พ่อม่าย-แม่ม่าย ใครกลัวมีครอบครัวใหม่อีกคร้ั้ง จนปฎิเสธความรักดีๆ ไปบ้างครับ ? แล้วเสียใจไหมที่ตัดสินใจแบบนั้น

ชีวิตเหมือนมาถึงจุดเปลี่ยนที่ต้องคิดหนักอีกครั้ง ผมอายุย่าง 45 คนคุยย่าง 41

คนคุยที่แต่แรกตกลงกันว่าจะเป็นแค่คนคุยเฉยๆ  มีสัมพันธ์กัน แต่ไม่ผูกมัด ไม่เปิดตัว ไม่แต่งงาน ไม่สร้างครอบครัว  วันไหนรู้สึกอิ่มตัวก็แยกย้ายกันไป

แต่ช่วงนี้เธอเริ่มพูดถึงเรื่อง แต่งงาน มีลูกบ่อยๆ จากพูดเล่นๆ เริ่มถามแบบจริงจัง  จากถามแบบจริงจัง เริ่มไม่คุมกำเนิด และเริ่มทีเล่นทีจริงให้ปล่อยในได้

เมื่อไม่ได้ก็เริ่มกระเง้ากระงอด ประชดว่าไม่เคยพลาดเลยนะ  -ระยะปลอดภัยไม่ปลอดภัยผมก็ไม่ปล่อย -  เริ่มรู้สึกได้ถึงความซีเรียสในบรรยากาศเลย T-T

แต่ผมเคยมีครอบครัวมาแล้ว ล้มเหลวยับๆมาแล้ว เคยมีลูกสาวมาแล้ว 1 คนด้วยกับภรรยาเก่า ทุกวันนี้ก็ส่งเสียอยู่

ลึกๆไม่อยากสร้างครอบครัว เกี่ยวดองกับใคร หรือแม้กระทั่งเริ่มเลี้ยงเด็กเล็กๆใหม่ในอายุเท่านี้ วางแผนเกษียณอย่างอิสระในชีวิตบั้นปลายไว้แล้วด้วย

ส่วนคนคุยตอนแรกก็ตั้งใจอย่างนั้น  แต่เหมือนเธอเป็นคนเปลี่ยนความตั้งใจกลางคัน 

ระหว่างผมกับเธออาจถือเป็นความสัมพันธ์ดีๆ ที่เข้ากันได้ทุกอย่าง อยู่ด้วยกันมีความสุขดีมาก  ถ้าไม่นับความต่างทางสังคมที่ต่างกันเกิน

เรื่องอื่นๆก็ถือว่าเข้ากันได้ดีหมด  พัฒนาเป็นความรักดีๆครั้งหนึ่งได้เลย ผมไม่ปฎิเสธว่าอยู่กับเธอแล้ว Happy

แต่พอเริ่มมีเรื่องการแต่งงานสร้างครอบครัว ผมกลับกังวลลึกๆไม่มีความสุข  รู้สึกไม่อยากกลับไปจุดนั้น เหมือนหวงอิสระตัวเอง แต่ก็ห่วงความรู้สึกเธอ

บอกอ้อมๆ บอกตรงๆหลายครั้งแล้ว เหมือนจะเข้าใจ แต่พอเผลอๆก็เอาอีกละ พูดเรื่องนี้อีกละ คงแตกหักเข้าซักวัน

ควรปฎิเสธอย่างเด็ดขาด  ยอมเสียใจทั้งสองฝ่ายแล้วจบกันไป  หรือควรปรับใจตัวเองให้เลิกกลัวการมีครอบครัวแล้วเริ่มใหม่ทำใจให้สบายๆดี

สังคมต่างกันมากแล้วไง หน้าด้านหน้าทนอย่าสนใคร  คนเราจะอยู่อีกกี่ปี ใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่ามาแคร์ขี้ปากคน

หรือยึดตามแนวทางเดิมที่ตั้งใจและวางแผนไว้แล้วดี

พ่อม่าย แม่ม่ายคนไหนเคยมีจุดนี้ในชีวิตบ้างครับ  สุดท้ายท่านตัดสินใจยังไง ?  เคยปฎิเสธความรัก (ที่คิดว่าดีๆ) ที่เข้ามาเพราะหวงโสดกันไหมครับ ?

แล้วผลลัพธ์ที่ได้เป็นยังไง
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
มา Update นะครับ สดๆร้อนๆ หลังจากปิดห้องคุย อย่างมีวุฒิภาวะ โตๆกันแล้ว  ได้ข้อสรุปว่า

1. สองฝ่ายยืนยันข้อตกลงแต่แรกตรงกัน เธอยอมรับว่าเธอเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลง (นิดนึง) เธอเคารพการตัดสินใจของผม ไม่ว่าอะไร แต่ recommend ว่าผมควรปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติบ้างก็ดี อย่าได้ Strict นักเลย
2. เรื่องมีลูก เธอบอกว่าเป็นเรื่องที่เธอคิดมานานแล้วก่อนเจอผมเสียอีก ว่าอาจจะมี ต่อให้เธอท้องกับสเปิร์มบริจาค เธอก็เคลียร์กับญาติๆได้  อย่าว่าแต่ท้องกับใครซักคนที่มีตัวตนจริง ฉะนั้น อย่าคิดเยอะ  มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
3. ด้วยศักยภาพของเธอ ไม่ว่าออกตาไหน เธอมั่นใจว่าเธอ Handle  ได้หมด โดยไม่มีใครต้องเจ็บตัว ต้องเสียใจ อย่าได้กังวลแทน เธอไม่ได้บอบบางขนาดนั้น
4. เราไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น มีเรื่องหนึ่งที่ฉันคิดว่าเธออาจเก่งกว่าฉัน คือ ดนตรี ในระยะเวลาฝึกเท่ากันฉันยังทำไม่ได้เท่าเธอ อนาคตเธออาจเก่งกว่าฉํนก้เป็นได้ (นี้ไม่แน่ใจว่าเป็นคำพูดสไตล์จิตวิทยาผู้บริหารรึเปล่านะ )
5. ถ้าห่างหายกันไปแล้ว ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หลังเธอตาย ขอให้แวะมาบรรเลงเพลงที่ชอบให้ฟังหน่อยได้มั๊ย รู้นะว่าเพลงอะไร ในฐานะสหายทางดนตรี  ถ้าเธอตายก่อนฉํนก็จะไปบรรเลงให้เธอเช่นกัน ( นอกจากคนคุย แล้ว ผมยังเป็นคู่เล่นดนตรีกับเธอด้วย เป็นอีกเหตุผลที่ได้ใช้เวลาด้วยกันทุกสุดสัปดาห์ คือเล่นด้วยกัน  มี Plan จะไปเรียนเพิ่มเติมที่เมืองจีนด้วยกัน แล้วกลับมาเปิดสำนักดนตรีบำบัด สำหรับผู้ยากไร้ หรือ เด็กๆที่สนใจ ฟรี จำนวนจำกัด อะไรประมาณนั้น ( ตอนผมมาเรียนเครื่องดนตรีนี้กับเธอครั้งแรกก็มาเรียนด้วยโปร ดนตรีบำบัดสำหรับผู้มีปัญหาชีวิต )

เอิ่ม...ข้อสุดท้ายนี้สงสัยเธอดูโฆษณาปู่ชิวมากไป  ผมควรจะขำ แต่ขำไม่ออกกับข้อนี้แหละ... มันรู้สึกใจหาย เศร้าอย่างบอกไม่ถูก  พอหลังจากทานมื้อค่ำ ผมเลยบอกเธอว่า OK  เราเลิกเป็นคนคุย แล้วเป็นแฟนกันเถอะ ทุกอย่างปล่อยไปตามธรรมชาติ ไม่ว่าเรื่องลูก เรื่องแต่งงาน เรื่องหน้าตาทางสังคม อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด  ผมทุ่มเททั้งชีวิต ความรักทั้งหมดเพื่อลูกคนแรกได้ ถ้ามีลูกอีกผมคิดว่าผมคงรักได้ไม่น้อยกว่าคนแรก

นี้คงเป็นกระทู้สุดท้ายของ Login นี้แล้วล่ะครับ ขอบคุณสำหรับที่พักใจระยะหนึ่ง ก็นานเหมือนกันปีกว่าๆ  ถึงเวลาต้องรับผิดชอบต่อความเป็นจริงแล้ว

ขอบคุณทุกความเห็นสำหรับคำแนะนำต่างๆครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่