สวัสดีเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ วันนี้เรามีปัญหาหนึ่งที่เราคิดไม่ตกว่ามันดีหรือไม่ดี นั่นก็คือ "เราใจเย็นเกินไปหรือเปล่านะ?"
นี่แหละค่ะปัญหาที่เรากำลังประสบพบเจออยู่ในตอนนี้
ต้องขอเกริ่นก่อนว่าเราเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้เฟอร์เฟค และไม่ใช่คนที่ดีเลิศ เราเองก็มีรอยรั่วอยู่มาก และต้องพัฒนาทัศนคติอีกเยอะ
ขอเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
ปัญหาของเราคือ เราไม่สามารถชั่งน้ำหนักได้ว่าสถานการณ์ไหนควรเด็ดขาด สถานการณ์ไหนควรที่จะใจเย็น เรากลับเป็นคนที่ระงับความไม่พอใจของตัวเองไว้เสมอ จนหลายๆคนที่อยู่รอบตัวเราไม่เกรงใจเราเลย และมองว่า "เราใจดี จะทำอะไรก็ได้" ซึ่งเราคิดว่ามันดีอยู่นะที่เราพยายามไม่ปะทะคารมณ์กับใคร และพยายามใจเย็นเสมอในทุกๆสถานการณ์ จนหลายปีเข้า พฤติกรรมนั้นทำให้เรากลายเป็นคนใจเย็นจริงๆโดยที่ไม่ต้องพยายามข่มใจ
รบกวนเพื่อนๆอ่านสถานการณืที่เราเจอมาแล้วช่วยกันออกความคิดเห็นหน่อยว่า เราควรปรับตัวเองยังไงให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ
ตัวอย่างสดๆร้อนๆที่เราเจอมาก็คือ เพื่อนร่วมงานไม่ยอมทำงานเอกสารและนอนในเวลางาน ซึ่งเอกสารนั้นเราจะต้องเก็บรวบรวมในอีก 20 นาที และมีเพื่อนร่วมงานยังไม่ได้ส่งเอกสารนั้นให้เรา เราเลยเดินไปที่โต๊ะของเขา ปรากฎว่าเอกสารที่เราให้เขาไปเมื่อนานมาแล้ว ยังวางอยู่ตรงชั้นวางเอกสารของเขา ซึ่งยังไม่มีการกรอกรายละเอียดในเอกสารแม้แต่ประโยคเดียว ซ้ำร้ายเขายังหลับในเวลาทำงาน เราเลยจำเป็นต้องไปสะกิดบอกให้เขารีบทำก่อนที่จะโดนหัวหน้าด่า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เขาตื่นขึ้นมาและทำสีหน้าไม่พอใจ ซ้ำยังหยิบปากกาปาอัดใส่โต๊ะของตัวเองจนกระเด็นมาโดนเราที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ซึ่งเราก็ตกใจกับการกระทำนั้น เขาด่าพึมพัมต่างๆนาๆใส่เรา ว่า

บ้าง อีนั่นอีนี่บ้าง แต่แทนที่เราจะโกรธและด่ากลับสักหน่อยให้รู้บ้างว่าเวลางานไม่ใช่เวลานอน แต่เรากลับพูดแค่ว่า "ถ้าคุณอึดอัดใจหรือไม่พึงใจที่จะทำงานร่วมกันกับเรา ก็อดทนไว้นะคะ กัดฟันไว้ สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีด้วยนะคะ" แล้วเราก็หัวเราะหึๆ แล้วเดินออกมาจากตรงนั้นโดยตัดสินใจว่าถ้าเขาทำเอกสารไม่ทันก็เป็นปัญหาของเขาไม่ใช่ปัญหาของเรา เราก็ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งๆที่สถานการณ์นี้ต้องมีวางมวยกันบ้างแหละ แต่เรากลับไม่รู้สึกว่าจะต้องโกรธ ต้องด่าให้เจ็บกันไปข้าง แอบมีหงุดหงิดนิดๆที่เขาไม่มีความรับผิดชอบ แต่ไม่ถึงกับโกรธ หรือโมโหร้ายเลยค่ะ เราเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ดีแล้วที่พูดแบบนั้นแต่ก็เสียดาย เพราะเราควรจะด่าพนักงานคนนั้นบ้าง มีหลายคนบอกว่า เราร้ายมากที่พูดแบบนั้น เพราะถ้าเขาเป็นคนฟังเขาอยากจะลุกขึ้นมาตบเราให้จบๆไปเลย แต่เราก็ไม่เข้าใจ เพราะสิ่งที่เราพูดไปล้วนเป็นความจริง เพราะถ้าไม่พอใจ ก็ต้องอดทนไว้ บางคนก็บอกว่าเสียดาย ถ้าเป็นตัวเขา เขาจะตบ ตามประสาสาวแรงๆ
หรือจะเป็นอีกเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาทำงานเป็นทีม ทุกคนวีนกันหมดเพราะงานต้องส่งในอีก 2 วันแต่สมาชิกในทีมดันเข้าใจงานผิดหมด กล่าวคือ เป็นการทำงานที่ขาดการสื่อสาร 100% ทำให้ทุกคนเข้าใจลักษณะงานไม่เหมือนกัน และงานเริ่มทำไปแล้ว แต่ดันไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามที่มันควรจะเป็น ซึ่งสถานการณ์ตอนนั้นเราเองก็หงุดหงิดเพราะทุกคนพยายามบอกว่าตัวเองไม่ผิด และพยายามโยนความผิดให้กับคนที่ออกแบบงาน ซึ่งเรามองว่ามันแย่มากๆ เพราะในตอนที่คนออกแบบถามความคิดเห็นไม่มีใครเสนอหรือคัดค้าน แต่พอมาทำจริงๆ ดันไปโทษคนออกแบบคนเดียว ซึ่งเพื่อนคนนั้นทำหน้าทำตาจะร้องไห้แล้ว เราเลยต้องเป็นคนเจรจา แล้วรีเซทเนื้องานใหม่ทั้งหมด ซึ่งวีนทั้งทีม แต่คนที่วีนที่สุดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ช่วย แต่ดันวีนเพราะตัวตัวเองจะเสียผลประโยชน์ ในเหตุการณ์นั้นเรากลับเป็นคนเดียวที่ใจเย็นแล้วค่อยๆเรียบเรียงความคิดเห็นแล้วสรุป แต่ก็เข้าใจอะเนอะ อีกสองวันต้องนำเสนอแต่งานต้องเซทใหม่หมด
จากสถานการณ์ตัวอย่างเหล่านี้ในชีวิตเรา เรารู้ตัวว่าการเป็นคนใจเย็นและนิ่งในสถานการณ์ต่างๆเป็นเรื่องที่ดี แต่เราสงสัยเสมอว่า เราเป็นคนที่ใจเย็นเกินไปหรือเปล่า อิงจากสถานการณ์ที่เพื่อนร่วมงานปาปากกาใส่และพึงพัมด่าเราซึ่งๆหน้า เราเริ่มไม่แน่ใจว่าเราใจเย็นจนเฉื่อยชาเกินไปหรือเปล่าเท่านั้นเอง
คนที่มีประสบการณ์ชีวิตหรือมีข้อคิดเห็นเสนอเข้ามาได้นะคะ จะรับฟังและเอาไปปรับใช้ และต้องบอกไว้ก่อนว่าสถานการณ์ที่เราพิมพ์ไปนั้น อันแรกเป็นสถานการณ์ในที่ทำงานที่เราพึ่งเจอมา ส่วนสถานการณ์ที่สองเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่เรายังเรียนอยู่ปี.1
หรือเราจะใจเย็นมากเกินไป???
นี่แหละค่ะปัญหาที่เรากำลังประสบพบเจออยู่ในตอนนี้
ต้องขอเกริ่นก่อนว่าเราเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้เฟอร์เฟค และไม่ใช่คนที่ดีเลิศ เราเองก็มีรอยรั่วอยู่มาก และต้องพัฒนาทัศนคติอีกเยอะ
ขอเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
ปัญหาของเราคือ เราไม่สามารถชั่งน้ำหนักได้ว่าสถานการณ์ไหนควรเด็ดขาด สถานการณ์ไหนควรที่จะใจเย็น เรากลับเป็นคนที่ระงับความไม่พอใจของตัวเองไว้เสมอ จนหลายๆคนที่อยู่รอบตัวเราไม่เกรงใจเราเลย และมองว่า "เราใจดี จะทำอะไรก็ได้" ซึ่งเราคิดว่ามันดีอยู่นะที่เราพยายามไม่ปะทะคารมณ์กับใคร และพยายามใจเย็นเสมอในทุกๆสถานการณ์ จนหลายปีเข้า พฤติกรรมนั้นทำให้เรากลายเป็นคนใจเย็นจริงๆโดยที่ไม่ต้องพยายามข่มใจ
รบกวนเพื่อนๆอ่านสถานการณืที่เราเจอมาแล้วช่วยกันออกความคิดเห็นหน่อยว่า เราควรปรับตัวเองยังไงให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆ
ตัวอย่างสดๆร้อนๆที่เราเจอมาก็คือ เพื่อนร่วมงานไม่ยอมทำงานเอกสารและนอนในเวลางาน ซึ่งเอกสารนั้นเราจะต้องเก็บรวบรวมในอีก 20 นาที และมีเพื่อนร่วมงานยังไม่ได้ส่งเอกสารนั้นให้เรา เราเลยเดินไปที่โต๊ะของเขา ปรากฎว่าเอกสารที่เราให้เขาไปเมื่อนานมาแล้ว ยังวางอยู่ตรงชั้นวางเอกสารของเขา ซึ่งยังไม่มีการกรอกรายละเอียดในเอกสารแม้แต่ประโยคเดียว ซ้ำร้ายเขายังหลับในเวลาทำงาน เราเลยจำเป็นต้องไปสะกิดบอกให้เขารีบทำก่อนที่จะโดนหัวหน้าด่า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เขาตื่นขึ้นมาและทำสีหน้าไม่พอใจ ซ้ำยังหยิบปากกาปาอัดใส่โต๊ะของตัวเองจนกระเด็นมาโดนเราที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ซึ่งเราก็ตกใจกับการกระทำนั้น เขาด่าพึมพัมต่างๆนาๆใส่เรา ว่า
หรือจะเป็นอีกเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาทำงานเป็นทีม ทุกคนวีนกันหมดเพราะงานต้องส่งในอีก 2 วันแต่สมาชิกในทีมดันเข้าใจงานผิดหมด กล่าวคือ เป็นการทำงานที่ขาดการสื่อสาร 100% ทำให้ทุกคนเข้าใจลักษณะงานไม่เหมือนกัน และงานเริ่มทำไปแล้ว แต่ดันไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามที่มันควรจะเป็น ซึ่งสถานการณ์ตอนนั้นเราเองก็หงุดหงิดเพราะทุกคนพยายามบอกว่าตัวเองไม่ผิด และพยายามโยนความผิดให้กับคนที่ออกแบบงาน ซึ่งเรามองว่ามันแย่มากๆ เพราะในตอนที่คนออกแบบถามความคิดเห็นไม่มีใครเสนอหรือคัดค้าน แต่พอมาทำจริงๆ ดันไปโทษคนออกแบบคนเดียว ซึ่งเพื่อนคนนั้นทำหน้าทำตาจะร้องไห้แล้ว เราเลยต้องเป็นคนเจรจา แล้วรีเซทเนื้องานใหม่ทั้งหมด ซึ่งวีนทั้งทีม แต่คนที่วีนที่สุดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ช่วย แต่ดันวีนเพราะตัวตัวเองจะเสียผลประโยชน์ ในเหตุการณ์นั้นเรากลับเป็นคนเดียวที่ใจเย็นแล้วค่อยๆเรียบเรียงความคิดเห็นแล้วสรุป แต่ก็เข้าใจอะเนอะ อีกสองวันต้องนำเสนอแต่งานต้องเซทใหม่หมด
จากสถานการณ์ตัวอย่างเหล่านี้ในชีวิตเรา เรารู้ตัวว่าการเป็นคนใจเย็นและนิ่งในสถานการณ์ต่างๆเป็นเรื่องที่ดี แต่เราสงสัยเสมอว่า เราเป็นคนที่ใจเย็นเกินไปหรือเปล่า อิงจากสถานการณ์ที่เพื่อนร่วมงานปาปากกาใส่และพึงพัมด่าเราซึ่งๆหน้า เราเริ่มไม่แน่ใจว่าเราใจเย็นจนเฉื่อยชาเกินไปหรือเปล่าเท่านั้นเอง
คนที่มีประสบการณ์ชีวิตหรือมีข้อคิดเห็นเสนอเข้ามาได้นะคะ จะรับฟังและเอาไปปรับใช้ และต้องบอกไว้ก่อนว่าสถานการณ์ที่เราพิมพ์ไปนั้น อันแรกเป็นสถานการณ์ในที่ทำงานที่เราพึ่งเจอมา ส่วนสถานการณ์ที่สองเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่เรายังเรียนอยู่ปี.1