐานว่าอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของ 150 เมตรว่าวัดจากจุดไหน เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานกับคดีอื่นๆ พร้อมระบุว่าการที่ศาลตัดสินในลักษณะนี้ ไม่ทำให้พรรคก้าวไกลเสียเครดิตทางการเมือง เนื่องจากประชาชนมีความเข้าใจในข้อเท็จจริง ตนอยากโฟกัสเรื่องงานเพราะสัปดาห์หน้าจะไปสภาอภิปรายเรื่องปัญหาการประมง
ด้านนายปิยบุตร กล่าวว่า คดีนี้มีหลายประเด็นในการยื่นอุทธรณ์ต่อ พร้อมเทียบเคียงกับคดีปิดสนามบิน มีผลกระทบกับคนจำนวนมาก และเป็นความผิดชัดเจนแต่ศาลพิจารณาสั่งปรับคนละ 20,000 บาท ส่วนคดีการชุมนุมคดีนี้ เป็นการชุมนุมใช้ระยะเวลาไม่นานหลังเลิกชุมนุมก็มีการช่วยกันเก็บขยะ ศาลใช้ระยะเวลาอ่านคำพิพากษานานกว่าการชุมนุมดังกล่าวด้วยซ้ำ สุดท้ายถูกจำคุกถึง 4 เดือนปรับ 20,200 บาท เป็นเหตุผลที่จะต้องอุทธรณ์คดีเพื่อให้ศาลสูงพิจารณา ส่วนเรื่องความไม่เหมาะสมของกฎหมายก็อยากจะฝากให้พรรคก้าวไกลไปพิจารณาแก้ไขในสภาต่อไป