ประเด็นเรื่อง Naked Short ที่ ตลท. ออกมายืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่าตรวจไม่พบ ไม่มีมาตรการอะไรออกมาควบคุมเพิ่มเติม ทำให้ผมคิดว่าต่อไปรายย่อยไทยจะตายกันหมด
ไม่รู้ว่า ตลท. เห็นตัวเลขต่างๆ พวกนี้แล้วไม่สงสัยอะไรบ้างเลยเหรอครับ??
1. ปี 2566 ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิไป 1.9 แสนล้านบาท ขณะที่ตลาดหุ้นตกลงมาตลอดปี แต่ข้อมูลจากตลาดเองแจ้งว่า เดือน ส.ค. 66 ต่างชาติถือหุ้นไทยเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (ซึ่งถ้านับตั้งแต่ต้นปีจนถึง ส.ค. 66 ต่างชาติขายสุทธิไป 1.3 แสนล้านบาท)
ซึ่งถ้าไม่ใช่ว่าต่างชาติเลือกหุ้นเก่งมาก ชนะตลาดแบบมหาศาล ตัวเลขขายสุทธิที่แสดงจริงๆ มันควรเรียกว่า "ส่วนต่างกำไรจากการขาย Short" ล้วนๆ ซะมากกว่า พูดก็คือต่างชาติที่ลงทุนจริงๆ ก็ลงทุนปกติ แต่ตัวเลขที่เห็นขายๆ กัน จริงๆ คือ ส่วนต่างขาย Short
2. สัดส่วน Program Trading ในหุ้นหลายๆ ตัว ที่ปรับตัวลงแรงมาก ซึ่งจะทำกำไรได้ยังไงในช่วงราคาหุ้นขาลง ก็ต้องเป็นขาย Short แต่ที่น่าแปลกคือ หุ้นบางตัวไม่ปรากฎอยู่ในข้อมูล Short Sell ที่ตลาดรายงานด้วยซ้ำ หรือที่ยิ่งกว่านั้นคือ หุ้นบางตัวที่ลงหนักๆ เป็นหุ้นเล็กที่ไม่สามารถทำ SBL ได้ด้วยซ้ำ
3. ที่ผ่านมาก็มีประเทศอื่นพบธุรกรรม Naked Short ซึ่งคนทำก็เป็นสถาบันต่างชาติชื่อดัง แต่ไทยยืนยันว่าไม่มี หรือว่าสถาบันต่างชาติพวกนั้นสงสารตลาดหุ้นไทย เลยไม่เข้ามาทำธุรกรรม Naked Short ในไทย หรือว่าที่จริงแล้วเราไม่ได้สนใจที่จะตรวจสอบจริงจัง แค่สอบถามไป เค้ายืนยันว่าไม่มีก็คือไม่มี!!?
ถ้ายังปล่อยให้มีการทำ Naked Short กันสนุกสนานแบบนี้ มันไม่ใช่การเพิ่ม Liquidity ในตลาดแล้ว แต่เป็นการ Manipulate ราคาหุ้นได้ตามใจ (โดยเฉพาะทุบหุ้นเพื่อขาย Short) แล้วทำกำไรจากรายย่อยไทย เหมือนกับกดเงินจาก ATM ยังไงยังงั้นเลย
คำถามต่อไปคือ นอกจากผลกระทบต่อตลาดหุ้นแล้ว มันจะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงด้วยมั้ย เพราะถ้าสมมติว่าต่างชาติเอาส่วนต่างกำไรออกไปปีละเกือบ 2 แสนล้านบาท นี่คือราวๆ 1% ของ GDP เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตอนนี้ยังไม่แย่ ต่อไปก็แย่จริงแล้วล่ะครับ
หรือว่า Naked Short จะอยู่กับตลาดไทยไปจนกว่ารายย่อยจะตายหมด
ไม่รู้ว่า ตลท. เห็นตัวเลขต่างๆ พวกนี้แล้วไม่สงสัยอะไรบ้างเลยเหรอครับ??
1. ปี 2566 ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิไป 1.9 แสนล้านบาท ขณะที่ตลาดหุ้นตกลงมาตลอดปี แต่ข้อมูลจากตลาดเองแจ้งว่า เดือน ส.ค. 66 ต่างชาติถือหุ้นไทยเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (ซึ่งถ้านับตั้งแต่ต้นปีจนถึง ส.ค. 66 ต่างชาติขายสุทธิไป 1.3 แสนล้านบาท)
ซึ่งถ้าไม่ใช่ว่าต่างชาติเลือกหุ้นเก่งมาก ชนะตลาดแบบมหาศาล ตัวเลขขายสุทธิที่แสดงจริงๆ มันควรเรียกว่า "ส่วนต่างกำไรจากการขาย Short" ล้วนๆ ซะมากกว่า พูดก็คือต่างชาติที่ลงทุนจริงๆ ก็ลงทุนปกติ แต่ตัวเลขที่เห็นขายๆ กัน จริงๆ คือ ส่วนต่างขาย Short
2. สัดส่วน Program Trading ในหุ้นหลายๆ ตัว ที่ปรับตัวลงแรงมาก ซึ่งจะทำกำไรได้ยังไงในช่วงราคาหุ้นขาลง ก็ต้องเป็นขาย Short แต่ที่น่าแปลกคือ หุ้นบางตัวไม่ปรากฎอยู่ในข้อมูล Short Sell ที่ตลาดรายงานด้วยซ้ำ หรือที่ยิ่งกว่านั้นคือ หุ้นบางตัวที่ลงหนักๆ เป็นหุ้นเล็กที่ไม่สามารถทำ SBL ได้ด้วยซ้ำ
3. ที่ผ่านมาก็มีประเทศอื่นพบธุรกรรม Naked Short ซึ่งคนทำก็เป็นสถาบันต่างชาติชื่อดัง แต่ไทยยืนยันว่าไม่มี หรือว่าสถาบันต่างชาติพวกนั้นสงสารตลาดหุ้นไทย เลยไม่เข้ามาทำธุรกรรม Naked Short ในไทย หรือว่าที่จริงแล้วเราไม่ได้สนใจที่จะตรวจสอบจริงจัง แค่สอบถามไป เค้ายืนยันว่าไม่มีก็คือไม่มี!!?
ถ้ายังปล่อยให้มีการทำ Naked Short กันสนุกสนานแบบนี้ มันไม่ใช่การเพิ่ม Liquidity ในตลาดแล้ว แต่เป็นการ Manipulate ราคาหุ้นได้ตามใจ (โดยเฉพาะทุบหุ้นเพื่อขาย Short) แล้วทำกำไรจากรายย่อยไทย เหมือนกับกดเงินจาก ATM ยังไงยังงั้นเลย
คำถามต่อไปคือ นอกจากผลกระทบต่อตลาดหุ้นแล้ว มันจะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงด้วยมั้ย เพราะถ้าสมมติว่าต่างชาติเอาส่วนต่างกำไรออกไปปีละเกือบ 2 แสนล้านบาท นี่คือราวๆ 1% ของ GDP เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตอนนี้ยังไม่แย่ ต่อไปก็แย่จริงแล้วล่ะครับ