การถกเถียงกันระหว่างไอน์สไตน์กับนีลบอร์ ว่าสิ่งต่างๆ จะมีอยู่จริงก็ต่อเมื่อปรากฏต่อการรับรู้ของเราเท่านั้น สรุปว่าใครชนะ

จริงหรือเปล่าที่ว่า สุดท้าย ไอน์สไตน์ยอมเห็นด้วยกับแนวคิดของ นีล บอร์

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นีลส์ โบร์ นักวิทยาศาสตร์ควอนตัมฟิสิกส์ ได้ถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพอันโด่งดังว่า
"ต้นไม้ล้มอยู่ในป่าลึกที่ไม่มีคน จะมีเสียงหรือไม่"

ไอน์สไตน์ตอบว่า "มี"

โบร์แย้งว่า "ไม่จริง! ถ้าไม่มีคนไปรับรู้มันจะมีเสียงได้อย่างไร?"

ไอน์สไตน์แย้งว่า "ไม่เกี่ยว  ต้นไม้ล้มมันก็ต้องมีเสียง  ไม่ว่าจะมีคนไปคอยฟังมันหรือไม่ก็ตาม"

ทั้งคู่เถียงกันอยู่ยกใหญ่อย่างไม่มีใครยอมใคร...

ที่ไอน์สไตน์เถียงโบร์ไปเช่นนั้น นับว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้ง กับทฤษฎีสัมพัทธภาพของตัวเขาเองอย่างแรง

ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์นั้น ย่อยสลายความเชื่อที่เป็นเหมือนกับดักทางความคิดของนักวิทยาศาสตร์มาเป็นพันปีที่ว่า
"เวลาและระยะทางเป็นความสัมบูรณ์ (ความสัมบูรณ์คือคงที่เสมอไม่เปลี่ยนแปลง)" ลงได้ด้วยเหตุผลที่ว่า "เวลาและระยะทางไม่ใช่สิ่งสัมบูรณ์แต่เป็นสิ่งสัมพัทธ์ (สัมพัทธคือไม่เที่ยงและเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับมุมมอง)"

นักวิทยาศาสตร์ยุคนั้นเถียงไอน์สไตน์ว่า เวลาจะช้าลงหรือเร็วขึ้น และระยะทางจะหดเข้าหรือยืดออกได้อย่างไร แนวคิดเรื่องมุมมองใช้ได้ก็แต่ทฤษฎีทางสังคมศาสตร์เท่านั้น!

ไอน์สไตน์จึงอธิบายว่า สมมติว่ามีรถไฟขบวนหนึ่งแล่นด้วยความเร็วที่สูงมาก
ชายคนแรกยืนอยู่กลางโบกี้รถไฟโบกี้หนึ่ง
มีหลอดไฟในโบกี้นั้น 2 หลอด
หลอดหนึ่งอยู่ด้านหน้า หลอดหนึ่งอยู่ด้านหลัง
ทั้งสองหลอดมีระยะห่างจากชายคนนั้นเท่ากัน
ส่วนชายคนที่สองยืนอยู่ริมชานชาลา
สมมติว่าทันทีที่รถไฟเคลื่อนผ่านชานชาลา
และตำแหน่งยืนของชายคนแรกและคนที่สองตรงกัน
หลอดไฟสองหลอดได้สว่างขึ้นพร้อมกัน
ชายที่อยู่บนรถไฟจะเห็นหลอดไฟที่อยู่ด้านหน้า
สว่างก่อนหลอดไฟที่อยู่ด้านหลัง
เพราะไฟหลอดหน้าจะได้ประโยชน์
จากแรงเร่งเข้าหาของรถไฟและตาของชายคนดังกล่าว
แต่เขาจะเห็นไฟหลอดหลังสว่างช้ากว่าหลอดหน้า
เพราะแสงของไฟหลอดหลัง
ต้องสู้กับแรงเร่งหนีของรถไฟและตาผู้สังเกต
และเมื่อใดก็ตามที่รถไฟวิ่งถึงความเร็วแสง
ไฟหลอดหน้าจะสว่างทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาเลย
ส่วนไฟหลอดหลังจะไม่สว่างเลย
นั่นเท่ากับว่าเวลา "หยุด"ลง
ส่วนชายคนที่ 2 นั้นจะเห็นไฟทั้งสองหลอดสว่างพร้อมกัน
เพราะเขาไม่ได้เคลื่อนที่ไปกับรถไฟ
"นี่ไงล่ะ!เวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์ มันขึ้นอยู่กับมุมมอง" ไอน์สไตน์กล่าว
ส่วนเรื่องความสัมพัทธ์ของระยะทางนั้นไอน์สไตน์อธิบายว่า
กระสุนที่มีขนาดยาว 1 นิ้ว เมื่อถูกยิงด้วยความเร็วจากปืน
หากใช้เครื่องสังเกตการณ์ที่มีความไวสูง
ยิ่งกระสุนนั้นเดินทางเร็วเท่าไร
ขนาดของมันยิ่งหดสั้นลงเท่านั้น
และเมื่อไรก็ตามที่มันเดินทางด้วยความเร็วแสง
ไม่ว่าเครื่องตรวจจับชนิดใดก็จะไม่สามารถมองเห็นมันได้
หรือแม้กระทั่งอาจทะลุผ่านร่างของเราได้โดยแทบไม่รู้สึกอะไร
นั่นคือระยะทางลดลงเหลือ 0
หรือสสาร "หายไป" นี่คือคำอธิบายของไอน์สไตน์
แสดงว่าทุกอย่างขึ้นกับการ "สังเกตการณ์"
การที่เต่าอายุเป็น 100 ปีเต่าเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันนานขนาดนั้น
หรือการที่ยุงอายุไม่กี่วัน ยุงเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตมันสั้นขนาดนั้น
ทุกอย่างเป็นปกติของมัน
เวลาบนหน้าปัดนาฬากานั้นแท้จริงเป็นแค่เวลาสมมติ
คนเราจะรู้ว่าเวลามีอยู่จริง
ก็เพราะเราดำเนินชีวิตผ่านไปในแต่ละวัน
คนป่วยที่หมดสติไปเป็นเดือนๆ
ไม่ได้รู้สึกว่าเวลาได้ผ่านไปเลยสักนิด
ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อเราตายไป "เวลาย่อมหยุดลง"
ดังนั้นเวลาจึงขึ้นอยู่กับการรับรู้ของแต่ละคน

มาถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่าไอน์สไตน์ทรยศต่อความคิดของตนเอง
(มีคนเคยบอกไว้ว่าเป็นเพราะไอน์สไตน์ไม่ชอบโบร์เป็นการส่วนตัว
ถ้าเป็นคนอื่นถามคำถามนี้ไอน์สไตน์อาจเห็นด้วยในภายหลังก็ได้)

หลังจากเถียงกันอยู่นาน โบร์ได้พาไอน์สไตน์ไปที่หน้าห้อง
เขาโยนหนังสือเล่มหนึ่งเข้าไปข้างในแล้วปิดประตู
"มีหนังสืออยู่ในห้องไหม?" โบร์ถาม

"มี" ไอน์สไตน์ตอบ

"รู้ได้ยังไงว่ามี ลูกชายผมอาจจะเปิดประตูห้องอีกด้านหนึ่ง แล้วหยิบมันออกไปแล้วก็ได้" โบร์ย้อน

"ผมจะพิสูจน์ให้ดูว่ามันมี" ไอน์สไตน์กล่าว
ก่อนเดินไปเปิดประตูห้องออก
หนังสือยังวางอยู่ที่เดิม "เห็นไหมล่ะ ไม่ว่าเราจะมองเห็นมันหรือไม่  มันก็ยังวางอยู่ที่เดิมมาตั้งแต่ที่คุณโยนเข้าไป"

"แต่นั่นเป็นการยืนยัน หลังจากที่คุณเปิดประตูออกแล้วเห็นมันมิใช่หรือ?"โบร์กล่าว

ไอน์สไตน์เดินเดือดดาลออกไปจากห้องพลางกล่าวว่า "ผมจะหาทางล้มทฤษฎีของคุณให้ได้!"

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่