▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
เที่ยวต่างประเทศ
เที่ยวไต้หวัน
เที่ยวไต้หวัน ในวันที่ไม่มีฝน
จากนั้นผมก็เริ่มทำการบ้าน โดยการเข้ามาซุ่มเก็บข้อมูลในพันทิปอยู่เกือบเดือน ในที่สุดแผนการเดือนทางคร่าว ๆ ก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ต่อด้วยการจองโรงแรม จองรถไฟความเร็วสูง และซื้อประกันภัยการเดินทางในต่างประเทศ
ทริปนี้พวกเราไปเที่ยวช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2566 หวังว่าข้อมูลในกระทู้นี้จะพอเป็นประโยชน์ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็อาจจะช่วยกระตุ้นต่อมอยากออกไปไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ขึ้นมาบ้าง ร่ายยาวมาเยอะแล้ว ออกเดินทางกันเลยดีกว่าครับ
Day 1: กรุงเทพฯ - ไทเป
ก่อนออกเดินทาง ทำพิธีถ่ายรูปภายในสนามบินสุวรรณภูมิในมุมเดิม ๆ ไม่รู้จะถ่ายทำไมนักหนา แต่ก็ถ่ายอยู่ดี
อาหารบนเครื่องของสายการบิน EVA หน้าตาประมาณนี้ครับ รสชาติถือว่าโอเค
กินเสร็จเกือบได้เลิกคบกับเพื่อน เพราะมัวแต่เถียงกันว่าไอ้ช้อน/ส้อมสเตนเลสที่มีโลโก้สายการบิน นี่มันสามารถเอากลับบ้านได้มั้ย เพื่อนผมมั่นใจว่าเอากลับได้ ส่วนผมคิดว่าไม่น่าจะได้ ใครมีข้อมูลช่วยบอกให้รู้หน่อยนะครับ
พวกเรากรอกข้อมูลการเข้าประเทศในระบบออนไลน์มาล่วงหน้าแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องมาเขียนใบที่เป็นกระดาษยื่นให้เจ้าหน้าที่ ตม. อีกครั้งอยู่ดี หลังจากผ่าน ตม. ก็มารอรับกระเป๋า จากนั้นก็ไปซื้อ Easy Card แล้วไปรอขึ้นรถไฟขบวน Express (สายสีม่วง) เข้าเมืองกัน
โรงแรมที่เราพักชื่อ Green World Flora Annex อยู่แถว Taipei Main Station ซึ่งถือว่าสะดวกมากในการเดินทาง ราคาคืนละ 2,784 บาท (สำหรับ 3 คน) ปล. ติดกับโรงแรมมีร้านเล็ก ๆ ขายน้ำเต้าหู้และเสี่ยวหลงเปาในราคาลูกละประมาณ 17 บาท รสชาติดีมาก อันนี้แนะนำครับ
พวกเราบินมาถึงไทเปค่อนข้างค่ำ เลยได้แค่เดินหาอะไรกินรองท้องไปก่อนแถว ๆ โรงแรม เดินไปเดินมา สุดท้ายก็มาจบที่ร้านข้าวหน้าเป็ดร้านนี้ครับ รสชาติคล้าย ๆ เป็ดย่างบ้านเรา แต่เนื้อเหนียวและเย็นชืดกว่าบ้านเรา
กินข้าวเสร็จแล้วพวกเราก็ออกไปเดินย่อยอาหารกันแถว ๆ นั้นก่อนจะกลับเข้าโรงแรม เป็นอันหมดวันที่ 1
ศาลเจ้าอะไรสักอย่างแถว ๆ โรงแรม
ตลาดขายผลไม้ใกล้ ๆ ศาลเจ้า ผลไม้ที่นี่ลูกใหญ่โตมโหฬารมาก ราคาน่าจะพอ ๆ กับผลไม้แถวเยาวราช ลูกพลับที่เห็นราคาลูกละประมาณ 100 บาท
Day 2: ในเมืองไทเป
หลังจากกินอาหารเช้ากันเรียบร้อย พวกเราก็ออกเดินทางไปสถานที่แรก นั่นคือ อนุสรณ์สถานเจียงไคเชค วิธีการเดินทางคือ นั่ง MRT สายสีแดง ลงสถานี Chiang Kai-Shek Memorial Hall ทางออก 5
จากนั้นพวกเราก็ไปเดินเล่นย่านซีเหมินติง วิธีการเดินทางคือ นั่ง MRT สายสีน้ำเงิน ลงสถานี Ximen ทางออก 6
ซีเหมินติง อารมณ์เหมือนสยามสแควร์บ้านเรา ที่นี่มีร้านขายอาหารและเสื้อผ้าวัยรุ่นเยอะเลย แต่ผมเลยวัยรุ่นมาพอสมควร เลยได้แค่เดิน ๆ ชมบรรยากาศไปเรื่อย ๆ
บิงซูถั่วแดง (จำไม่ได้ว่าที่นั่นเรียกว่าอะไร) รสชาติเฉย ๆ บ้านเราอร่อยกว่า
จากนั้นก็ไปไหว้พระที่วัดหลงซาน วิธีการเดินทางคือ นั่ง MRT สายสีน้ำเงิน ลงสถานี Longshan Temple ทางออก 1
ด้วยความที่ไม่ใช่สายมูใด ๆ เดินชมวัดเสร็จบ่ายแก่ ๆ ก็ชวนกันกลับโรงแรม ระหว่างทางก็ถ่ายบรรยากาศบ้านเมืองของเขามาให้ดูครับ
ทางเท้าสะอาด ร่มรื่น และกว้างมาก ๆ อยากให้ที่บ้านเรามีแบบนี้บ้างจัง
พรุ่งนี้เราต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งรถไฟความเร็วสูงไปฟาร์มแกะ Qingjing Farm คืนนี้เลยรีบเข้านอนกันแต่หัวค่ำ
Day 3: Qingjing Farm
เราตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งรถไฟความเร็วสูง THSR จากสถานี Taipei ไปลงสถานี Taichung ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เราจองตั๋วผ่านเว็บไซต์ล่วงหน้าเลยได้ส่วนลด 10% และต้องไปรับตั๋วและจองที่นั่งก่อนจะเดินทางนะครับ
เมื่อถึงสถานี Taichung ออกจากชานชาลาแล้วให้เดินมาที่ทางออก 5 จะมีเคาน์เตอร์ของ Nantou Bus อยู่ชั้นล่าง เป็นจุดขายตั๋วรถบัส และขาย Pass สำหรับไป Qingjing Farm (รถไปฟาร์มแกะออกจากสถานีไถจงเวลา 8:50 am, 9:35 am, 10:15 am, และ 11:35 am) แนะนำให้ซื้อ Pass นะครับ คำนวณแล้วคุ้มกว่าซื้อแยก พาสหน้าตาประมาณนี้ครับ
จากไถจงไป Qingjing Farm ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง มีหยุดพักรถที่เมือง Puri ประมาณ 5 -10 นาที พวกเราไปถึงชิงจิ้งประมาณเที่ยงนิด ๆ เราพักที่ Spring Ground B & B ราคาคืนละ 3,600 บาท/3 คน ฝากกระเป๋าเสร็จแล้วพนักงานที่โรงแรมก็ขับรถไปไปส่งที่ศูนย์อาหาร กินข้าวเสร็จแล้วจึงเดินย่อยอาหารกันที่ฟาร์มแกะ ก่อนจะเดินต่อไปที่ skywalk ซึ่งอยู่ติดกัน ระยะทางเดินจากสกายวอล์กค่อนข้างไกลและไม่มีทางออกระหว่างทาง แนะนำว่าควรจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เกิดปวดฉี่ขึ้นมา "จะกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง" นะครับ
กลางคืนที่นี่อากาศหนาวเอาเรื่องอยู่ที่เดียว มื้อค่ำพวกเรากินชาบูร้อน ๆ ในโรงแรมเลยเพราะร้านอาหารค่อนข้างหายาก และเดินทางไม่ค่อยสะดวก
Day 4: Sun Moon Lake
ตื่นเช้าขึ้นมาที่โรงแรมมีอาหารเช้าเป็นข้าวต้มกุ๊ยแบบไต้หวัน ซึ่งจริง ๆ ก็คล้าย ๆ บ้านเรานั่นแหละ เพียงแต่อาหารประเภทผัดบางอย่างต่างกัน โดยรวมผมชอบนะ รสชาติดี ไม่หวานและเค็มเกินไปเหมือนบ้านเรา
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางไปทะเลสาบสุริยันจันทรากันต่อ โดยพวกเราได้จองรถมินิบัสให้มารับที่หน้าโรงแรมไว้ล่วงหน้าตอนอยู่เมืองไทย ผ่านทางเว็บ kkday (ต้องขอโทษที่ผมจำราคาไม่ได้ว่าจ่ายไปคนละเท่าไหร่นะครับ) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงทะเลสาบสุริยันจันทรา เราจัดแจงเอากระเป๋าไปฝากที่โรงแรม Shui Sha Lian Hotel ราคาคืนละ 4,355 บาท/ 3 คน โรงแรมนี้ทำเลดีมากครับ อยู่ติดท่าเรือที่จะล่องเรือในทะเลสาบเลย
หลังจากฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม พวกเราก็รีบไปซื้อพาสสำหรับล่องเรือและขึ้นกระเช้าที่เคาน์เตอร์ใกล้ ๆ โรงแรม เมื่อได้พาสแล้วก็เริ่มล่องเรือชมทะเลสาบกันเลย
จุดแรกที่เรือจอดคือท่า Xuanguang Pier ท่านี้มีวัดพระถังซัมจั๋ง (Xuanguang Temple) อยู่ข้างบน เป็นวัดเล็ก ๆ แต่ร่มรื่น เดินเล่นเพลิน ๆ อากาศเย็น ๆ ถือเป็นการพักผ่อนที่ดีมากเลยทีเดียวครับ
จากนั้นเราก็ไปขึ้นเรือ เพื่อจะไปท่าเรือ Ita Thao ซึ่งที่ท่าเรือนี้เราสามารถนั่ง Ropeway (Cable Car) ได้ และข้างบนจะมี Formosan Aboriginal Culture Village ซึ่งเป็นศูนย์การแสดงโชว์ของชาวเขาและคนพื้นถิ่น แต่พวกเราไม่ได้ไปชมนะครับ ก่อนขึ้นกระเช้าพวกเราหาอะไรกินรองท้องที่ตลาดติดท่าเรือกันก่อน
สังเกตว่าที่ไต้หวันมีหลายร้านทำนกฮูกแบบนี้ขาย ไม่แน่ใจว่ามีความหมายหรือเกี่ยวข้องกันยังไงกับคนพื้นถิ่นนี้
หลังจากลงจากกระเช้า พวกเราชวนกันนั่งรถบัสไปวัดอีกวัดนึงที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ตอนนั่งกระเช้า มารู้ทีหลังว่าที่นั่นเรียกว่า Ci-en Pagoda เป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม 8 ชั้น ทางเดินขึ้นไปถึงเจดีย์เป็นถนนเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก ร่มรื่นเพราะมีต้นไม้ปกคลุมเต็มพื้นที่ อากาศก็เย็นสบาย เดินไปคุยกันไปกับเพื่อน ๆ แป๊บเดียวก็ถึง
บันไดวนของเจดีย์
วิวทะเลสาบจากบนยอดเจดีย์ฉือเอิน
จากนั้นพวกเราก็นั่งรถบัสกลับมาที่ท่าเรือ Ita Thao เพื่อนั่งเรือกลับไปโรงแรม เที่ยวเหนื่อยทั้งวัน หลังจากกินข้าวมื้อค่ำ ทุกคนคือหลับเป็นตาย เดี๋ยวมาต่อวันที่เหลือนะครับ คืนนี้ไม่ไหวแล้ว ง่วงมาก ขอนอนก่อน