เรื่อง : เรื่องของฉันในวันพระ
โดย : ละเว้
05:30 ฉันตื่นแต่เช้ามืด เตรียมตัวหุงหาอาหารสำหรับวันพระ ๑๕ ค่ำวันนี้
ชีวิตชายโสดวัยหกสิบกว่าอย่างฉันก็ต้องทำอะไรด้วยตัวเองเป็นธรรมดา ฉันคุ้นเคยกับการต้องอยู่ฅนเดียวมานานแล้ว ตั้งแต่ภรรยาจากไปและฉันได้รู้ว่าไม่มีใครที่จะสามารถให้ความรักต่อฉันได้เท่าเธอ ฉันก็อยู่ฅนเดียวมาตลอด
ลูกชายหญิงของฉันต่างใช้ชีวิตกับครอบครัวในเมืองกันหมด จึงมีเพียงฉันอยู่เฝ้าสวนยางเกือบยี่สิบไร่ที่บุกเบิกมากับเมียแต่ลำพัง ฅนงานกรีดยางฝีมือดีสมัยนี้หาได้ไม่ยาก แค่ฅนที่พอไว้ใจได้มันไม่ค่อยมี เมื่อไม่มีฅนงานกรีดยางแทนฅนเก่าก็เลยต้องลำบากหน่อย
07:05 ฉันสวมชุดขาว พาดบ่าด้วยผ้าขาว เดินเท้าเปล่าเข้าวัดพร้อมข้าวปลาอาหารที่เตรียมมา ด้วยความที่กำแพงวัดอยู่ไม่ห่างจากรั้วบ้านสักเท่าไรฉันจึงสะดวกในการเดินเข้าวัดมากกว่า และนอกจากทำบุญตักบาตรแล้ว ทุกวันพระฉันจะรักษาอุโบสถศีลเป็นประจำ วัยขนาดฉันนี่ที่พึ่งทางใจดูจะเป็นสิ่งสำคัญทีเดียว อีกอย่าง การได้เข้าวัดทำบุญรักษาศีลฟังเทศน์ฟังธรรมแบบนี้ ยังช่วยให้ฉันได้เจอะเจอฅนรุ่นเดียวกันที่ตามปกติเราจะไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไรนัก
“มาทุกวันเลยนะทิดชม ไอ้ฉันนี่ร่างกายมันแย่เต็มที วันไหนรู้สึกมีแรงถึงจะได้มา” ทิดชุ่มเอ่ยทักทายฉัน แกมักบ่นเรื่องสังขารให้ฟังอยู่เสมอ
“แข็งแรงอย่างทิดชมก็ดีหรอกนะ จะได้หาเอ๊าะ ๆ มาดูแลสักฅน” ทิดชุ่มกระเซ้า ฉันยิ้มให้แกก่อนขอตัวไปใส่บาตร
09:30 หลังจากฟังพระสวดมนต์ฟังเทศน์ฟังธรรมรับศีลรับพรกันแล้ว เราก็ทำวัตรสวดมนต์ของเรากันต่อ จากนั้นจึงแยกย้ายพักผ่อน ซึ่งก็เป็นปกติของเรานั่นแหละ
“ไม่หาเอ๊าะ ๆ อีกสักฅนล่ะ อยู่ฅนเดียวเหงาตายเลย ลูกหลานนาน ๆ จะมาเยี่ยมทีแบบนี้” ทิดชุ่มยังไม่วายหันมากระแซะ ฉันปิดบทสวดที่กำลังดูอยู่หันมาคุยกับแก
“อย่าเลย พวกเด็กสาว ๆ นั้นเขาไม่มาจริงจังกับฅนแก่อย่างเราหรอก”
ทิดชุ่มหัวเราะชอบใจกับคำตอบของฉัน
“เข็ดเลยรึไง” แกยังถามต่อ ฉันได้แต่ยิ้มให้ ก่อนเปิดหนังสือทวนบทสวดที่ยังท่องได้ไม่คล่อง
.
17:00 เป็นเวลาปกติที่ฉันต้องเตรียมตัวกลับบ้าน
“จะกลับแล้วรึ ไม่นอนวัดกับพวกเราดูบ้างล่ะ บ้านก็ไม่มีใครนี่นา” ทิดชุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นฉันลาศีล
“บ้านไม่มีใครสิถึงได้เป็นห่วง” ฉันตอบทิดชุ่ม เสียงยายจันบ่นเรื่องรองเท้าหายดังแว่วมาพอให้ได้ยิน
“แอบซ่อนเอ๊าะ ๆ ไว้หรือเปล่า” ทิดชุ่มยังไม่วายแหย่
“ไม่มีหรอก ฉันเลิกแล้วจริง ๆ ขอตัวกลับก่อนนะ”
ฉันเดินออกมาโดยหูยังแว่วเสียงหัวเราะไล่หลัง
.
17:20 ฉันหิ้วปิ่นโตเข้ามาในป่ายาง ต้องเรียกว่าป่ายาง เพราะสวนของฉันมันมีสภาพแบบนั้น สวนยางโบราณ เฉาะร่องเฉพาะโคนพอให้มุดกรีดได้ มันจึงดูรกร้างไม่ต่างจากป่า แถมยังมีไม้ใหญ่อย่างขนุน มะไฟ สีระมัน ขึ้นแซมเป็นบางแห่ง ทั้งสวนจึงดูมืดครึ้มแม้เพิ่งจะห้าโมงกว่า
นกกะปูดร้องดังมาจากไหนสักแห่ง เหล่าแมลงส่งเสียงเซ็งแซ่ไม่ผิดจากป่าเลยจริง ๆ
17:25 ตรงเนินดินระหว่างช่องว่างของต้นยางที่ตายไปนั้น ฉันนั่งลง นำอาหารจากปิ่นโตมาวางไว้เหมือนทุกวันในวันพระแบบนี้
“เชิญกินเชิญอยู่นะ” ฉันพึมพำหลังจุดธูปปักลงไป
“อิทํเม ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย” ฉันท่องบทกรวดพลางเทน้ำในถุงที่เตรียมมาลงดิน อุทิศส่วนกุศลให้ร่างที่นอนอยู่ข้างใต้นั้น ก่อนเก็บข้าวของเพื่อกลับออกมา
“อีแหม่ม ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ทอดทิ้งเอ็งหรอกนะ” ฉันยังคงพึมพำฅนเดียว นึกถึงเสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านเรื่องเมียสาวหนีตามฅนงานกรีดยาง
และไม่ว่าอย่างไรฉันคงไม่ลืมหันไปถ่มน้ำลายใส่เนินดินอีกกองที่เดินผ่าน
“ถุ... ตายอดตายอยากอยู่นี่แหละเมิง”
เรื่องของฉันในวันพระ
โดย : ละเว้
05:30 ฉันตื่นแต่เช้ามืด เตรียมตัวหุงหาอาหารสำหรับวันพระ ๑๕ ค่ำวันนี้
ชีวิตชายโสดวัยหกสิบกว่าอย่างฉันก็ต้องทำอะไรด้วยตัวเองเป็นธรรมดา ฉันคุ้นเคยกับการต้องอยู่ฅนเดียวมานานแล้ว ตั้งแต่ภรรยาจากไปและฉันได้รู้ว่าไม่มีใครที่จะสามารถให้ความรักต่อฉันได้เท่าเธอ ฉันก็อยู่ฅนเดียวมาตลอด
ลูกชายหญิงของฉันต่างใช้ชีวิตกับครอบครัวในเมืองกันหมด จึงมีเพียงฉันอยู่เฝ้าสวนยางเกือบยี่สิบไร่ที่บุกเบิกมากับเมียแต่ลำพัง ฅนงานกรีดยางฝีมือดีสมัยนี้หาได้ไม่ยาก แค่ฅนที่พอไว้ใจได้มันไม่ค่อยมี เมื่อไม่มีฅนงานกรีดยางแทนฅนเก่าก็เลยต้องลำบากหน่อย
07:05 ฉันสวมชุดขาว พาดบ่าด้วยผ้าขาว เดินเท้าเปล่าเข้าวัดพร้อมข้าวปลาอาหารที่เตรียมมา ด้วยความที่กำแพงวัดอยู่ไม่ห่างจากรั้วบ้านสักเท่าไรฉันจึงสะดวกในการเดินเข้าวัดมากกว่า และนอกจากทำบุญตักบาตรแล้ว ทุกวันพระฉันจะรักษาอุโบสถศีลเป็นประจำ วัยขนาดฉันนี่ที่พึ่งทางใจดูจะเป็นสิ่งสำคัญทีเดียว อีกอย่าง การได้เข้าวัดทำบุญรักษาศีลฟังเทศน์ฟังธรรมแบบนี้ ยังช่วยให้ฉันได้เจอะเจอฅนรุ่นเดียวกันที่ตามปกติเราจะไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไรนัก
“มาทุกวันเลยนะทิดชม ไอ้ฉันนี่ร่างกายมันแย่เต็มที วันไหนรู้สึกมีแรงถึงจะได้มา” ทิดชุ่มเอ่ยทักทายฉัน แกมักบ่นเรื่องสังขารให้ฟังอยู่เสมอ
“แข็งแรงอย่างทิดชมก็ดีหรอกนะ จะได้หาเอ๊าะ ๆ มาดูแลสักฅน” ทิดชุ่มกระเซ้า ฉันยิ้มให้แกก่อนขอตัวไปใส่บาตร
09:30 หลังจากฟังพระสวดมนต์ฟังเทศน์ฟังธรรมรับศีลรับพรกันแล้ว เราก็ทำวัตรสวดมนต์ของเรากันต่อ จากนั้นจึงแยกย้ายพักผ่อน ซึ่งก็เป็นปกติของเรานั่นแหละ
“ไม่หาเอ๊าะ ๆ อีกสักฅนล่ะ อยู่ฅนเดียวเหงาตายเลย ลูกหลานนาน ๆ จะมาเยี่ยมทีแบบนี้” ทิดชุ่มยังไม่วายหันมากระแซะ ฉันปิดบทสวดที่กำลังดูอยู่หันมาคุยกับแก
“อย่าเลย พวกเด็กสาว ๆ นั้นเขาไม่มาจริงจังกับฅนแก่อย่างเราหรอก”
ทิดชุ่มหัวเราะชอบใจกับคำตอบของฉัน
“เข็ดเลยรึไง” แกยังถามต่อ ฉันได้แต่ยิ้มให้ ก่อนเปิดหนังสือทวนบทสวดที่ยังท่องได้ไม่คล่อง
.
17:00 เป็นเวลาปกติที่ฉันต้องเตรียมตัวกลับบ้าน
“จะกลับแล้วรึ ไม่นอนวัดกับพวกเราดูบ้างล่ะ บ้านก็ไม่มีใครนี่นา” ทิดชุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นฉันลาศีล
“บ้านไม่มีใครสิถึงได้เป็นห่วง” ฉันตอบทิดชุ่ม เสียงยายจันบ่นเรื่องรองเท้าหายดังแว่วมาพอให้ได้ยิน
“แอบซ่อนเอ๊าะ ๆ ไว้หรือเปล่า” ทิดชุ่มยังไม่วายแหย่
“ไม่มีหรอก ฉันเลิกแล้วจริง ๆ ขอตัวกลับก่อนนะ”
ฉันเดินออกมาโดยหูยังแว่วเสียงหัวเราะไล่หลัง
.
17:20 ฉันหิ้วปิ่นโตเข้ามาในป่ายาง ต้องเรียกว่าป่ายาง เพราะสวนของฉันมันมีสภาพแบบนั้น สวนยางโบราณ เฉาะร่องเฉพาะโคนพอให้มุดกรีดได้ มันจึงดูรกร้างไม่ต่างจากป่า แถมยังมีไม้ใหญ่อย่างขนุน มะไฟ สีระมัน ขึ้นแซมเป็นบางแห่ง ทั้งสวนจึงดูมืดครึ้มแม้เพิ่งจะห้าโมงกว่า
นกกะปูดร้องดังมาจากไหนสักแห่ง เหล่าแมลงส่งเสียงเซ็งแซ่ไม่ผิดจากป่าเลยจริง ๆ
17:25 ตรงเนินดินระหว่างช่องว่างของต้นยางที่ตายไปนั้น ฉันนั่งลง นำอาหารจากปิ่นโตมาวางไว้เหมือนทุกวันในวันพระแบบนี้
“เชิญกินเชิญอยู่นะ” ฉันพึมพำหลังจุดธูปปักลงไป
“อิทํเม ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย” ฉันท่องบทกรวดพลางเทน้ำในถุงที่เตรียมมาลงดิน อุทิศส่วนกุศลให้ร่างที่นอนอยู่ข้างใต้นั้น ก่อนเก็บข้าวของเพื่อกลับออกมา
“อีแหม่ม ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ทอดทิ้งเอ็งหรอกนะ” ฉันยังคงพึมพำฅนเดียว นึกถึงเสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านเรื่องเมียสาวหนีตามฅนงานกรีดยาง
และไม่ว่าอย่างไรฉันคงไม่ลืมหันไปถ่มน้ำลายใส่เนินดินอีกกองที่เดินผ่าน
“ถุ... ตายอดตายอยากอยู่นี่แหละเมิง”