JJNY : พิธา เปิดใจวันแรก│ทนายรัชพล จี้คดีหุ้น ITV│ขึ้นรัวๆ จนตั้งตัวไม่ทัน!│ยุโรปมีผู้ป่วย “โรคหัด” เพิ่มกว่า 30 เท่า

พิธา เปิดใจวันแรก ทั้งดีใจ-เสียดายโอกาส 6 เดือน ลั่นรอบหน้า ถ้าออกสภาฯ จะไปทำเนียบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4393078

 
“พิธา” ดีใจ เข้าวันแรก หลัง ศาลรธน. คืนตำแหน่งสส. จ่อ อภิปรายปัญหาขยะพรุ่งนี้ ชี้ ไม่ยึดติดตำแหน่ง หน.พรรค-ผู้นำฝ่ายค้าน มั่นใจ รอดคดีล้มล้างการปกครอง ลั่น ถ้าออกจากสภาอีก จะไปทำเนียบ
 
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 25 มกราคม 2567 ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึกเมื่อกลับเข้าสภาครั้งแรก ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีจบคดีถือหุ้นไอทีวีว่า ไออุ่นที่คุ้นเคย รวมเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เป็น 6 เดือน ที่ไม่ได้มีโอกาสแถลงข่าวต่อสื่อ และประชาชนที่สภาฯ ยังรู้สึกว่า สภาเป็นพื้นที่รวมตัวของประชาชน คิดถึงบรรยากาศอย่างนี้
 
ส่วนตั้งใจใส่เนคไทมาเป็นกิมมิคใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ใช่กิมมิค เมื่อเช้ารีบไปรายการ จึงเอาเนคไทเส้นที่มองซ้ายมองขวา และจำได้ ว่าตอนที่เราชูกำปั้นเราใส่เนคไทเส้นนี้ เลยนึกสนุกขึ้นมา คงไม่ใช่กิมมิคอะไรพิเศษ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ออกไปด้วยแบบไหนก็กลับมาแบบนั้น คิดว่า เป็นดีทัวร์ เป็นการอ้อม แต่เป้าหมายในการเดินทางของเรายังต้องทำต่อ ถึงแม้ว่าจะหายไป 6 เดือนก็ตาม
 
เมื่อถามว่า เสียดายเวลา 6 เดือนที่หายไปหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า เสียดายที่ไม่มีโอกาสในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ซึ่งคงไม่มีใครบอกได้ ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หรือถ้ามีครั้งที่ 2 แล้วดีขึ้น จะกลายเป็นครั้งที่ 3 หรือไม่ แต่เราบริหารจัดการเวลาได้ ใช้เวลา 6 เดือนในการพบปะพี่น้องประชาชน ทำงานกับเพื่อน ส.ส.ที่อยู่ข้างหลังในการลงพื้นที่ตอนถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

โดยจะใช้ข้อมูลที่ได้จากการประชุมกับผู้นำท้องถิ่น มาอภิปรายในวันที่ 26 มกราคมนี้ที่จะถึงนี้ เรื่องปัญหาขยะล้นเมือง และการจัดการขยะ ใน จ.สมุทรปราการ และ จ.ภูเก็ต ในญัติติของพรรคภูมิใจไทย เพราะฉะนั้น ไม่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
 
เมื่อถามว่า ภารกิจแรกในการกลับมาเป็น ส.ส.คืออะไร นายพิธา กล่าวว่า คุยกับเพื่อน ส.ส. ทักทายกันให้หายคิดถึง อาจจะแวะไปพูดคุยกับนักศึกษาที่มาสภาฯในวันนี้ รอจังหวะที่ไม่รบกวน ส.ส.ที่อภิปรายอยู่เดินเข้าห้องใหญ่ และเตรียมตัวอภิปราย แถลงแผนงานของพรรคก้าวไกลในวันที่ 25 มกราคมนี้ว่า เป้าหมายและการทำงานในเชิงปฏิบัติของพรรคเราในปีนี้คืออะไร ประชาชน และสมาชิกจะได้มีส่วนร่วมในการทำงาน
 
เมื่อถามถึงข้อครหาต่างๆ ที่ผ่านมาของพรรคก้าวไกล จะมีการเดินหน้าต่ออย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจ และขอโทษประชาชน ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นหัวหน้าพรรค ตนก็ไม่อยากเป็นสถาบันที่มีหัวหน้า 2 คน ก็ต้องรู้ที่ของตัวเองว่า เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก็ต้องให้คำปรึกษากับนายชัยธวัช ซึ่งได้มีการพูดคุยกันตลอด ทั้งในมุมที่จะป้องกันสถานการณ์แบบนี้ไม่ให้เกิดขึ้น หรือรักษาเมื่อเหตุเกิดแล้ว ก็แสดงท่าทีให้ไว เช่น ให้ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรต ออกมาชี้แจงในส่วนของความเข้าใจผิดต่างๆ
 
จะเรียนรู้จากความผิดพลาด และปรับปรุง โดยที่ไม่แก้ตัว ยอมรับว่า เรายังต้องพัฒนากันอีกเยอะ ประชาชนคงสัมผัสได้ถึงความเป็น พัฒนาการความเป็นสถาบันการเมืองของเรา“ นายพิธา กล่าว
 
ส่วนจะดำเนินคดีกับ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเป็นผู้ร้องคดีข้างต้นหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มี เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วในอดีต ตอนนี้จะใส่ใจกับปัจจุบัน ใช้สมาธิ ทรัพยากรเวลา กับการทำงานในปัจจุบัน และอนาคตที่จะถึง ตามแผนการดำเนินงานที่จะแถลงในวันพรุ่งนี้
เมื่อถามว่า จะมีการกลับไปเป็นหัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า คำตอบนี้ต้องแยกเป็นสองส่วน หัวหน้าพรรคก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ คือการประชุมวิสามัญของพรรคช่วงเดือนเมษายน ในส่วนที่สอง ตนไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ทำหน้าที่ได้ดี ตนไม่มีความจำเป็นที่จะเป็นหัวหน้าพรรคก็แล้วแต่สมาชิกพรรค ตนและนายชัยธวัช ไม่มีใครยึดติดในตำแหน่ง
เมื่อถามว่า จะมีการเลื่อนประชุมวิสามัญของพรรคหรือไม่นั้น ไม่มีเหตุจำเป็นอะไร เดือนเมษายนเหมาะสมที่กรรมการบริหารพรรคก้าวไกลทำงานครบ 4 ปีตามวาระ ก็จะต้องมีการเปลี่ยน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีของตน
 
เมื่อถามว่า มีข้อควรระวังอะไรให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ตนยึดประชาชนเป็นที่ตั้งและไม่ได้ค้านทุกเรื่อง ค้านเฉพาะสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือค้านเพื่อจะแนะนำ และยังเชื่อว่ามีวาระเพื่อประชาชนอีกมากมายโดยไม่ต้องคำนึงว่ามาจากพรรคไหน เช่น สมรสเท่าเทียม พรบ.อากาศสะอาด เราเชื่อว่ายังทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ได้
 
เมื่อถามถึงโครงการแลนด์บริดจ์ว่า จะจับตามองเป็นพิเศษหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า จะจับตาเป็นพิเศษ เพราะในช่วงที่ตนถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งตนได้สังเกตว่าโครงการเรือธงของรัฐบาลมีสามโครงการ ได้แก่ 1. ดิจิทัลวอลเล็ต 2. โครงการแลนด์บริดจ์ 3. ซอฟต์เพาเวอร์ ซึ่งมีหลายเรื่องที่เราเห็นตรงกัน แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เราต้องพูดคุยกันเป็นพิเศษ จะต้องมองในมุมกว้างและลึก และดูว่าทางเลือกและเป้าหมายคืออะไร
 
เมื่อถามว่า มีความเห็นอย่างไรบ้างกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล นายพิธา กล่าวว่า ตนมีความเห็นว่า ขณะนี้ประชาชนมีความเดือดร้อนพอสมควร เศรษฐกิจโตช้าและซบเซาเป็นเวลานาน ซึ่งไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลปัจจุบัน จากการเมืองแต่เป็นปัญหาจากการเมืองไทย ที่ไม่มีการปรับโครงสร้าง และทำให้ประเทศเดินช้า
 
ขณะเดียวกัน ตนกังวลว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยการใช้งบประมาณระยะยาว จะทำให้ไม่มีพื้นที่การคลังในการแก้ปัญหาระยะยาว จึงอยากจะชวนรัฐบาลให้คิด ว่าจะมีแผนสองหรือไม่ การกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานราก อย่าดูถูกรายละเอียดหรือโครงการเล็กๆ น้อยๆ ถ้าทำรวมกันอาจทำให้พลังเศรษฐกิจระเบิดขึ้นมาได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการแจกเงินแบบบนลงล่าง หากแก้ปัญหาให้ตรงจุด ก็จะทำให้ช่วยประหยัดงบประมาณและไม่ต้องกู้เงินสร้างภาระเพิ่มขึ้น
 
เมื่อถามถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดฟังคำวินิจฉัยในคดีนโยบายแก้ ม.112 ของพรรคก้าวไกล มีความกังวลบ้างหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เหมือนตอนคดีความรู้สึกเหมือนตอนคดีไอทีวี เราแยกแยะได้ว่าอะไรควบคุมได้หรือไม่ได้ ทั้งนี้ ส่วนที่เราควบคุมได้เราก็ได้ทำเต็มที่
 
เมื่อถามว่าจะออกจากสภาอีกหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ”ออกอีก จะออกไปทำเนียบ



ทนายรัชพล ยื่นหนังสือ จี้ ผบ.ตร.เร่งรัดคดีหุ้น ITV
https://www.innnews.co.th/news/news_668612/

ทนายรัชพล ยื่นหนังสือ จี้ ผบ.ตร.เร่งรัดคดีหุ้นITVหลังแจ้งความเอาผิด”ปธ.คิมห์-เรืองไกร”ตั้งแต่ปี 66 แต่คดีไม่คืบหน้า
 
ทนายรัชพล ศิริสาคร เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อขอให้ช่วยเร่งรัดคดีหุ้นสื่อ itv ที่ได้เคยแจ้งความไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้องเมื่อ 13 มิ.ย.2566 ให้ดำเนินคดีกับ นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ITV ปี 2566 และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้ร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เข้าข่ายเรื่องการแจ้งความเท็จ ปลอมเอกสาร หลังพบข้อมูลจากสื่อมวลชนว่ารายงานผลการประชุม ขัดแย้งกับคลิปวิดีโอการประชุมที่ถูกนำมาเสนอผ่านสื่อมีความพยายามฟื้นคืนชีพไอทีวีหรือไม่ โดยมี พ.ต.ท.ปริญญา เหมมาชูเกียรติกุล  รอง ผกก. สำนักงานเทคโนโลยี และการสื่อสาร ในฐานะเวรอำนวยการ ประจำกองรักษาการณ์เป็นตัวแทนรับเรื่อง
 
ทนายรัชพล กล่าวว่าที่เดินทางมายื่นเรื่องวันนี้เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินและวินิจฉัยแล้วว่า ไอทีวีไม่ได้เป็นสื่อแล้วแต่รายงานการประชุมที่ออกมาว่าเป็นสื่อจึงเป็นรายงานเท็จและมีการนำเอกสารรายงานการประชุมไปยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.ซึ่งมองว่าเข้าข่ายเป็นความผิด และทาง สน.ทุ่งสองห้องยังไม่มีความคืบหน้าใดๆในเรื่องดังกล่าว มีเพียงการเชิญ แยม ฐาปนีย์ เอียดศรีไชย ไปให้ปากคำ แต่ในส่วนของ กกต.อ้างว่าติดการประชุมตลอด ส่วนนายคิมห์ และนายเรืองไกร ทราบว่ายังไม่ได้มีการเรียกเข้าไปให้ปากคำแต่อย่างใด ซึ่งส่วนหนึ่งเชื่อว่าพนักงานสอบสวนรอคำพิพากษา ดังนั้นเมื่อผลคำพิพากษาออกมาแล้วมีความชัดเจนแล้วทางพนักงานสอบสวนจึงต้องดำเนินการให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
 
ทนายรัชพล กล่าวว่าสาเหตุที่คดีล่าช้าไม่มีความคืบหน้า ส่วนหนึ่งเนื่องจากทาง กกต.ที่เป็นผู้รับหนังสือรายงานการประชุมไม่ได้เข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน จึงอยากขอความร่วมมือกับทาง กกต.ขอให้ร่วมมือกับพนักงานสอบสวน เพราะกกต.ถือเป็นผู้เสียหายโดยตรงเป็นผู้รับหนังสือรายงานการประชุม และควรเป็นหน่วยงานที่ควรแจ้งความแต่ยังนิ่งเฉยไม่มีการแจ้งความใดๆ
 
ส่วนที่นายคิมห์ ได้เบิกความต่อศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับรายงานผลการประชุมผู้ถือหุ้นฯ โดยชี้แจงว่าที่ตอบไปว่าบริษัทยังประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าบริษัทดำเนินการเป็นสื่อมวลชนนั้นจะยังเข้าข่ายยื่นเอกสารหลักฐานเท็จหรือไม่นั้น เห็นว่าการที่นายคิมห์ชี้แจงแบบนั้นใครฟังก็รู้และเข้าใจว่าบริษัทยังดำเนินการอยู่ จะมาบอกว่าหมายความเป็นอย่างอื่นไม่ได้จะบิดเบือนไม่ได้ เห็นว่าเรื่องนี้ควรเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาลและให้ศาลตัดสินว่าสิ่งที่ นายคิมห์พูดมีความหมายว่าอย่างไร เพราะคนทั่วไปฟังก็เชื่อว่าไอทีวียังประกอบกิจการสื่ออยู่ แม้จะอ้างว่าเป็นการบอกไปตามคู่มือของกรมธุรกิจการค้าถ้าบริษัทไม่ได้ดำเนินกิจการให้ระบุตามวัตถุประสงค์ข้อใดข้อหนึ่งจึงเลือกใส่ว่าเป็นสื่อโทรทัศน์ก็ตาม
 
ทนายรัชพล กล่าวว่าแม้หลังฟังคำพิพากษา นายพิธาจะไม่ฟ้องกลับแต่ส่วนตัวมองว่านายพิธา มีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องเกี่ยวกับคดีอาญารวมถึงฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ด้วยเพราะหลายสิ่งมีพิรุธอยู่และไอทีวีก็จอดำมานานแล้วแต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนายพิธา ส่วนตนเองยืนยันว่าจากนี้ก็จะยังคงติดตามความคืบหน้าคดีนี้ต่อไป



ขึ้นรัวๆ จนตั้งตัวไม่ทัน! เบนซิน-แก๊สโซฮอลล์ ปรับขึ้นอีก 50 สต. - น้ำมันโลกพุ่ง 1% เหตุน้ำมันสำรองในคลังสหรัฐฯลดลง
https://ch3plus.com/news/economy/morning/384136

เมื่อวานนี้ (24 ม.ค.) PTT Station ได้แจ้งปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร GSH95 Premium ปรับขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลทุกชนิดคงเดิม มีผล 25 ม.ค. 2567 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกจะเป็น ดังนี้
 
ULG = 44.74, GSH95 = 36.85, E20 = 34.74, GSH91 = 35.08, E85 = 34.89, พรีเมี่ยม GSH95 = 44.24, HSD-B7 = 29.94, HSD-B10 = 29.94, พรีเมี่ยมดีเซล B7 = 41.54 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการตรวจสอบพบว่า ในเดือนมกราคม 2567 ได้มีการปรับราคาน้ำมันแล้ว 6 ครั้ง (รวมครั้งนี้) โดยปรับลดราคา1 ครั้ง เมื่อวันที่ 5 ม.ค. และต่อมามีการปรับขึ้นอีก 4 ครั้ง และหากรวมครั้งนี้เป็นการปรับขึ้นราคาเป็นครั้งที่ 5
 
--------------------------------------------
 
ขณะที่ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้น 1%  สาเหตุมาจาก น้ำมันสำรองในคลังของสหรัฐลดลง  

ส่งผลให้ราคาน้ำมันโลก มีดังนี้
 
- ตลาดไนเม็กซ์ นิวยอร์ก เพิ่มขึ้น 0.72 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ปิดที่ 75.09 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล
- ตลาดเบรนท์ ลอนดอน เพิ่มขึ้น 0.49 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ปิดที่ 80.04 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล
- น้ำมันกลั่นสำเร็จรูป สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.77 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ปิดที่ 101.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล

รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/Bs8-_FUv
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่