แฟนฉัน (សង្សារខ្ញុំ)

กระทู้สนทนา
เรื่อง : แฟนฉัน (សង្សារខ្ញុំ)
โดย : ละเว้

ดูไม่ใช่ท่าทีสบายสักเท่าไรนัก กับการต้องหมอบคุกเข่าพนมมือศอกแนบพื้นตลอดเวลาอย่างนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรผมคงยินดีจะทำอย่างนั้น แม้การไร้ซึ่งความมั่นใจจะยังผลให้ความตื่นเต้นประหม่าแผ่ซ่านทั่วร่างจนรู้สึกได้ก็ตาม ยิ่งเมื่อมองดูสองมือที่พนมชิดใบหน้ายามนี้ ยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นผสานรวมหลายความรู้สึก ได้แต่แอบทอดถอนใจให้กับฝ่ามือและแขนขวาลีบเล็กของตัวเอง

.
“ทำไร” กว่าจะรู้ตัวว่าโง่มาก ผมก็หลุดคำถามนั้นออกไปแล้ว ช่างดูเฉิ่มเชยสิ้นดี กับการถามแม่ค้าที่นั่งขายของอยู่ว่าทำอะไร

“เปล่า” ด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ต่างจากรอยยิ้มก่อนตอบของเธอ มันทำให้ผมยิ่งเก้อเขิน ดวงจันทร์ของผม เธอยังคงเหมือนสายน้ำลึกท่ามกลางความมืดมน ผมไม่สามารถรับรู้ถึงก้นบึ้งนั้นได้เลย จึงทำได้เพียงยิ้มเก้อออกมาเท่านั้น 

จนป่านนี้แล้วผมยังอดที่จะประหม่ากับการเริ่มต้นพูดคุยกับเธอเสียไม่ได้ ทั้งที่จะเรียกว่าผมรู้จักเธอมานานแล้วก็น่าจะใช่ ถึงจะเป็นการรู้จักผ่านการแอบมองยามเธอปั่นจักรยานไปตลาดเพื่อหาซื้อของมาขาย หรือจากการได้พบปะกันบ้างเล็กน้อยก็ตาม

ผมเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกสงครามสร้างให้เป็นชายพิการ โชคดีมีฅนใจบุญรับเป็นลูกบุญธรรมให้ที่อยู่เลี้ยงดู

เธอชื่อจันธู หญิงฅนที่ผมได้แต่แอบมองจากเปลญวนผ่านใต้ถุนบ้าน

หลังยิ้มแห้งอยู่สักพักผมจึงหย่อนตัวลงบนม้านั่งหน้าร้าน แน่นอนว่าท่าทางนั้นมันดูเก้งก้างเงอะงะจนแม้แต่ตัวเองยังรับรู้ มันช่วยไม่ได้จริง ๆ กับอาการยากลำบากในการวางตัวเมื่ออยู่ใกล้เธอ ด้วยความรู้สึกว่าเรานั้นช่างต่างกัน เธอคือแม่ค้าสาวสวย ร้านค้าเล็ก ๆ ของเธอไม่ขาดชายหนุ่มมานั่งจับจองพูดคุย ทั้งลูกกำนัน ตำรวจ หรือทหารก็มี ผมซึ่งเป็นเพียงชายพิการฅนหนึ่งจึงแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินขึ้นในวันนั้นเลยจริง ๆ

.
ตอนเพลวันนั้นกับการนั่งรับประทานอาหารมื้อแรกในระหว่างวันของเรา

“เอ็งนี่อายุเยอะแล้วนะ อยากมีเมียไหมแม่จะไปขอให้” จู่ ๆ แม่บุญธรรมก็ทำให้ผมตกใจกับคำถามที่เอ่ยขึ้นอย่างฉับพลันนั้น

“ขายข้าวโพดได้ก็มีเงินขอเมียแล้ว น่าจะเหลือเป็นแสนแหละนะ” แม่บุญธรรมพูดถึงข้าวโพดที่ให้ผมปลูกในที่ดินของแก แต่เงินแค่แสนสองแสนเรียล มันไม่น้อยเกินไปสำหรับการจะขอใครสักฅนมาแต่งงานด้วยหรือ โดยเฉพาะฅนพิการอย่างผมนี่
(แสนเรียลประมาณพันบาท)

“ใครจะเอา” ผมตอบออกไปตามความรู้สึกที่มี

“เอาเถอะน่าเดี๋ยวแม่จัดการให้” แม่บุญธรรมพูดและกินข้าวไปโดยไม่หันมองด้วยซ้ำ “ฅนดีและขยันแบบเอ็งใครก็เอาทั้งนั้นแหละ”

“แม่เขาจะไปขอจันธูให้พี่” น้องสาวของผมซึ่งเป็นลูกสาวของแม่บุญธรรมพูดโพล่งขึ้นมา แทบสำลักข้าว ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ได้แต่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่นอน ขณะฅนอื่น ๆ ต่างพากันยิ้มจนไม่กล้ามอง

.
“พี่ไม่ต้องห่วงหรอก แม่แกรู้ดี” น้องสาวตอบเมื่อผมถามเกี่ยวกับเรื่องที่แม่พูดในวงข้าววันนั้น ยังคิดว่าแกคงพูดแค่ให้ผมสบายใจเสียมากกว่า แม้ผมจะเคยพบจันธูนอกจากแอบมองผ่านใต้ถุนบ้านบ้าง แต่เท่าที่จำได้คือเราแทบไม่ได้คุยกันเลย ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเธอจะคิดอย่างไรกับผม

.
หลังจากการนั่งหมอบคุกเข่าพนมมือผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดผู้ใหญ่ของผมกับแม่ของเธอก็ตกลงกันได้ มีการกำหนดค่าสินสอดนัดวันแต่งงานระหว่างเราสองฅนเสร็จสรรพ โดยที่ผมไม่ได้เห็นหน้าหรือแม้แต่ได้ยินเสียงของเธอเลยด้วยซ้ำ

.
จันธูยังคงก้มหน้าขณะที่ผมยังวางตัวไม่ถูก มันน่าขัน แม้เราจะกลายเป็นคู่หมั้นกันแล้วก็ตาม แต่นั่นกลับทำให้ผมยิ่งประหม่าได้ทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้

“จันธู” ผมรวบรวมความกล้าเรียกชื่อออกไป เธอเงยหน้ามอง รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ริมฝีปากยังคงเป็นสิ่งที่ผมไม่อาจแปลความรู้สึกได้

“คืนนี้ไปดูคาราโอเกะกันไหม”

คาราโอเกะที่ผมพูดถึงก็คือบ้านฅนรวยที่มีเครื่องปั่นไฟ มีทีวี และมีเครื่องเล่นวิดีโอ พวกนั้นจะเปิดวิดีโอคาราโอเกะเพื่อเก็บเงินจากฅนที่ไปร้องเพลง นอกจากลานรำวงแล้วก็มีคาราโอเกะนี่แหละที่เป็นสถานบันเทิงของเราในยุคหลังสงครามแบบนี้

หากเธอกลับส่ายหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบ

.
เวลาค่อยเคลื่อนผ่านไปตามเส้นทางของมันอย่างเงียบงัน

“จันธู” ผมเรียกชื่อเธออีกครั้งกับน้ำเสียงที่พยายามควบคุมความรู้สึก ตัดสินใจพูดในสิ่งที่อยากพูดออกไป

“เธอคิดอย่างไรกับเรื่องของเรา หากเธอไม่เต็มใจ...” 

คงได้แต่ค้างอยู่แค่นั้น ไม่กล้าแม้มองหน้าขณะถาม เธอเงียบ เงียบจนผมรู้สึกอึดอัด เนิ่นนาน...

จันธูจ้องมองอยู่แล้วเมื่อผมหันไป
.
“ทำไมคิดแบบนั้น” เธอถาม

ผมไม่รู้จะตอบคำถามของเธอได้อย่างไร คงได้แต่จ้องหน้าแล้วยิ้ม

ยิ้มกว้างให้กับแววตาระคนขันที่มองจ้องมา.

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่