ภูกระดึงคนเดียว(ก็ได้ว๊าา)
#บทนำ
เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินคำนี้
" ภูกระดึง พิสูจน์รักแท้" ย้อนไปเมื่อ 11ปีที่แล้วเรามีความเชื่อแบบนี้ค่ะถ้าเรารักใคร คนๆ นั้นต้องพร้อมลำบากไปกับเราและการไปภูกระดึงนี่แหละคือสิ่งที่จะทดสอบได้ว่าคนๆ นี้รักเราจริงหรือเปล่า
ซึ่งฟังดูแล้วโคตรจะไม่มีเหตุผลเลยว่ามะ 555ใช่
แต่ตอนนั้นเราคิดแบบนั้นจริงๆค่ะ
ช่วงนั้นอายุ19ปี มีแฟนค่ะ อร๊ายยย ออกแนวรักใสๆหัวใจพองโตอยู่มหาลัยเดียวกันเขาเป็นรุ่นพี่แต่เรียนคนละคณะ ทีนี้พอคบกันไปเลยหาเวลาว่างไปขึ้นภูกระดึงด้วยกันครั้งแรก
โดยวางแพลนไว้ไปเคาท์ดาวในวันสิ้นปีพอดีนับเป็นช่วงเวลาที่ดีเลยใช่ม๊า~~
ยังคงจำช่วงเวลาดีๆเหล่านั้นได้มันยังคงอยู่ภายในใจ
เราสองคนนั่งจับมือกันและจุดไฟเย็นพร้อมกับนับถอยหลัง 5..4..3..2..1...สวัสดีปีใหม่ค่ะ ^^
ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วพูดว่า"มีความสุขมากๆนะ"
เราส่งยิ้มและมองหน้าเค้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก เป็นความรู้สึกที่ฉันรักคนๆนี้จังเลยขอบคุณที่อยู่ตรงนี้และขอให้เป็นแบบนี้ " ต ล อ ด ไ ป"
ช่วงเวลาการทำความรู้จักความรักของวัยหนุ่มสาว
แน่นอนว่ามันย่อมมีการคาดหวัง จนลืมไปว่าการคบกัน
แค่ "รัก"อย่างเดียวไม่พอ
เวลาผ่านไป~~จากการไปขึ้นภูกระดึงด้วยกันไปกับเพื่อนที่มีแฟน 3 คู่ ปัจจุบันบทสรุป "เ ลิ ก กั น " ทุกคู่ค่ะ
เรานี่แบบ ห่ะ นี่ไม่ใช่รักแท้หรอกหรอ นั่นไงรู้งี้ไม่ไปภูกระดึงหรอกด้วยความที่ตอนนั้นยังเป็นเป็นเด็กน้อย
เลยตั้งคำถามและโทษไปเสียทุกสิ่งแต่พอโตขึ้นถึงได้เข้าใจว่า "ภูกระดึง ไม่ได้พิสูจน์รักแท้ค่ะ"
การคบกันจนเกิดความรักขึ้นอยู่กับคนสองคนว่ารักกันมากพอรึเปล่าและให้เกียรติกันมากพอรึเปล่า
ที่สำคัญรักกัน "เท่ากัน"รึเปล่า ปรับจูนนิสัยเพื่อรักษากันไว้คบกันไปจนแก่เฒ่าและตายจากกันนั่นต่างหากละคือรักแท้
พอความรักครั้งนั้นจบลงไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร
เรามองว่าทุกอย่างเกิดขึ้นล้วนดีเสมอ
ตัดภาพมาที่ตอนนี้ "ปัจุบัน" อายุ 30ก็ยังคงสถานะโสด
ที่มีแนวคิดเกี่ยวกับความรักว่า "รักของเราต้องไม่ใช่ทุกข์ ถ้ารู้สึกว่ารักใครแล้วทุกข์ใจ เราจะไม่รักเพราะหัวใจเรามีพื้นที่ให้กับความสุขเท่านั้น"
"จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงโสดและใช้ชีวิตคนเดียวได้"
และการพาตัวตัวเองไปภูกระดึงคนเดียวในครั้งนี้จะ
เรียกว่าเป็นการพิสูจน์รักแท้ที่มีต่อตัวเราเองก็ได้นะ
____เดินทางกันเถอะค่ะ____
วันที่ 3 ธค.2566 เวลา 04.30 น.
ติ้ดๆๆๆๆ ( เสียงนาฬิกาปลุก )
.... หญิงสาวใส่ชุดนอนลายหมีพูซึ่งนอนอยู่บนที่นอนในห้องของพี่สาวมีอาการงัวเงีย ใบหน้าของเขาดูยู่ยี่ด้วยอาการของคนที่ไม่อยากตื่นนอน == ^
แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่า "หวายยย ไม่ได้แล้วๆ ได้เวลาตื่นของวรรณนิภาแล้วค๊าาา~~"
จากนั้นก็รีบดีดตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนพลันก็คิดว่า
"วันนี้แล้ว วันนี้แล้วสินะที่เราจะได้ไปภูกระดึงคนเดียว!!
ฮือออ ตื่นเต้นจังเลยค่ะเป็นการไปภูกระดึงครั้งแรกคนเดียวแบบนี้ไปคนเดียวก็สวยคนเดียวสิ หว๊าาาา
อ่อ ก่อนสวยต้องรีบไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนโน๊ะ ^0^ "
เวลา 05.20 น.
เตรียมตัวเดินทางโดยมีคนขับรถประจำตัวให้นั่นคือ
พี่สาวของเราเองค๊าา~~ เหตุผลที่พี่สาวต้องไปส่งนั้นเพราะว่านั่งนี่มันไม่ยอมขัดขับรถค่ะคุณผู้ชม
>< แหะๆ ก็มันกลัวนี่นา
ระหว่างที่อยู่ในรถนั้นสองพี่น้องก็คุยกันพี่สาวจะบอกเสมอว่าไปเที่ยวให้ดูแลตัวเองดีๆ ห้ามซุ่มซ่าม อย่าไปในที่อันตรายเช็คยาให้เรียบร้อย ถึงแล้วโทรรายงานพ่อกับแม่ด้วยถ้าเดินแล้วหอบหรือคิดว่าไม่ไหวอย่าฝืน
กินอะไรให้ระวัง อย่ากินของหมักดอง บลาๆๆๆ เราก็ได้แต่บอกว่า " ค่ะๆ รับทราบค่ะ"
จะไม่ซุ่มซ่าม ไม่เดินสะดุด ไม่กลิ้งลงเขา ไม่กินของหมักดอง แต่หมูกะทะเธอเสร็จฉันแน่ หุหุ
พอขับรถมาสักพักก็ถึงอุทยานแล้วค่ะ เราเตรียมตัว เตรียมของจ่ายค่าเข้าและค่าบริการที่ต้องจ่ายทั้งหมดเรียบร้อย ตั้งงบในการมาเที่ยวครั้งนี้3500บาท
เจอค่าลูกหาบขาขึ้นไป 500 บาท วั้ยยย><
คิดในใจเงินจะพอซื้อของกินมั้ยน้อออ ไม่เป็นไรถ้าเกินงบค่อย "ยืมเงินตัวเอง " เรายืมเงินตัวเองบ่อยค่ะคืนบ้างไม่คืนบ้าง แฮร่ !!
เวลา 07.20 น. เริ่มเดินค่ะ
ระหว่างทางเดินขึ้นภูกระดึงมีต้นไม้คอยให้ร่มเงาตลอดทางเรารู้สึกตื่นเต้นค่ะและกลัวว่าจะเดินไหวม้ย
เพราะก่อนหน้ามีเวลาซ้อมขาออกกำลังกายแค่เดือนกว่าๆ แต่อีกใจนึงก็ฮึดสู้เพราะเรามีเป้าหมายว่าจะต้องเดินโดยถึงที่หมายคือหลังแป ภายในเวลา6 ชม.
ชุดที่เราใส่ในวันเดินขึ้นนั้นก็จะเป็นกางเกงออกกำลังกาย สปอร์ตบรา เสือแขนยาวกัน UV รองเท้าผ้าใบ
(ใช้รองเท้าสำหรับวิ่ง) และกระเป๋าเป้น้อยสะพายหลังที่เต็มไปด้วยของกินเจ้าค่ะ ^^
เวลาเดินขึ้นเราใส่หูฟัง ฟังเพลงไปด้วยสายตามองดูต้นไม้ ท้องฟ้า โขดหินและผู้คน วันนี้คนเดินขึ้นไม่ค่อยเยอะค่ะ บ้างก็มากันเป็นกลุ่มเพื่อน บ้างก็มากับครอบครัว
มีนักเดินป่าตัวน้อยอายุน่าจะ 10_11 ขวบหลายคนเลยค่ะ
ช่วงแรกๆที่เดินก็รู้สึกเพลิดเพลินดีนะคะ แต่พอเข้าสู่เนินที่จะถึงซำแฮก วรรณนิภาเริ่มหอบค่ะ เหงื่อออกเยอะมากกก เริ่มมีอาการเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด
แต่ขายังก้าวไหวอยู่ในใจแอบคิด
"ฉันมาทำอะไรที่นี่~~ ทำไมฉันไม่นอนอยู่บ้าน
เอาตัวเองมาลำบากทำมั้ยเนี่ยยย!! "
คือบ่นให้ตัวเองจ้า5555 แต่อีกใจก็คิดว่า
"ไม่สิ เรามาแล้วเราตั้งใจไว้แล้ว
อย่าเป็นคนโลเล ล้มเลิกอะไรกลางคันมันดูไม่น่าเชื่อถือ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง"
อะพออีกใจคิดแบบนี้ได้ก็ เอาวะ!
ฮึบบบบบ และก้าวขานับ 6..7..8..9..10
ก้าวไปเรื่อยๆ จนถึง ซำแฮก เย้!!
ซำแฮกแล้วค่ะทุกคนพักดมยาดมและกินน้ำ
ที่ขาดไม่ได้คือ แตงโมค่ะ เรารีบเดินไปหาคนขาย
" ป้าคะ แตงโม2 ชิ้นเย็นๆ ค๊าา" แล้วก็นั่งกินแตงโมที่เสื่อ เป็นการกินแตงโมที่อร่อยมากกกกก
มีวิวสวยๆให้ดู ลมพัดกระทบหน้าละรู้สึกสดชื่นมากเลยค่ะ อากาศบริสุทธิ์ ท้องฟ้าครามเห็นก้อนเมฆเล็กๆ
แดดอ่อนๆ ไม่ร้อนเลยค่ะ
สูดอากาศให้เต็มปอดและรู้สึกว่า " หิว" ค่ะ ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้ทานมื้อเช้า ขอเวลากินข้าวก่อนนะคะ เดี๋ยวพาเดินทางต่อ พบกันใหม่ในEp หน้ากับพาตัวเองไปภูกระดึง กับEp 2 ระหว่างทางค่ะ บะบูยยยย
EP 2 ระหว่างทาง
หลังจากที่กินข้าวที่ซำแฮกเสร็จเราก็ได้ทำการเดินต่อค่ะ ความรู้สึกเหนื่อยล้าไม่มีแล้วค่ะ มีแต่ความตื่นเต้นและอยากรู้ว่าข้างหน้าเราจะเดินไปเจออะไรบ้าง
มีของอร่อยรอเราอยู่มั้ยน๊า~~ เค้าก็ยังคงเน้นของกินนะคะ ^0^ เดินไปประมาณ1 กม.เอาละทีนี้เริ่มเหนื่อยและร้อนค่ะเพราะว่าเหงื่อออกเยอะมากเลยตัดสินใจถอดเสื้อแขนยาวแล้วเอาผ้าคลุมไหล่สีเขียวมาตลุมแทน เพื่ออากาศจะได้ถ่ายเท
ระหว่างทางเดินเริ่มเห็นวิวสูงๆ ชัดขึ้น มีโขดหินขนาดใหญ่ประปรายค่ะแล้วเราก็เดินผ่านหินที่คาดว่านักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเอามาเรียงต่อกันไว้
เป็นชั้น มีพี่คนนึงเดินผ่านเราเขาบอกว่ากองหินนี้ขอพรได้นะ เอาก็เอ๊ะ ได้ด้วยหรออออ ไอ้เราก็สายมูซะด้วยซิ
ทำการยกมือไหว้อธิฐานในใจว่า
"ขอให้ลูกช้าง โอ๊ะไม่สิเราลูกคนเอาใหม่ๆ ขอให้ช้าพเจ้า
พบเจอแต่ความสุขระหว่างทาง
เดินป่าอย่างปลอดภัย และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองรักษาธรรมชาติที่สวยงามแห่งนี้ให้อยู่คู่กับมนุษย์ยั่งยืนตลอดไปนะคะ สาธุเพี้ยงงง "
พอขอพรเสร็จเราก็เดินต่อค่ะ
พยายามก้าวขาให้ยาวๆและโน้มตัวไปข้างหน้าทางก็เริ่มชั้นขึ้นเรื่อยๆ มีทางราบไม่กี่เมตรค่ะ เราก็ได้สังเกตุเห็นลวดที่ขึงไว้ในบางจุดคาดว่ามีไว้เพื่อป้องกันช้างป่า
ไม่ให้เขามาเดินตรงนี้เพราะเป็นทางเดินขึ้นไปยังหลังแป
เดินไปอีกนิดเจอป้าย"โปรดระวังช้างป่า" เท่าที่เราหาข้อมูลมาช้างป่าที่นี่มีบางตัวที่นิสัยดุร้าย
แต่ในเมื่อเราเลือกที่จะเข้ามาในบ้านของเขาแล้วเราทำได้แค่ระวังและหลีกเลี่ยงค่ะเพื่อให้เกิดความเสียหายหรืออันตรายน้อยที่สุด เราก็ได้แต่คิดว่าหวังว่าเราจะไม่
จ๊ะเอ๋กันนะพี่ใหญ่(ช้าง)
ในหัวเราก็คิดอะไรไปเพลินๆ พร้อมกับเดินใส่หูฟัง
ฟังเพลงไปเรื่อยๆ แต่ก็คิดเพลินและฟังเพลงได้ไม่นานค่ะ เพราะอาการเหนื่อยหอบเริ่มมาและเหงื่อเยอะขึ้นมากกว่าปกติ ตัดสินใจนั่งพักก่อนสัก10นาที
ตอนนั้นรู้สึกกลัวมากค่ะ กลัวว่าตัวเองจะถอดใจและเดินกลับ โทรเรียกให้พี่สาวมารับแบบว่า
"มารับฉันโหน่ยยยย ไม่ไหวแล้วค่าบบบ งี้"
แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไปเมื่อเรามองไปเห็นคุณตาวัย
60 ปีที่เดินมาพร้อมกับคุณยายที่อายุน่าจะไล่เลี่ยกัน
ทั้งคู่ต่างพากันค่อยเดินและพูดให้กำลังใจกันว่า
"เดินไปเรื่อยๆ อย่างระวังเดี๋ยวก็ถึงนะคุณ" สายตาที่ทั้งคู่มองกันแบบว่าดูรักและเชื่อมั่นที่สำคัญดูอุ่นมากเลยค่ะ
เรามองอย่างชื่นชม คุณตาส่งยิ้มให้เราพร้อมกับพูดว่า
"ทำถูกแล้วหนู เหนื่อยก็นั่งพักก่อนพร้อมแล้วค่อยเดิน"
เราได้ยินแบบนี้รู้สึกใจฟูมากเลยค่ะ เราส่งยิ้มแล้วขอบคุณพร้อมกับพูดและชูสองนิ้วว่า
" โอเคค่ะ!! หนูจะสู้!" พอฮึดสู้อีกครั้งก็แอบบ่นให้ตัวเอง
เนี่ยเห็นมะคุณตาคุณยายอายุก็มากเค้ายังไม่ถอดใจ
ตัดภาพมาที่เธอ 30 ปีค๊าาา ถอดใจแล้วหรอ ไม่ได้ๆ
ต่อไปนี้ฉันจะไม่ถอดใจเด็ดขาดและตั้งใจเดินต่อ
เวลา 08.30 น. ถึงซำบอนแล้วก็เดินอีก20นาทีถึงซำก่อซาง ^0^ เย้ๆ ถึงซำก่อซางแย้ววว
ซึ่งเหลืออีกกี่ซำจำไม่ได้ละความเหนื่อยที่มีทำให้ข้อมูลที่
ศึกษามาหายไปหม๊ดดด เลยเจ้าค่ะ ==^
พอถึงก่อซางเราก็นั่งพักเหนื่อยรอบนี้ไม่กินค่ะ
หมายถึงไม่กินแตงโมแต่กินไอติมแทน หุหุ เป็นการกินไอติมที่อร่อยมากกก กินไปนั่งดูเพื่อนร่วมทางนั่งหอบไป
ซึ่งแต่ละคนก็มีอาการไม่ต่างกันค่ะ ฮ่าๆ
ทีนี้รู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่างพอนึกขึ้นได้ก็หยิบขึ้นมาจากข้างในกระเป๋า "กระจก " ใช่แล้วค่ะกระจกเราเอามาส่องหน้าตัวเองเพื่อเช็คความสวย แบบว่าเดินมาขนาดนี้แล้ว เหงื่อออกหน้าก็เยอะคิ้วตรูยังอยู่ครบมั้ยฟ่ะ
เป็นผญ.สายลุยก็จริงค่ะแต่มีความติดสวยอยู่ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยสวยอะนะ 555 แกงตัวเองแป๊ป
โอเค๊ ~~ พอเช็คดูละคิ้วครบ หน้าไม่ดำ ปากไม่ซีด
สวยละค่ะ งั้นเดินทางไปต่อกันเล้ยยยย
ระหว่างผ่านร้านค้าขายของแม่ค้าพูดขึ้นว่า
"คนสวยยังไม่มีหมวกเลยนี่มาดูหมวกร้านป้ามั้ย "
แค่ได้ยินคำว่าคนสวยเท่านั้นแหละค่ะ วรรณนิภารีบตรงปรี่ไปที่ร้านหาป้ากันเลยทีเดียว ^///^
" เอาหมวกใบนี้ค่ะ "และเขาก็ได้ทำการจ่ายเงินชำระสินค้าเรียบร้อย เย้ได้หมวกแล้ว ทีนี้ใส่หมวกเดินต่อ
เดินไปสักพักเจอน้องแมวค่ะ งุ้ยยย น่ารักมาก
เราเลยแวะทักทายแป๊ปนึง
"สวัสดีเจ้าคือแมวป่าใช่มั้ยเพราะเจ้าอยู่ในป่านี่นา~~"
ความสามารถพิเศษสื่อสารกับแมวรู้เรื่อง ฮ่าๆ
เวลา 09.00 เดินทางถึงพร่านพรานแปเรารีบเดินมากค่ะไม่ค่อยแวะพักเหนื่อยเพราะต้องทำเวลา
อีก440 เมตรเราก็ถึงซำกกหว้า จุดซำกกหว้ารู้สึกว่ามีต้นไม้ขนาดใหญ่เยอะขึ้นและทางเดินเริ่มชันมีขั้นบันใดหลายจุดค่ะ มีร้านค้าของกินเยอะมากค่ะ
แล้วก็เริ่มเห็นนักท่องเที่ยวที่เดินขาลงเขาเพื่อกลับบ้านค่ะ หลายคนส่งยิ้มให้ละทักท้ายพร้อมกับบอกว่า
" สู้ๆ นะคะ ใกล้ถึงแล้ว" เราก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยใกล้ถึงแล้วนี่ว่า เอ้าาาฮึบบบ เดินต่อค่ะ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าใกล้ถึงแล้วไม่มีอยู่จริง 5555 เดินไปสักพักได้ยินเสียงเพลง
" ก็พอเวลาเรารักๆ จริงมันมาไม่จริงเมื่อตอนเธอมาทิ้งไป " ใช่แล้วค่ะ เพลงของพี่เบิร์ตที่พี่ลูกหาบเป็นคนเปิด
เราเลยเกิดความคิดว่า เดินตามหลังพี่ลูกหาบไปเล้ยยย
มีเพลงให้ฟังด้วยชิลสุดๆ มีแอบร้องเพลงไปกับเขาด้วยนะเดี๋ยวแปะคลิปท้ายคอมเมนท์ค่ะ
เวลา 09.20นาทีเดินทางถึงซำกดโดนค่ะ
เหนื่อยมากกกก ตอนเดินคนที่ลงมาสวนทางกะเราก็บอก "อีกนิดเดียวค่ะ อีกนิด " เรานี่แทบงื้อออ ถึงได้อะยัง
แต่ก็ฮึดสู้ค่ะ อาศัยดูธรรมชาติรอบๆ ทำให้ช่วยให้หายเหนื่อยขึ้นเยอะเลยค่ะ และเดินต่ออีก20นาทีถึงซำแคร่ค่ะ เป็นซำสุดท้ายที่โหดที่สุดบันใดคือสูงมากกก
ใจเราเต้นขาสั่นมากเลยค่ะจังหวะก้าวขาขึ้นบันใดก่อนถึงหลังแป แต่ใจเราก็คือสู้มากยิ่งสัมผัสถึงอากาศเย็นเนื่องจากรู้แล้วว่าอยู่ในระดับสูง และมองดูวิวลมกระทบหน้าเหมือนธรรมชาติกำลังบอกเราว่า
"เธอใกล้ทำสำเร็จแล้วนะ" เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆค่ะ
แชร์ประสบการณ์ไปเที่ยวภูกระดึงคนเดียว
#บทนำ
เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินคำนี้
" ภูกระดึง พิสูจน์รักแท้" ย้อนไปเมื่อ 11ปีที่แล้วเรามีความเชื่อแบบนี้ค่ะถ้าเรารักใคร คนๆ นั้นต้องพร้อมลำบากไปกับเราและการไปภูกระดึงนี่แหละคือสิ่งที่จะทดสอบได้ว่าคนๆ นี้รักเราจริงหรือเปล่า
ซึ่งฟังดูแล้วโคตรจะไม่มีเหตุผลเลยว่ามะ 555ใช่
แต่ตอนนั้นเราคิดแบบนั้นจริงๆค่ะ
ช่วงนั้นอายุ19ปี มีแฟนค่ะ อร๊ายยย ออกแนวรักใสๆหัวใจพองโตอยู่มหาลัยเดียวกันเขาเป็นรุ่นพี่แต่เรียนคนละคณะ ทีนี้พอคบกันไปเลยหาเวลาว่างไปขึ้นภูกระดึงด้วยกันครั้งแรก
โดยวางแพลนไว้ไปเคาท์ดาวในวันสิ้นปีพอดีนับเป็นช่วงเวลาที่ดีเลยใช่ม๊า~~
ยังคงจำช่วงเวลาดีๆเหล่านั้นได้มันยังคงอยู่ภายในใจ
เราสองคนนั่งจับมือกันและจุดไฟเย็นพร้อมกับนับถอยหลัง 5..4..3..2..1...สวัสดีปีใหม่ค่ะ ^^
ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วพูดว่า"มีความสุขมากๆนะ"
เราส่งยิ้มและมองหน้าเค้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก เป็นความรู้สึกที่ฉันรักคนๆนี้จังเลยขอบคุณที่อยู่ตรงนี้และขอให้เป็นแบบนี้ " ต ล อ ด ไ ป"
ช่วงเวลาการทำความรู้จักความรักของวัยหนุ่มสาว
แน่นอนว่ามันย่อมมีการคาดหวัง จนลืมไปว่าการคบกัน
แค่ "รัก"อย่างเดียวไม่พอ
เวลาผ่านไป~~จากการไปขึ้นภูกระดึงด้วยกันไปกับเพื่อนที่มีแฟน 3 คู่ ปัจจุบันบทสรุป "เ ลิ ก กั น " ทุกคู่ค่ะ
เรานี่แบบ ห่ะ นี่ไม่ใช่รักแท้หรอกหรอ นั่นไงรู้งี้ไม่ไปภูกระดึงหรอกด้วยความที่ตอนนั้นยังเป็นเป็นเด็กน้อย
เลยตั้งคำถามและโทษไปเสียทุกสิ่งแต่พอโตขึ้นถึงได้เข้าใจว่า "ภูกระดึง ไม่ได้พิสูจน์รักแท้ค่ะ"
การคบกันจนเกิดความรักขึ้นอยู่กับคนสองคนว่ารักกันมากพอรึเปล่าและให้เกียรติกันมากพอรึเปล่า
ที่สำคัญรักกัน "เท่ากัน"รึเปล่า ปรับจูนนิสัยเพื่อรักษากันไว้คบกันไปจนแก่เฒ่าและตายจากกันนั่นต่างหากละคือรักแท้
พอความรักครั้งนั้นจบลงไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร
เรามองว่าทุกอย่างเกิดขึ้นล้วนดีเสมอ
ตัดภาพมาที่ตอนนี้ "ปัจุบัน" อายุ 30ก็ยังคงสถานะโสด
ที่มีแนวคิดเกี่ยวกับความรักว่า "รักของเราต้องไม่ใช่ทุกข์ ถ้ารู้สึกว่ารักใครแล้วทุกข์ใจ เราจะไม่รักเพราะหัวใจเรามีพื้นที่ให้กับความสุขเท่านั้น"
"จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงโสดและใช้ชีวิตคนเดียวได้"
และการพาตัวตัวเองไปภูกระดึงคนเดียวในครั้งนี้จะ
เรียกว่าเป็นการพิสูจน์รักแท้ที่มีต่อตัวเราเองก็ได้นะ
____เดินทางกันเถอะค่ะ____
วันที่ 3 ธค.2566 เวลา 04.30 น.
ติ้ดๆๆๆๆ ( เสียงนาฬิกาปลุก )
.... หญิงสาวใส่ชุดนอนลายหมีพูซึ่งนอนอยู่บนที่นอนในห้องของพี่สาวมีอาการงัวเงีย ใบหน้าของเขาดูยู่ยี่ด้วยอาการของคนที่ไม่อยากตื่นนอน == ^
แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่า "หวายยย ไม่ได้แล้วๆ ได้เวลาตื่นของวรรณนิภาแล้วค๊าาา~~"
จากนั้นก็รีบดีดตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนพลันก็คิดว่า
"วันนี้แล้ว วันนี้แล้วสินะที่เราจะได้ไปภูกระดึงคนเดียว!!
ฮือออ ตื่นเต้นจังเลยค่ะเป็นการไปภูกระดึงครั้งแรกคนเดียวแบบนี้ไปคนเดียวก็สวยคนเดียวสิ หว๊าาาา
อ่อ ก่อนสวยต้องรีบไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนโน๊ะ ^0^ "
เวลา 05.20 น.
เตรียมตัวเดินทางโดยมีคนขับรถประจำตัวให้นั่นคือ
พี่สาวของเราเองค๊าา~~ เหตุผลที่พี่สาวต้องไปส่งนั้นเพราะว่านั่งนี่มันไม่ยอมขัดขับรถค่ะคุณผู้ชม
>< แหะๆ ก็มันกลัวนี่นา
ระหว่างที่อยู่ในรถนั้นสองพี่น้องก็คุยกันพี่สาวจะบอกเสมอว่าไปเที่ยวให้ดูแลตัวเองดีๆ ห้ามซุ่มซ่าม อย่าไปในที่อันตรายเช็คยาให้เรียบร้อย ถึงแล้วโทรรายงานพ่อกับแม่ด้วยถ้าเดินแล้วหอบหรือคิดว่าไม่ไหวอย่าฝืน
กินอะไรให้ระวัง อย่ากินของหมักดอง บลาๆๆๆ เราก็ได้แต่บอกว่า " ค่ะๆ รับทราบค่ะ"
จะไม่ซุ่มซ่าม ไม่เดินสะดุด ไม่กลิ้งลงเขา ไม่กินของหมักดอง แต่หมูกะทะเธอเสร็จฉันแน่ หุหุ
พอขับรถมาสักพักก็ถึงอุทยานแล้วค่ะ เราเตรียมตัว เตรียมของจ่ายค่าเข้าและค่าบริการที่ต้องจ่ายทั้งหมดเรียบร้อย ตั้งงบในการมาเที่ยวครั้งนี้3500บาท
เจอค่าลูกหาบขาขึ้นไป 500 บาท วั้ยยย><
คิดในใจเงินจะพอซื้อของกินมั้ยน้อออ ไม่เป็นไรถ้าเกินงบค่อย "ยืมเงินตัวเอง " เรายืมเงินตัวเองบ่อยค่ะคืนบ้างไม่คืนบ้าง แฮร่ !!
เวลา 07.20 น. เริ่มเดินค่ะ
ระหว่างทางเดินขึ้นภูกระดึงมีต้นไม้คอยให้ร่มเงาตลอดทางเรารู้สึกตื่นเต้นค่ะและกลัวว่าจะเดินไหวม้ย
เพราะก่อนหน้ามีเวลาซ้อมขาออกกำลังกายแค่เดือนกว่าๆ แต่อีกใจนึงก็ฮึดสู้เพราะเรามีเป้าหมายว่าจะต้องเดินโดยถึงที่หมายคือหลังแป ภายในเวลา6 ชม.
ชุดที่เราใส่ในวันเดินขึ้นนั้นก็จะเป็นกางเกงออกกำลังกาย สปอร์ตบรา เสือแขนยาวกัน UV รองเท้าผ้าใบ
(ใช้รองเท้าสำหรับวิ่ง) และกระเป๋าเป้น้อยสะพายหลังที่เต็มไปด้วยของกินเจ้าค่ะ ^^
เวลาเดินขึ้นเราใส่หูฟัง ฟังเพลงไปด้วยสายตามองดูต้นไม้ ท้องฟ้า โขดหินและผู้คน วันนี้คนเดินขึ้นไม่ค่อยเยอะค่ะ บ้างก็มากันเป็นกลุ่มเพื่อน บ้างก็มากับครอบครัว
มีนักเดินป่าตัวน้อยอายุน่าจะ 10_11 ขวบหลายคนเลยค่ะ
ช่วงแรกๆที่เดินก็รู้สึกเพลิดเพลินดีนะคะ แต่พอเข้าสู่เนินที่จะถึงซำแฮก วรรณนิภาเริ่มหอบค่ะ เหงื่อออกเยอะมากกก เริ่มมีอาการเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด
แต่ขายังก้าวไหวอยู่ในใจแอบคิด
"ฉันมาทำอะไรที่นี่~~ ทำไมฉันไม่นอนอยู่บ้าน
เอาตัวเองมาลำบากทำมั้ยเนี่ยยย!! "
คือบ่นให้ตัวเองจ้า5555 แต่อีกใจก็คิดว่า
"ไม่สิ เรามาแล้วเราตั้งใจไว้แล้ว
อย่าเป็นคนโลเล ล้มเลิกอะไรกลางคันมันดูไม่น่าเชื่อถือ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง"
อะพออีกใจคิดแบบนี้ได้ก็ เอาวะ!
ฮึบบบบบ และก้าวขานับ 6..7..8..9..10
ก้าวไปเรื่อยๆ จนถึง ซำแฮก เย้!!
ซำแฮกแล้วค่ะทุกคนพักดมยาดมและกินน้ำ
ที่ขาดไม่ได้คือ แตงโมค่ะ เรารีบเดินไปหาคนขาย
" ป้าคะ แตงโม2 ชิ้นเย็นๆ ค๊าา" แล้วก็นั่งกินแตงโมที่เสื่อ เป็นการกินแตงโมที่อร่อยมากกกกก
มีวิวสวยๆให้ดู ลมพัดกระทบหน้าละรู้สึกสดชื่นมากเลยค่ะ อากาศบริสุทธิ์ ท้องฟ้าครามเห็นก้อนเมฆเล็กๆ
แดดอ่อนๆ ไม่ร้อนเลยค่ะ
สูดอากาศให้เต็มปอดและรู้สึกว่า " หิว" ค่ะ ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้ทานมื้อเช้า ขอเวลากินข้าวก่อนนะคะ เดี๋ยวพาเดินทางต่อ พบกันใหม่ในEp หน้ากับพาตัวเองไปภูกระดึง กับEp 2 ระหว่างทางค่ะ บะบูยยยย
EP 2 ระหว่างทาง
หลังจากที่กินข้าวที่ซำแฮกเสร็จเราก็ได้ทำการเดินต่อค่ะ ความรู้สึกเหนื่อยล้าไม่มีแล้วค่ะ มีแต่ความตื่นเต้นและอยากรู้ว่าข้างหน้าเราจะเดินไปเจออะไรบ้าง
มีของอร่อยรอเราอยู่มั้ยน๊า~~ เค้าก็ยังคงเน้นของกินนะคะ ^0^ เดินไปประมาณ1 กม.เอาละทีนี้เริ่มเหนื่อยและร้อนค่ะเพราะว่าเหงื่อออกเยอะมากเลยตัดสินใจถอดเสื้อแขนยาวแล้วเอาผ้าคลุมไหล่สีเขียวมาตลุมแทน เพื่ออากาศจะได้ถ่ายเท
ระหว่างทางเดินเริ่มเห็นวิวสูงๆ ชัดขึ้น มีโขดหินขนาดใหญ่ประปรายค่ะแล้วเราก็เดินผ่านหินที่คาดว่านักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเอามาเรียงต่อกันไว้
เป็นชั้น มีพี่คนนึงเดินผ่านเราเขาบอกว่ากองหินนี้ขอพรได้นะ เอาก็เอ๊ะ ได้ด้วยหรออออ ไอ้เราก็สายมูซะด้วยซิ
ทำการยกมือไหว้อธิฐานในใจว่า
"ขอให้ลูกช้าง โอ๊ะไม่สิเราลูกคนเอาใหม่ๆ ขอให้ช้าพเจ้า
พบเจอแต่ความสุขระหว่างทาง
เดินป่าอย่างปลอดภัย และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองรักษาธรรมชาติที่สวยงามแห่งนี้ให้อยู่คู่กับมนุษย์ยั่งยืนตลอดไปนะคะ สาธุเพี้ยงงง "
พอขอพรเสร็จเราก็เดินต่อค่ะ
พยายามก้าวขาให้ยาวๆและโน้มตัวไปข้างหน้าทางก็เริ่มชั้นขึ้นเรื่อยๆ มีทางราบไม่กี่เมตรค่ะ เราก็ได้สังเกตุเห็นลวดที่ขึงไว้ในบางจุดคาดว่ามีไว้เพื่อป้องกันช้างป่า
ไม่ให้เขามาเดินตรงนี้เพราะเป็นทางเดินขึ้นไปยังหลังแป
เดินไปอีกนิดเจอป้าย"โปรดระวังช้างป่า" เท่าที่เราหาข้อมูลมาช้างป่าที่นี่มีบางตัวที่นิสัยดุร้าย
แต่ในเมื่อเราเลือกที่จะเข้ามาในบ้านของเขาแล้วเราทำได้แค่ระวังและหลีกเลี่ยงค่ะเพื่อให้เกิดความเสียหายหรืออันตรายน้อยที่สุด เราก็ได้แต่คิดว่าหวังว่าเราจะไม่
จ๊ะเอ๋กันนะพี่ใหญ่(ช้าง)
ในหัวเราก็คิดอะไรไปเพลินๆ พร้อมกับเดินใส่หูฟัง
ฟังเพลงไปเรื่อยๆ แต่ก็คิดเพลินและฟังเพลงได้ไม่นานค่ะ เพราะอาการเหนื่อยหอบเริ่มมาและเหงื่อเยอะขึ้นมากกว่าปกติ ตัดสินใจนั่งพักก่อนสัก10นาที
ตอนนั้นรู้สึกกลัวมากค่ะ กลัวว่าตัวเองจะถอดใจและเดินกลับ โทรเรียกให้พี่สาวมารับแบบว่า
"มารับฉันโหน่ยยยย ไม่ไหวแล้วค่าบบบ งี้"
แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไปเมื่อเรามองไปเห็นคุณตาวัย
60 ปีที่เดินมาพร้อมกับคุณยายที่อายุน่าจะไล่เลี่ยกัน
ทั้งคู่ต่างพากันค่อยเดินและพูดให้กำลังใจกันว่า
"เดินไปเรื่อยๆ อย่างระวังเดี๋ยวก็ถึงนะคุณ" สายตาที่ทั้งคู่มองกันแบบว่าดูรักและเชื่อมั่นที่สำคัญดูอุ่นมากเลยค่ะ
เรามองอย่างชื่นชม คุณตาส่งยิ้มให้เราพร้อมกับพูดว่า
"ทำถูกแล้วหนู เหนื่อยก็นั่งพักก่อนพร้อมแล้วค่อยเดิน"
เราได้ยินแบบนี้รู้สึกใจฟูมากเลยค่ะ เราส่งยิ้มแล้วขอบคุณพร้อมกับพูดและชูสองนิ้วว่า
" โอเคค่ะ!! หนูจะสู้!" พอฮึดสู้อีกครั้งก็แอบบ่นให้ตัวเอง
เนี่ยเห็นมะคุณตาคุณยายอายุก็มากเค้ายังไม่ถอดใจ
ตัดภาพมาที่เธอ 30 ปีค๊าาา ถอดใจแล้วหรอ ไม่ได้ๆ
ต่อไปนี้ฉันจะไม่ถอดใจเด็ดขาดและตั้งใจเดินต่อ
เวลา 08.30 น. ถึงซำบอนแล้วก็เดินอีก20นาทีถึงซำก่อซาง ^0^ เย้ๆ ถึงซำก่อซางแย้ววว
ซึ่งเหลืออีกกี่ซำจำไม่ได้ละความเหนื่อยที่มีทำให้ข้อมูลที่
ศึกษามาหายไปหม๊ดดด เลยเจ้าค่ะ ==^
พอถึงก่อซางเราก็นั่งพักเหนื่อยรอบนี้ไม่กินค่ะ
หมายถึงไม่กินแตงโมแต่กินไอติมแทน หุหุ เป็นการกินไอติมที่อร่อยมากกก กินไปนั่งดูเพื่อนร่วมทางนั่งหอบไป
ซึ่งแต่ละคนก็มีอาการไม่ต่างกันค่ะ ฮ่าๆ
ทีนี้รู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่างพอนึกขึ้นได้ก็หยิบขึ้นมาจากข้างในกระเป๋า "กระจก " ใช่แล้วค่ะกระจกเราเอามาส่องหน้าตัวเองเพื่อเช็คความสวย แบบว่าเดินมาขนาดนี้แล้ว เหงื่อออกหน้าก็เยอะคิ้วตรูยังอยู่ครบมั้ยฟ่ะ
เป็นผญ.สายลุยก็จริงค่ะแต่มีความติดสวยอยู่ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยสวยอะนะ 555 แกงตัวเองแป๊ป
โอเค๊ ~~ พอเช็คดูละคิ้วครบ หน้าไม่ดำ ปากไม่ซีด
สวยละค่ะ งั้นเดินทางไปต่อกันเล้ยยยย
ระหว่างผ่านร้านค้าขายของแม่ค้าพูดขึ้นว่า
"คนสวยยังไม่มีหมวกเลยนี่มาดูหมวกร้านป้ามั้ย "
แค่ได้ยินคำว่าคนสวยเท่านั้นแหละค่ะ วรรณนิภารีบตรงปรี่ไปที่ร้านหาป้ากันเลยทีเดียว ^///^
" เอาหมวกใบนี้ค่ะ "และเขาก็ได้ทำการจ่ายเงินชำระสินค้าเรียบร้อย เย้ได้หมวกแล้ว ทีนี้ใส่หมวกเดินต่อ
เดินไปสักพักเจอน้องแมวค่ะ งุ้ยยย น่ารักมาก
เราเลยแวะทักทายแป๊ปนึง
"สวัสดีเจ้าคือแมวป่าใช่มั้ยเพราะเจ้าอยู่ในป่านี่นา~~"
ความสามารถพิเศษสื่อสารกับแมวรู้เรื่อง ฮ่าๆ
เวลา 09.00 เดินทางถึงพร่านพรานแปเรารีบเดินมากค่ะไม่ค่อยแวะพักเหนื่อยเพราะต้องทำเวลา
อีก440 เมตรเราก็ถึงซำกกหว้า จุดซำกกหว้ารู้สึกว่ามีต้นไม้ขนาดใหญ่เยอะขึ้นและทางเดินเริ่มชันมีขั้นบันใดหลายจุดค่ะ มีร้านค้าของกินเยอะมากค่ะ
แล้วก็เริ่มเห็นนักท่องเที่ยวที่เดินขาลงเขาเพื่อกลับบ้านค่ะ หลายคนส่งยิ้มให้ละทักท้ายพร้อมกับบอกว่า
" สู้ๆ นะคะ ใกล้ถึงแล้ว" เราก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยใกล้ถึงแล้วนี่ว่า เอ้าาาฮึบบบ เดินต่อค่ะ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าใกล้ถึงแล้วไม่มีอยู่จริง 5555 เดินไปสักพักได้ยินเสียงเพลง
" ก็พอเวลาเรารักๆ จริงมันมาไม่จริงเมื่อตอนเธอมาทิ้งไป " ใช่แล้วค่ะ เพลงของพี่เบิร์ตที่พี่ลูกหาบเป็นคนเปิด
เราเลยเกิดความคิดว่า เดินตามหลังพี่ลูกหาบไปเล้ยยย
มีเพลงให้ฟังด้วยชิลสุดๆ มีแอบร้องเพลงไปกับเขาด้วยนะเดี๋ยวแปะคลิปท้ายคอมเมนท์ค่ะ
เวลา 09.20นาทีเดินทางถึงซำกดโดนค่ะ
เหนื่อยมากกกก ตอนเดินคนที่ลงมาสวนทางกะเราก็บอก "อีกนิดเดียวค่ะ อีกนิด " เรานี่แทบงื้อออ ถึงได้อะยัง
แต่ก็ฮึดสู้ค่ะ อาศัยดูธรรมชาติรอบๆ ทำให้ช่วยให้หายเหนื่อยขึ้นเยอะเลยค่ะ และเดินต่ออีก20นาทีถึงซำแคร่ค่ะ เป็นซำสุดท้ายที่โหดที่สุดบันใดคือสูงมากกก
ใจเราเต้นขาสั่นมากเลยค่ะจังหวะก้าวขาขึ้นบันใดก่อนถึงหลังแป แต่ใจเราก็คือสู้มากยิ่งสัมผัสถึงอากาศเย็นเนื่องจากรู้แล้วว่าอยู่ในระดับสูง และมองดูวิวลมกระทบหน้าเหมือนธรรมชาติกำลังบอกเราว่า
"เธอใกล้ทำสำเร็จแล้วนะ" เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆค่ะ