จิรัฏฐ์ จ่อเผยข้อมูล กองทัพใช้งบ จ้างยูทูบเบอร์ หลังมีดราม่า "ทหารมีไว้ทำไม"
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8058225
จิรัฏฐ์ ก้าวไกล จ่อเผยข้อมูล กองทัพใช้งบประมาณแผ่นดิน จ้างยูทูบเบอร์ทำคลิป หลังมีดราม่า Pigkaploy “ทหารมีไว้ทำไม”
กลายเป็นดราม่าถกสนั่นในโซเชียล หลังจาก
Pigkaploy หรือ
พลอย พลอยไพลิน ตั้งประภาพร ยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยวและนักแสดง ทำคลิป “
ทหารมีไว้ทำไม ลองใช้ชีวิตเป็นทหารชายแดนเหนือ 3 วัน 2 คืน ไทย – เมียนมาร์” จากนั้นพบว่าหน่วยงานรัฐเอาไปแชร์ต่อจำนวนมาก จนเข้าแห่เข้าไปคอมเมนต์ว่าไม่สมควร
ต่อมา ช่อง
Pigkaploy ก็ทำการเปลี่ยนชื่อปกคลิปวิดีโอจาก “
ทหารมีไว้ทำไม?” เป็น “
ตามติดชีวิตทหารชายแดน” แทน พร้อมกับชี้แจงใต้คลิปดังกล่าวถึงสาเหตุที่ทำคลิป เพราะได้ไปคุยกับทหารชายแดนแล้วทราบว่าพวกเขาน้อยใจกับคำว่า “
ทหารมีไว้ทำไม” จึงอยากทำคลิปเพื่อเสนออีกมุม
แต่ถึงกระนั้นดราม่าก็ยังไม่จบ ยังคงร้อนแรงข้ามคืนจน #Pigkaploy ติดเทรนด์ x หรือทวิตเตอร์ แม้ล่าสุด พลอยได้ลบคลิปทุกอย่างออกไปหมดแล้ว แต่หลายคนก็ยังคงวิพากษ์วิจารณ์พร้อมทั้งอยากให้พลอยทำคลิปออกมาชี้แจงให้ชัดเจน ว่าทำ PR ให้กับกองทัพหรือไม่
ล่าสุด นาย
จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ทวีตข้อความบน x หรือทวิตเตอร์ ต่อเรื่องราวดราม่าดังกล่าวว่า
“
เรื่องนี้ขอรวบรวมข้อมูลอีกแปปนะครับ ข้อมูลเยอะมาก ที่กองทัพใช้งบประมาณแผ่นดินไปจ้างยูทูปเบอร์ทำคลิป แล้วบิดเบือนประวัติศาสตร์จนน่าเกลียดด้วย วิธีการคือกองทัพจะจ้างบริษัทคนกลาง และคนกลางไปจ้างต่ออีกทอด”
https://twitter.com/Jirat_MP/status/1747942393733890523
ปชช.ชนะคดีฟ้อง 'ประยุทธ์'-กก.วล.แก้ PM2.5 ช้า ศาลปกครองสั่งทำแผนแก้ปัญหาใน 90 วัน
https://prachatai.com/journal/2024/01/107685
ศาลปกครองเชียงใหม่อ่านคำพิพากษา ประชาชนชนะคดีฟ้องอดีตนายกฯ 'ประยุทธ์'-กก.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ช้า สร้างผลกระทบประชาชน สั่งทำแผนแก้ปัญหาฝุ่นภายใน 90 วัน นับตั้งแต่มีคำพิพากษา
19 ม.ค. 2567
สื่อไทยพีบีเอส (19 ม.ค.) ศาลปกครองเชียงใหม่ อ่านคำพิพากษา คดีเครือข่ายประชาชนภาคเหนือ ในฐานะผู้ฟ้อง ประกอบด้วย นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นพ.
รังสฤษฏ์ กาญจนะวณิชย์ สภาลมหายใจเชียงใหม่ สภาลมหายใจภาคเหนือ และภาคประชาชน ฟ้องนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในประเด็นที่รัฐบาลเพิกเฉยการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันภาคเหนือที่เป็นวิกฤตด้านสาธารณสุขที่ส่งผลอย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ คำฟ้องมีข้อเรียกร้องสำคัญทางคดีดังนี้
• ฟ้องนายกรัฐมนตรีให้ใช้อำนาจตามมาตรา 9 พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติอย่างร้ายแรงให้มีอำนาจสั่งการให้หน่วยงานทำหน้าที่อย่างเข้มงวด เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไม่ได้ใช้อำนาจนี้จนการแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่น PM2.5 มีความล่าช้า ไม่ทันต่อความร้ายแรงของเหตุการณ์
• ฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ให้ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “
การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ซึ่งรัฐบาลประกาศแผนนี้มาตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากในระยะเวลา 4 ปีในการใช้แผนนี้ แทบจะไม่เห็นความคืบหน้าและปัญหายังคงความรุนแรงอยู่ นี่คือความผิดปกติที่เราไม่อาจยอมรับ
สื่อไทยพีบีเอส รายงานว่า การพิพากษาวันนี้ ศาลปกครองเชียงใหม่พิจารณาโดยเปิดเผย ให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมฟังพิจารณาคดีได้ ซึ่งคดีที่ประชาชนฟ้องนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับคดีฝุ่น PM 2.5 เป็นการฟ้องคดีเป็นครั้งที่ 3 แล้ว
ล่าสุด เวลา 10.00 น. ศาลปกครองเชียงใหม่สั่งนายกรัฐมนตรี และ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำแผนแก้ปัญหาฝุ่นภายใน 90 วัน นับแต่คำพิพากษา
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองเชียงใหม่ได้ปัดตกการฟ้องคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ต่อความล้มเหลวในการตรวจสอบข้อมูลตลอดห่วงโซ่อุปทานอันเกี่ยวเนื่องกับแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมายังประเทศไทย และไม่รับอุทรณ์เพื่อพิจารณาคดี
ส.ผู้ค้าปลีกไทย ชี้ค้าปลีกส่งท้ายปีโตน้อย ชงรัฐ กรุยทางสินเชื่อเอสเอ็มอี เร่งเครื่องท่องเที่ยว
https://www.matichon.co.th/economy/news_4383652
ส.ผู้ค้าปลีกไทย ชี้ค้าปลีกส่งท้ายปีโตน้อย ชงรัฐ กรุยทางสินเชื่อเอสเอ็มอี เร่งเครื่องท่องเที่ยว ปฏิรูปมาตรการป้องสินค้าข้ามแดน
วันที่ 19 มกราคม นาย
ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “
ผลการสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index – RSI) ในเดือนธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบและทุกภูมิภาค จากการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของร้านค้าและบรรยากาศส่งท้ายปลายปีที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคให้คึกคักในระดับหนึ่ง โดยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ขณะที่ไตรมาสแรกปี 67 ปรับเพิ่มขึ้นแต่ไม่มาก จากอานิสงส์มาตรการ Easy E-Receipt และแคมเปญการตลาดช่วงเทศกาลตรุษจีน อย่างไรก็ตามหากพิจารณา ภาพรวมตลอดปี 2566 ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ พบว่ายังเป็นการฟื้นตัวแบบไม่สมดุลในลักษณะ K-Shaped โดยส่วนที่ฟื้นตัว ได้แก่ กลุ่มห้างสรรพสินค้า-แฟชั่นความงาม-ไลฟ์สไตล์ ร้านสะดวกซื้อ และซูเปอร์มาร์เก็ต และอีกส่วนหนึ่งยังไม่ฟื้นตัว คือ กลุ่มค้าปลีกไฮเปอร์มาร์เก็ต และกลุ่มค้าส่ง-ค้าปลีกภูธร ด้านกลุ่มที่ทรงตัวเป็นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งและซ่อมบำรุง, สมาร์ทโฟน และไอที โดยเมื่อจำแนกตามภูมิภาค พบว่าเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ดี ส่วนภูมิภาคอื่นๆยังชะลอตัว ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ซึมยาวสะท้อนถึงกำลังซื้อยังคงอ่อนแอ
นาย
ฉัตรชัย กล่าวว่า สำหรับ ทิศทางภาพรวมธุรกิจค้าปลีกและบริการในปี 2567 สมาคมผู้ค้าปลีกไทยคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4.4 ล้านล้านบาท เติบโตราว 3-5 % เมื่อเทียบกับ GDP ในปี 2567 ที่คาดจะเติบโต 3.5 – 4.4 % โดยมองว่า กลุ่มธุรกิจแบบมีหน้าร้าน จะกลับมามีมูลค่าเท่าก่อนช่วงโควิด-19 ส่วนแบบที่ไม่มีหน้าร้าน เช่น การขายผ่านออนไลน์ การขายผ่านตู้อัตโนมัติ เป็นต้น ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยขอเสนอแนะ แนวทางเพื่อการกระตุ้นภาพรวมค้าปลีกและบริการ ต่อภาครัฐ อาทิ
1. ลดความเลื่อมล้ำและสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันในการเข้าถึงสินเชื่อเอสเอ็มอี ได้แก่
1).เปิดตลาดภาคการเงินเสรีให้มีสถาบันการเงินใหม่ๆ เข้าสู่ระบบเพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านดอกเบี้ย
2). เปิดเผยเชื่อมโยงข้อมูลทางการการเงินที่โปร่งใสเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมระหว่างผู้บริการทาง การเงินและผู้ขอสินเชื่อ รวมทั้งใช้ระบบ Risk based management ในการวัดระดับความเสี่ยงของการอนุมัติ การขอสินเชื่อ
3). เร่งจัดหากองทุน Soft loan ดอกเบี้ยต่ำ สำหรับเอสเอ็มอีในเงื่อนไขไม่ซับซ้อนเข้าถึงง่ายเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน
2. อนุมัติเพิ่มการจ้างงานรูปแบบใหม่ ได้แก่ การจ้างงานอิสระ การจ้างงานประจำรายชั่วโมง โดยกำหนด ค่าจ้างตามระดับคุณวุฒิวิชาชีพตามมาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เพิ่มเติมจากการพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคปลีกและบริการ อีกทั้งควรส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงาน Upskill Reskill ควบคู่ไปด้วย
3. ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยมีเงื่อนไขที่ชัดเจนครอบคลุมทุกกลุ่ม ด้วยการจัดแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว ชูจุดเด่นซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเมืองรอง เพื่อให้เกิดการสร้างงานและกระจายรายได้ตามภูมิภาคต่างๆ
4. สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม ด้วยมาตรการป้องกันสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน โดยเฉพาะการจำหน่ายบนอีคอมเมิร์ซ เพื่อไม่ให้กระทบกับโครงสร้างราคาสินค้าเอสเอ็มอีของไทย ได้แก่ 1.กำหนดให้มีการจดทะเบียนบริษัทอย่างถูกต้องและมีนโยบายที่ชัดเจนด้านสินค้าและการบริการ เช่น สินค้าปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงสินค้าที่ไม่ถูกต้องตามศีลธรรม 2.ปรับรูปแบบการเก็บภาษีออนไลน์เป็นข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริง โดยแพลตฟอร์ม ออนไลน์ควรต้องเป็นผู้เก็บภาษีทุกครั้งที่มีการซื้อขาย 3.เพิ่มมาตรการเก็บภาษีสินค้า Grey Market ซึ่งส่งผลให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี รวมทั้งเกิด ความไม่เป็นธรรมทางการค้าของผู้ประกอบการในประเทศ
ทั้งนี้ ยังมีบทสรุประเด็นเกี่ยวกับ “อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและการขอสินเชื่อ” ของผู้ประกอบการที่สำรวจระหว่างวันที่ 18-25 ธ.ค.66 ดังนี้
1. ผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น โดย 68% ธุรกิจได้รับผลกระทบ แบ่งเป็น 63% ภาระหนี้เพิ่มขึ้นแต่ยังสามารถชำระได้ตามปกติ แม้ว่าภาระหนี้ที่มีอยู่จะเพิ่มขึ้น และอีก 5% อาจผิดนัดชำระหนี้, ขอปรับโครงสร้างหนี้, ขอยืดเวลาชำระหนี้ ส่วน 32% ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
2. อุปสรรคในการขอสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน โดย 45% ธุรกิจต้องเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันทางการเงินมากขึ้น แบ่งเป็น 36% สถาบันทางการเงินใช้เวลาพิจารณาสินเชื่อนานขึ้นและปรับ Margin อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น, 6% ได้วงเงินสินเชื่อลดลง, 3% ปรับเงื่อนไขการกู้เข้มงวดมากขึ้น ส่วน 55% ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบในการเข้าถึงสินเชื่อ
”
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มองว่าภาพรวมค้าปลีกและบริการในปี 67 โดยเฉพาะครึ่งปีหลังจะเริ่มส่งสัญญาณบวกแต่ยังต้องอาศัยแรงหนุนจากภาครัฐในการผลักดันโครงการและมาตรการต่างๆในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน มุ่งเป้าตรงจุด เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ในระยะยาวอย่างมีศักยภาพ โดยสมาคมฯ พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนและยินดีสนับสนุนภาครัฐอย่างเต็มกำลัง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอนาคตค้าปลีกและบริการยุคใหม่ของไทยให้กลับมาเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ” นาย
ฉัตรชัย กล่าว
JJNY : จิรัฏฐ์จ่อเผยกองทัพใช้งบ│ปชช.ชนะคดีฟ้อง'ประยุทธ์' แก้ PM2.5 ช้า│ชี้ค้าปลีกส่งท้ายปีโตน้อย│อากาศหนาวกระทบหนักสหรัฐ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8058225
จิรัฏฐ์ ก้าวไกล จ่อเผยข้อมูล กองทัพใช้งบประมาณแผ่นดิน จ้างยูทูบเบอร์ทำคลิป หลังมีดราม่า Pigkaploy “ทหารมีไว้ทำไม”
กลายเป็นดราม่าถกสนั่นในโซเชียล หลังจาก Pigkaploy หรือ พลอย พลอยไพลิน ตั้งประภาพร ยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยวและนักแสดง ทำคลิป “ทหารมีไว้ทำไม ลองใช้ชีวิตเป็นทหารชายแดนเหนือ 3 วัน 2 คืน ไทย – เมียนมาร์” จากนั้นพบว่าหน่วยงานรัฐเอาไปแชร์ต่อจำนวนมาก จนเข้าแห่เข้าไปคอมเมนต์ว่าไม่สมควร
ต่อมา ช่อง Pigkaploy ก็ทำการเปลี่ยนชื่อปกคลิปวิดีโอจาก “ทหารมีไว้ทำไม?” เป็น “ตามติดชีวิตทหารชายแดน” แทน พร้อมกับชี้แจงใต้คลิปดังกล่าวถึงสาเหตุที่ทำคลิป เพราะได้ไปคุยกับทหารชายแดนแล้วทราบว่าพวกเขาน้อยใจกับคำว่า “ทหารมีไว้ทำไม” จึงอยากทำคลิปเพื่อเสนออีกมุม
แต่ถึงกระนั้นดราม่าก็ยังไม่จบ ยังคงร้อนแรงข้ามคืนจน #Pigkaploy ติดเทรนด์ x หรือทวิตเตอร์ แม้ล่าสุด พลอยได้ลบคลิปทุกอย่างออกไปหมดแล้ว แต่หลายคนก็ยังคงวิพากษ์วิจารณ์พร้อมทั้งอยากให้พลอยทำคลิปออกมาชี้แจงให้ชัดเจน ว่าทำ PR ให้กับกองทัพหรือไม่
ล่าสุด นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ทวีตข้อความบน x หรือทวิตเตอร์ ต่อเรื่องราวดราม่าดังกล่าวว่า
“เรื่องนี้ขอรวบรวมข้อมูลอีกแปปนะครับ ข้อมูลเยอะมาก ที่กองทัพใช้งบประมาณแผ่นดินไปจ้างยูทูปเบอร์ทำคลิป แล้วบิดเบือนประวัติศาสตร์จนน่าเกลียดด้วย วิธีการคือกองทัพจะจ้างบริษัทคนกลาง และคนกลางไปจ้างต่ออีกทอด”
https://twitter.com/Jirat_MP/status/1747942393733890523
ปชช.ชนะคดีฟ้อง 'ประยุทธ์'-กก.วล.แก้ PM2.5 ช้า ศาลปกครองสั่งทำแผนแก้ปัญหาใน 90 วัน
https://prachatai.com/journal/2024/01/107685
ศาลปกครองเชียงใหม่อ่านคำพิพากษา ประชาชนชนะคดีฟ้องอดีตนายกฯ 'ประยุทธ์'-กก.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ช้า สร้างผลกระทบประชาชน สั่งทำแผนแก้ปัญหาฝุ่นภายใน 90 วัน นับตั้งแต่มีคำพิพากษา
19 ม.ค. 2567 สื่อไทยพีบีเอส (19 ม.ค.) ศาลปกครองเชียงใหม่ อ่านคำพิพากษา คดีเครือข่ายประชาชนภาคเหนือ ในฐานะผู้ฟ้อง ประกอบด้วย นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นพ.รังสฤษฏ์ กาญจนะวณิชย์ สภาลมหายใจเชียงใหม่ สภาลมหายใจภาคเหนือ และภาคประชาชน ฟ้องนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในประเด็นที่รัฐบาลเพิกเฉยการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันภาคเหนือที่เป็นวิกฤตด้านสาธารณสุขที่ส่งผลอย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ คำฟ้องมีข้อเรียกร้องสำคัญทางคดีดังนี้
• ฟ้องนายกรัฐมนตรีให้ใช้อำนาจตามมาตรา 9 พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติอย่างร้ายแรงให้มีอำนาจสั่งการให้หน่วยงานทำหน้าที่อย่างเข้มงวด เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไม่ได้ใช้อำนาจนี้จนการแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่น PM2.5 มีความล่าช้า ไม่ทันต่อความร้ายแรงของเหตุการณ์
• ฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ให้ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ซึ่งรัฐบาลประกาศแผนนี้มาตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากในระยะเวลา 4 ปีในการใช้แผนนี้ แทบจะไม่เห็นความคืบหน้าและปัญหายังคงความรุนแรงอยู่ นี่คือความผิดปกติที่เราไม่อาจยอมรับ
สื่อไทยพีบีเอส รายงานว่า การพิพากษาวันนี้ ศาลปกครองเชียงใหม่พิจารณาโดยเปิดเผย ให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมฟังพิจารณาคดีได้ ซึ่งคดีที่ประชาชนฟ้องนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับคดีฝุ่น PM 2.5 เป็นการฟ้องคดีเป็นครั้งที่ 3 แล้ว
ล่าสุด เวลา 10.00 น. ศาลปกครองเชียงใหม่สั่งนายกรัฐมนตรี และ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำแผนแก้ปัญหาฝุ่นภายใน 90 วัน นับแต่คำพิพากษา
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองเชียงใหม่ได้ปัดตกการฟ้องคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ต่อความล้มเหลวในการตรวจสอบข้อมูลตลอดห่วงโซ่อุปทานอันเกี่ยวเนื่องกับแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมายังประเทศไทย และไม่รับอุทรณ์เพื่อพิจารณาคดี
ส.ผู้ค้าปลีกไทย ชี้ค้าปลีกส่งท้ายปีโตน้อย ชงรัฐ กรุยทางสินเชื่อเอสเอ็มอี เร่งเครื่องท่องเที่ยว
https://www.matichon.co.th/economy/news_4383652
ส.ผู้ค้าปลีกไทย ชี้ค้าปลีกส่งท้ายปีโตน้อย ชงรัฐ กรุยทางสินเชื่อเอสเอ็มอี เร่งเครื่องท่องเที่ยว ปฏิรูปมาตรการป้องสินค้าข้ามแดน
วันที่ 19 มกราคม นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “ผลการสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index – RSI) ในเดือนธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบและทุกภูมิภาค จากการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของร้านค้าและบรรยากาศส่งท้ายปลายปีที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคให้คึกคักในระดับหนึ่ง โดยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ขณะที่ไตรมาสแรกปี 67 ปรับเพิ่มขึ้นแต่ไม่มาก จากอานิสงส์มาตรการ Easy E-Receipt และแคมเปญการตลาดช่วงเทศกาลตรุษจีน อย่างไรก็ตามหากพิจารณา ภาพรวมตลอดปี 2566 ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ พบว่ายังเป็นการฟื้นตัวแบบไม่สมดุลในลักษณะ K-Shaped โดยส่วนที่ฟื้นตัว ได้แก่ กลุ่มห้างสรรพสินค้า-แฟชั่นความงาม-ไลฟ์สไตล์ ร้านสะดวกซื้อ และซูเปอร์มาร์เก็ต และอีกส่วนหนึ่งยังไม่ฟื้นตัว คือ กลุ่มค้าปลีกไฮเปอร์มาร์เก็ต และกลุ่มค้าส่ง-ค้าปลีกภูธร ด้านกลุ่มที่ทรงตัวเป็นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งและซ่อมบำรุง, สมาร์ทโฟน และไอที โดยเมื่อจำแนกตามภูมิภาค พบว่าเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ดี ส่วนภูมิภาคอื่นๆยังชะลอตัว ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ซึมยาวสะท้อนถึงกำลังซื้อยังคงอ่อนแอ
นายฉัตรชัย กล่าวว่า สำหรับ ทิศทางภาพรวมธุรกิจค้าปลีกและบริการในปี 2567 สมาคมผู้ค้าปลีกไทยคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4.4 ล้านล้านบาท เติบโตราว 3-5 % เมื่อเทียบกับ GDP ในปี 2567 ที่คาดจะเติบโต 3.5 – 4.4 % โดยมองว่า กลุ่มธุรกิจแบบมีหน้าร้าน จะกลับมามีมูลค่าเท่าก่อนช่วงโควิด-19 ส่วนแบบที่ไม่มีหน้าร้าน เช่น การขายผ่านออนไลน์ การขายผ่านตู้อัตโนมัติ เป็นต้น ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยขอเสนอแนะ แนวทางเพื่อการกระตุ้นภาพรวมค้าปลีกและบริการ ต่อภาครัฐ อาทิ
1. ลดความเลื่อมล้ำและสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันในการเข้าถึงสินเชื่อเอสเอ็มอี ได้แก่
1).เปิดตลาดภาคการเงินเสรีให้มีสถาบันการเงินใหม่ๆ เข้าสู่ระบบเพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านดอกเบี้ย
2). เปิดเผยเชื่อมโยงข้อมูลทางการการเงินที่โปร่งใสเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมระหว่างผู้บริการทาง การเงินและผู้ขอสินเชื่อ รวมทั้งใช้ระบบ Risk based management ในการวัดระดับความเสี่ยงของการอนุมัติ การขอสินเชื่อ
3). เร่งจัดหากองทุน Soft loan ดอกเบี้ยต่ำ สำหรับเอสเอ็มอีในเงื่อนไขไม่ซับซ้อนเข้าถึงง่ายเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน
2. อนุมัติเพิ่มการจ้างงานรูปแบบใหม่ ได้แก่ การจ้างงานอิสระ การจ้างงานประจำรายชั่วโมง โดยกำหนด ค่าจ้างตามระดับคุณวุฒิวิชาชีพตามมาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เพิ่มเติมจากการพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคปลีกและบริการ อีกทั้งควรส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงาน Upskill Reskill ควบคู่ไปด้วย
3. ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยมีเงื่อนไขที่ชัดเจนครอบคลุมทุกกลุ่ม ด้วยการจัดแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว ชูจุดเด่นซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเมืองรอง เพื่อให้เกิดการสร้างงานและกระจายรายได้ตามภูมิภาคต่างๆ
4. สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม ด้วยมาตรการป้องกันสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน โดยเฉพาะการจำหน่ายบนอีคอมเมิร์ซ เพื่อไม่ให้กระทบกับโครงสร้างราคาสินค้าเอสเอ็มอีของไทย ได้แก่ 1.กำหนดให้มีการจดทะเบียนบริษัทอย่างถูกต้องและมีนโยบายที่ชัดเจนด้านสินค้าและการบริการ เช่น สินค้าปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงสินค้าที่ไม่ถูกต้องตามศีลธรรม 2.ปรับรูปแบบการเก็บภาษีออนไลน์เป็นข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริง โดยแพลตฟอร์ม ออนไลน์ควรต้องเป็นผู้เก็บภาษีทุกครั้งที่มีการซื้อขาย 3.เพิ่มมาตรการเก็บภาษีสินค้า Grey Market ซึ่งส่งผลให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี รวมทั้งเกิด ความไม่เป็นธรรมทางการค้าของผู้ประกอบการในประเทศ
ทั้งนี้ ยังมีบทสรุประเด็นเกี่ยวกับ “อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและการขอสินเชื่อ” ของผู้ประกอบการที่สำรวจระหว่างวันที่ 18-25 ธ.ค.66 ดังนี้
1. ผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น โดย 68% ธุรกิจได้รับผลกระทบ แบ่งเป็น 63% ภาระหนี้เพิ่มขึ้นแต่ยังสามารถชำระได้ตามปกติ แม้ว่าภาระหนี้ที่มีอยู่จะเพิ่มขึ้น และอีก 5% อาจผิดนัดชำระหนี้, ขอปรับโครงสร้างหนี้, ขอยืดเวลาชำระหนี้ ส่วน 32% ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
2. อุปสรรคในการขอสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน โดย 45% ธุรกิจต้องเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันทางการเงินมากขึ้น แบ่งเป็น 36% สถาบันทางการเงินใช้เวลาพิจารณาสินเชื่อนานขึ้นและปรับ Margin อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น, 6% ได้วงเงินสินเชื่อลดลง, 3% ปรับเงื่อนไขการกู้เข้มงวดมากขึ้น ส่วน 55% ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบในการเข้าถึงสินเชื่อ
” สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มองว่าภาพรวมค้าปลีกและบริการในปี 67 โดยเฉพาะครึ่งปีหลังจะเริ่มส่งสัญญาณบวกแต่ยังต้องอาศัยแรงหนุนจากภาครัฐในการผลักดันโครงการและมาตรการต่างๆในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน มุ่งเป้าตรงจุด เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ในระยะยาวอย่างมีศักยภาพ โดยสมาคมฯ พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนและยินดีสนับสนุนภาครัฐอย่างเต็มกำลัง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอนาคตค้าปลีกและบริการยุคใหม่ของไทยให้กลับมาเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ” นายฉัตรชัย กล่าว