สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
มา Update นะครับ สดๆร้อนๆ หลังจากปิดห้องคุย อย่างมีวุฒิภาวะ โตๆกันแล้ว ได้ข้อสรุปว่า
1. สองฝ่ายยืนยันข้อตกลงแต่แรกตรงกัน เธอยอมรับว่าเธอเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลง (นิดนึง) เธอเคารพการตัดสินใจของผม ไม่ว่าอะไร แต่ recommend ว่าผมควรปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติบ้างก็ดี อย่าได้ Strict นักเลย
2. เรื่องมีลูก เธอบอกว่าเป็นเรื่องที่เธอคิดมานานแล้วก่อนเจอผมเสียอีก ว่าอาจจะมี ต่อให้เธอท้องกับสเปิร์มบริจาค เธอก็เคลียร์กับญาติๆได้ อย่าว่าแต่ท้องกับใครซักคนที่มีตัวตนจริง ฉะนั้น อย่าคิดเยอะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
3. ด้วยศักยภาพของเธอ ไม่ว่าออกตาไหน เธอมั่นใจว่าเธอ Handle ได้หมด โดยไม่มีใครต้องเจ็บตัว ต้องเสียใจ อย่าได้กังวลแทน เธอไม่ได้บอบบางขนาดนั้น
4. เราไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น มีเรื่องหนึ่งที่ฉันคิดว่าเธออาจเก่งกว่าฉัน คือ ดนตรี ในระยะเวลาฝึกเท่ากันฉันยังทำไม่ได้เท่าเธอ อนาคตเธออาจเก่งกว่าฉํนก้เป็นได้ (นี้ไม่แน่ใจว่าเป็นคำพูดสไตล์จิตวิทยาผู้บริหารรึเปล่านะ )
5. ถ้าห่างหายกันไปแล้ว ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หลังเธอตาย ขอให้แวะมาบรรเลงเพลงที่ชอบให้ฟังหน่อยได้มั๊ย รู้นะว่าเพลงอะไร ในฐานะสหายทางดนตรี ถ้าเธอตายก่อนฉํนก็จะไปบรรเลงให้เธอเช่นกัน ( นอกจากคนคุย แล้ว ผมยังเป็นคู่เล่นดนตรีกับเธอด้วย เป็นอีกเหตุผลที่ได้ใช้เวลาด้วยกันทุกสุดสัปดาห์ คือเล่นด้วยกัน มี Plan จะไปเรียนเพิ่มเติมที่เมืองจีนด้วยกัน แล้วกลับมาเปิดสำนักดนตรีบำบัด สำหรับผู้ยากไร้ หรือ เด็กๆที่สนใจ ฟรี จำนวนจำกัด อะไรประมาณนั้น ( ตอนผมมาเรียนเครื่องดนตรีนี้กับเธอครั้งแรกก็มาเรียนด้วยโปร ดนตรีบำบัดสำหรับผู้มีปัญหาชีวิต )
เอิ่ม...ข้อสุดท้ายนี้สงสัยเธอดูโฆษณาปู่ชิวมากไป ผมควรจะขำ แต่ขำไม่ออกกับข้อนี้แหละ... มันรู้สึกใจหาย เศร้าอย่างบอกไม่ถูก พอหลังจากทานมื้อค่ำ ผมเลยบอกเธอว่า OK เราเลิกเป็นคนคุย แล้วเป็นแฟนกันเถอะ ทุกอย่างปล่อยไปตามธรรมชาติ ไม่ว่าเรื่องลูก เรื่องแต่งงาน เรื่องหน้าตาทางสังคม อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมทุ่มเททั้งชีวิต ความรักทั้งหมดเพื่อลูกคนแรกได้ ถ้ามีลูกอีกผมคิดว่าผมคงรักได้ไม่น้อยกว่าคนแรก
นี้คงเป็นกระทู้สุดท้ายของ Login นี้แล้วล่ะครับ ขอบคุณสำหรับที่พักใจระยะหนึ่ง ก็นานเหมือนกันปีกว่าๆ ถึงเวลาต้องรับผิดชอบต่อความเป็นจริงแล้ว
ขอบคุณทุกความเห็นสำหรับคำแนะนำต่างๆครับ
1. สองฝ่ายยืนยันข้อตกลงแต่แรกตรงกัน เธอยอมรับว่าเธอเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลง (นิดนึง) เธอเคารพการตัดสินใจของผม ไม่ว่าอะไร แต่ recommend ว่าผมควรปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติบ้างก็ดี อย่าได้ Strict นักเลย
2. เรื่องมีลูก เธอบอกว่าเป็นเรื่องที่เธอคิดมานานแล้วก่อนเจอผมเสียอีก ว่าอาจจะมี ต่อให้เธอท้องกับสเปิร์มบริจาค เธอก็เคลียร์กับญาติๆได้ อย่าว่าแต่ท้องกับใครซักคนที่มีตัวตนจริง ฉะนั้น อย่าคิดเยอะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
3. ด้วยศักยภาพของเธอ ไม่ว่าออกตาไหน เธอมั่นใจว่าเธอ Handle ได้หมด โดยไม่มีใครต้องเจ็บตัว ต้องเสียใจ อย่าได้กังวลแทน เธอไม่ได้บอบบางขนาดนั้น
4. เราไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น มีเรื่องหนึ่งที่ฉันคิดว่าเธออาจเก่งกว่าฉัน คือ ดนตรี ในระยะเวลาฝึกเท่ากันฉันยังทำไม่ได้เท่าเธอ อนาคตเธออาจเก่งกว่าฉํนก้เป็นได้ (นี้ไม่แน่ใจว่าเป็นคำพูดสไตล์จิตวิทยาผู้บริหารรึเปล่านะ )
5. ถ้าห่างหายกันไปแล้ว ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หลังเธอตาย ขอให้แวะมาบรรเลงเพลงที่ชอบให้ฟังหน่อยได้มั๊ย รู้นะว่าเพลงอะไร ในฐานะสหายทางดนตรี ถ้าเธอตายก่อนฉํนก็จะไปบรรเลงให้เธอเช่นกัน ( นอกจากคนคุย แล้ว ผมยังเป็นคู่เล่นดนตรีกับเธอด้วย เป็นอีกเหตุผลที่ได้ใช้เวลาด้วยกันทุกสุดสัปดาห์ คือเล่นด้วยกัน มี Plan จะไปเรียนเพิ่มเติมที่เมืองจีนด้วยกัน แล้วกลับมาเปิดสำนักดนตรีบำบัด สำหรับผู้ยากไร้ หรือ เด็กๆที่สนใจ ฟรี จำนวนจำกัด อะไรประมาณนั้น ( ตอนผมมาเรียนเครื่องดนตรีนี้กับเธอครั้งแรกก็มาเรียนด้วยโปร ดนตรีบำบัดสำหรับผู้มีปัญหาชีวิต )
เอิ่ม...ข้อสุดท้ายนี้สงสัยเธอดูโฆษณาปู่ชิวมากไป ผมควรจะขำ แต่ขำไม่ออกกับข้อนี้แหละ... มันรู้สึกใจหาย เศร้าอย่างบอกไม่ถูก พอหลังจากทานมื้อค่ำ ผมเลยบอกเธอว่า OK เราเลิกเป็นคนคุย แล้วเป็นแฟนกันเถอะ ทุกอย่างปล่อยไปตามธรรมชาติ ไม่ว่าเรื่องลูก เรื่องแต่งงาน เรื่องหน้าตาทางสังคม อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมทุ่มเททั้งชีวิต ความรักทั้งหมดเพื่อลูกคนแรกได้ ถ้ามีลูกอีกผมคิดว่าผมคงรักได้ไม่น้อยกว่าคนแรก
นี้คงเป็นกระทู้สุดท้ายของ Login นี้แล้วล่ะครับ ขอบคุณสำหรับที่พักใจระยะหนึ่ง ก็นานเหมือนกันปีกว่าๆ ถึงเวลาต้องรับผิดชอบต่อความเป็นจริงแล้ว
ขอบคุณทุกความเห็นสำหรับคำแนะนำต่างๆครับ
แสดงความคิดเห็น
พ่อม่าย-แม่ม่าย ใครกลัวมีครอบครัวใหม่อีกคร้ั้ง จนปฎิเสธความรักดีๆ ไปบ้างครับ ? แล้วเสียใจไหมที่ตัดสินใจแบบนั้น
คนคุยที่แต่แรกตกลงกันว่าจะเป็นแค่คนคุยเฉยๆ มีสัมพันธ์กัน แต่ไม่ผูกมัด ไม่เปิดตัว ไม่แต่งงาน ไม่สร้างครอบครัว วันไหนรู้สึกอิ่มตัวก็แยกย้ายกันไป
แต่ช่วงนี้เธอเริ่มพูดถึงเรื่อง แต่งงาน มีลูกบ่อยๆ จากพูดเล่นๆ เริ่มถามแบบจริงจัง จากถามแบบจริงจัง เริ่มไม่คุมกำเนิด และเริ่มทีเล่นทีจริงให้ปล่อยในได้
เมื่อไม่ได้ก็เริ่มกระเง้ากระงอด ประชดว่าไม่เคยพลาดเลยนะ -ระยะปลอดภัยไม่ปลอดภัยผมก็ไม่ปล่อย - เริ่มรู้สึกได้ถึงความซีเรียสในบรรยากาศเลย T-T
แต่ผมเคยมีครอบครัวมาแล้ว ล้มเหลวยับๆมาแล้ว เคยมีลูกสาวมาแล้ว 1 คนด้วยกับภรรยาเก่า ทุกวันนี้ก็ส่งเสียอยู่
ลึกๆไม่อยากสร้างครอบครัว เกี่ยวดองกับใคร หรือแม้กระทั่งเริ่มเลี้ยงเด็กเล็กๆใหม่ในอายุเท่านี้ วางแผนเกษียณอย่างอิสระในชีวิตบั้นปลายไว้แล้วด้วย
ส่วนคนคุยตอนแรกก็ตั้งใจอย่างนั้น แต่เหมือนเธอเป็นคนเปลี่ยนความตั้งใจกลางคัน
ระหว่างผมกับเธออาจถือเป็นความสัมพันธ์ดีๆ ที่เข้ากันได้ทุกอย่าง อยู่ด้วยกันมีความสุขดีมาก ถ้าไม่นับความต่างทางสังคมที่ต่างกันเกิน
เรื่องอื่นๆก็ถือว่าเข้ากันได้ดีหมด พัฒนาเป็นความรักดีๆครั้งหนึ่งได้เลย ผมไม่ปฎิเสธว่าอยู่กับเธอแล้ว Happy
แต่พอเริ่มมีเรื่องการแต่งงานสร้างครอบครัว ผมกลับกังวลลึกๆไม่มีความสุข รู้สึกไม่อยากกลับไปจุดนั้น เหมือนหวงอิสระตัวเอง แต่ก็ห่วงความรู้สึกเธอ
บอกอ้อมๆ บอกตรงๆหลายครั้งแล้ว เหมือนจะเข้าใจ แต่พอเผลอๆก็เอาอีกละ พูดเรื่องนี้อีกละ คงแตกหักเข้าซักวัน
ควรปฎิเสธอย่างเด็ดขาด ยอมเสียใจทั้งสองฝ่ายแล้วจบกันไป หรือควรปรับใจตัวเองให้เลิกกลัวการมีครอบครัวแล้วเริ่มใหม่ทำใจให้สบายๆดี
สังคมต่างกันมากแล้วไง หน้าด้านหน้าทนอย่าสนใคร คนเราจะอยู่อีกกี่ปี ใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่ามาแคร์ขี้ปากคน
หรือยึดตามแนวทางเดิมที่ตั้งใจและวางแผนไว้แล้วดี
พ่อม่าย แม่ม่ายคนไหนเคยมีจุดนี้ในชีวิตบ้างครับ สุดท้ายท่านตัดสินใจยังไง ? เคยปฎิเสธความรัก (ที่คิดว่าดีๆ) ที่เข้ามาเพราะหวงโสดกันไหมครับ ?
แล้วผลลัพธ์ที่ได้เป็นยังไง