เรื่อง : นักเลง (អ្នកលេង)
โดย : ละเว้
'ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา' คำโบราณกล่าวนั้นดูจะใช้ได้กับผมในยามนี้ รู้ดีว่ามันสายไปกับการจะมานึกถึงคำเตือนคำสอนต่าง ๆ ที่ไม่เคยสำนึก ได้แต่เกาะลูกกรงเหล็กขอโทษทางสายตาถึงเขา ผู้ยังคงยืนนิ่งไร้ความรู้สึกตรงหน้า
‘คำว่านักเลงนั้นมันมาจากภาษาเขมร แปลว่านักเล่น หรือฅนเล่น ฅนเล่นไก่ก็นักเลงไก่ ฅนชอบเล่นสาวก็นักเลงผู้หญิง แล้วเอ็งคิดว่าไอ้คำว่าฅนเล่นนี่ มันโก้ไหมล่ะ’
คงได้แต่นึกถึงคำพูดที่เขาเคยบอกเคยสอน คำพูดแปลก ๆ บางครั้งก็น่าขำ
เขาคือพี่ชายฅนเดียวของผม ครอบครัวของเรามีกันเพียงสามฅน พ่อผมแก่มากแล้ว เขาจึงพยายามทำตัวเป็นผู้ปกครอง หากแต่เราสองฅนมีนิสัยต่างกันสุดขั้ว ผมชอบอะไรที่มันท้าทาย โลดโผน เขากลับชอบความเรียบง่าย สมถะ ผมมีเพื่อนมากมาย แต่เขาไม่ชอบคบใคร
‘และถ้าจะเอานักเลงในความหมายไทย ๆ นี่ พวกเอ็งมันก็ไม่ใช่ เป็นนักเลงต้องมีเรื่องชกต่อย ต้องยกพวกตีกัน ต้องมีลูกน้อง ต้องมีลูกพี่ มันใช่เหรอวะ
ยังมีอีกมากมายที่เขาคอยพร่ำบอก เพื่อให้ผมหยุดนิสัยซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นแค่อันธพาล ไม่ใช่นักเลงในความหมายที่เขาว่า แล้วนักเลงของเขามันคืออะไร สุภาพบุรุษแบบเมื่อห้าสิบปีที่แล้วอย่างนั้นเหรอ น่าขำชะมัด สมัยนี้มันหาไม่ได้แล้ว จำได้ว่าพูดใส่เขาไปแบบนั้น
ผมว่าเขาต่อต้านนักเลง ต่อต้านฅนที่ทำตัวเป็นลูกผู้ชายมากกว่า นั่นเพราะมันห่างจากตัวเขามาก เรียกว่าตรงกันข้ามเลยทีเดียวก็ว่าได้
‘เฮ้ย พี่เมิงเป็นตุ๊ดเหรอวะ’
เป็นคำพูดของเพื่อน ๆ ที่ผมยอมรับว่าอาย ยิ่งอายผมยิ่งเกลียดเขา จึงมักขึ้นเสียงใส่เมื่อเขาพยายามจะสอน เราทะเลาะกันบ่อยครั้ง ในที่สุดก็ต่างฅนต่างอยู่ ทางใครทางมัน เขาอยู่ในโลกของเขา ผมอยู่ในโลกของผม โลกที่มีเพื่อนฝูงเฮฮา และโลกของเขาคงมีแต่พ่อเท่านั้น
.
‘พี่เมิงเดินเข้าหาพี่ดำ ท่าทางขึงขังน่าขำชะมัด เขาถามว่าใครชื่อดำ พี่ดำหัวเราะยียวนตามแบบของเขา บอกว่ากูเอง ไม่ทันพูดจบด้วยซ้ำเสียงปืนก็ดังขึ้น กูมองไม่ทันเลยว่ะ เห็นแต่หน้าผากพี่ดำเป็นรูโบ๋ใบหน้ายังยิ้มร่า เออ พี่ดำตายห่าทั้งที่ยังยิ้มอยู่แบบนั้นแหละ”
ไอ้นพเล่าเรื่องของพี่ชายให้ฟังขณะผมยังคงต้องนอนเตียง มันทำเอาสะอึกชาไปทั้งร่างเมื่อได้รับรู้
.
พี่ดำเป็นลูกพี่ของพวกเรา เป็นพี่ใหญ่สุดในกลุ่มแก๊ง ไม่มีใครกล้าหือกับพี่เขา ยิ่งผมด้วยยิ่งแล้ว ไม่มีทางกล้าแน่นอน
หากคิดจะเดินสายนักเลงเราต้องมีลูกพี่คุ้มกะลาหัว และพี่ดำมักเป็นฅนแรกที่วัยรุ่นแถวนี้นึกถึง
ผมก็เช่นกัน แต่ผมมันมีข้อเสียเรื่องผู้หญิง ผมรู้ว่าเธอเป็นของพี่ดำ ผมไม่เคยคิดยุ่งด้วยเลย แต่กลับไม่เข้มแข็งพอเมื่อเธอเป็นฝ่ายเข้าหา นั่นแหละ จึงกลายเป็นการปีนเกลียวระหว่างเราสองฅน
เพื่อน ๆ เริ่มตีตัวออกห่างเมื่อรู้ว่าผมมีเรื่องกับลูกพี่ ไม่มีใครกล้ามาคบกับผม ผมพยายามหลบ ไม่กล้าไปเรียน และได้แต่หลบ หากไม่พ้น วันนั้นผมโดนรุมโดยเพื่อนสนิทได้แต่ยืนมอง ผมถูกซ้อมจนสลบ อาการสาหัสต้องนอนโรงพยาบาลนานหลายวัน ยังต้องลุ้นว่าจะพิการไหม แล้วไอ้นพก็เอาข่าวนั้นมาบอก
.
‘ฅนที่อวดตัวว่าดี มันไม่ใช่ฅนดี ฅนที่อวดตัวว่าเป็นนักเลง มันก็ไม่ใช่นักเลง’
ผมเพิ่งเข้าใจคำพูดของเขาได้ดีวันนี้เอง วันที่ผมทำได้แค่มองเขาผ่านลูกกรงเหล็ก ปล่อยน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างไม่อาย
“อย่างพี่นี่สินะ นักเลงที่แท้จริง” ผมถามเสียงสั่น เขาเหลือบตามองแบบสมเพชเหมือนทุกครั้ง ส่ายหน้านิด ๆ ก่อนเอ่ยน้ำเสียงเรียบ ๆ อออกมา
“ไม่ใช่... อย่าลืมสิ ตอนนี้พี่เป็นฆาตกร”
นักเลง (អ្នកលេង)
โดย : ละเว้
'ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา' คำโบราณกล่าวนั้นดูจะใช้ได้กับผมในยามนี้ รู้ดีว่ามันสายไปกับการจะมานึกถึงคำเตือนคำสอนต่าง ๆ ที่ไม่เคยสำนึก ได้แต่เกาะลูกกรงเหล็กขอโทษทางสายตาถึงเขา ผู้ยังคงยืนนิ่งไร้ความรู้สึกตรงหน้า
‘คำว่านักเลงนั้นมันมาจากภาษาเขมร แปลว่านักเล่น หรือฅนเล่น ฅนเล่นไก่ก็นักเลงไก่ ฅนชอบเล่นสาวก็นักเลงผู้หญิง แล้วเอ็งคิดว่าไอ้คำว่าฅนเล่นนี่ มันโก้ไหมล่ะ’
คงได้แต่นึกถึงคำพูดที่เขาเคยบอกเคยสอน คำพูดแปลก ๆ บางครั้งก็น่าขำ
เขาคือพี่ชายฅนเดียวของผม ครอบครัวของเรามีกันเพียงสามฅน พ่อผมแก่มากแล้ว เขาจึงพยายามทำตัวเป็นผู้ปกครอง หากแต่เราสองฅนมีนิสัยต่างกันสุดขั้ว ผมชอบอะไรที่มันท้าทาย โลดโผน เขากลับชอบความเรียบง่าย สมถะ ผมมีเพื่อนมากมาย แต่เขาไม่ชอบคบใคร
‘และถ้าจะเอานักเลงในความหมายไทย ๆ นี่ พวกเอ็งมันก็ไม่ใช่ เป็นนักเลงต้องมีเรื่องชกต่อย ต้องยกพวกตีกัน ต้องมีลูกน้อง ต้องมีลูกพี่ มันใช่เหรอวะ
ยังมีอีกมากมายที่เขาคอยพร่ำบอก เพื่อให้ผมหยุดนิสัยซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นแค่อันธพาล ไม่ใช่นักเลงในความหมายที่เขาว่า แล้วนักเลงของเขามันคืออะไร สุภาพบุรุษแบบเมื่อห้าสิบปีที่แล้วอย่างนั้นเหรอ น่าขำชะมัด สมัยนี้มันหาไม่ได้แล้ว จำได้ว่าพูดใส่เขาไปแบบนั้น
ผมว่าเขาต่อต้านนักเลง ต่อต้านฅนที่ทำตัวเป็นลูกผู้ชายมากกว่า นั่นเพราะมันห่างจากตัวเขามาก เรียกว่าตรงกันข้ามเลยทีเดียวก็ว่าได้
‘เฮ้ย พี่เมิงเป็นตุ๊ดเหรอวะ’
เป็นคำพูดของเพื่อน ๆ ที่ผมยอมรับว่าอาย ยิ่งอายผมยิ่งเกลียดเขา จึงมักขึ้นเสียงใส่เมื่อเขาพยายามจะสอน เราทะเลาะกันบ่อยครั้ง ในที่สุดก็ต่างฅนต่างอยู่ ทางใครทางมัน เขาอยู่ในโลกของเขา ผมอยู่ในโลกของผม โลกที่มีเพื่อนฝูงเฮฮา และโลกของเขาคงมีแต่พ่อเท่านั้น
.
‘พี่เมิงเดินเข้าหาพี่ดำ ท่าทางขึงขังน่าขำชะมัด เขาถามว่าใครชื่อดำ พี่ดำหัวเราะยียวนตามแบบของเขา บอกว่ากูเอง ไม่ทันพูดจบด้วยซ้ำเสียงปืนก็ดังขึ้น กูมองไม่ทันเลยว่ะ เห็นแต่หน้าผากพี่ดำเป็นรูโบ๋ใบหน้ายังยิ้มร่า เออ พี่ดำตายห่าทั้งที่ยังยิ้มอยู่แบบนั้นแหละ”
ไอ้นพเล่าเรื่องของพี่ชายให้ฟังขณะผมยังคงต้องนอนเตียง มันทำเอาสะอึกชาไปทั้งร่างเมื่อได้รับรู้
.
พี่ดำเป็นลูกพี่ของพวกเรา เป็นพี่ใหญ่สุดในกลุ่มแก๊ง ไม่มีใครกล้าหือกับพี่เขา ยิ่งผมด้วยยิ่งแล้ว ไม่มีทางกล้าแน่นอน
หากคิดจะเดินสายนักเลงเราต้องมีลูกพี่คุ้มกะลาหัว และพี่ดำมักเป็นฅนแรกที่วัยรุ่นแถวนี้นึกถึง
ผมก็เช่นกัน แต่ผมมันมีข้อเสียเรื่องผู้หญิง ผมรู้ว่าเธอเป็นของพี่ดำ ผมไม่เคยคิดยุ่งด้วยเลย แต่กลับไม่เข้มแข็งพอเมื่อเธอเป็นฝ่ายเข้าหา นั่นแหละ จึงกลายเป็นการปีนเกลียวระหว่างเราสองฅน
เพื่อน ๆ เริ่มตีตัวออกห่างเมื่อรู้ว่าผมมีเรื่องกับลูกพี่ ไม่มีใครกล้ามาคบกับผม ผมพยายามหลบ ไม่กล้าไปเรียน และได้แต่หลบ หากไม่พ้น วันนั้นผมโดนรุมโดยเพื่อนสนิทได้แต่ยืนมอง ผมถูกซ้อมจนสลบ อาการสาหัสต้องนอนโรงพยาบาลนานหลายวัน ยังต้องลุ้นว่าจะพิการไหม แล้วไอ้นพก็เอาข่าวนั้นมาบอก
.
‘ฅนที่อวดตัวว่าดี มันไม่ใช่ฅนดี ฅนที่อวดตัวว่าเป็นนักเลง มันก็ไม่ใช่นักเลง’
ผมเพิ่งเข้าใจคำพูดของเขาได้ดีวันนี้เอง วันที่ผมทำได้แค่มองเขาผ่านลูกกรงเหล็ก ปล่อยน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างไม่อาย
“อย่างพี่นี่สินะ นักเลงที่แท้จริง” ผมถามเสียงสั่น เขาเหลือบตามองแบบสมเพชเหมือนทุกครั้ง ส่ายหน้านิด ๆ ก่อนเอ่ยน้ำเสียงเรียบ ๆ อออกมา
“ไม่ใช่... อย่าลืมสิ ตอนนี้พี่เป็นฆาตกร”