เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา
โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส
อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺฐานา ฯ
- สิ่งเดียว ทางเดียว ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์
เพื่อล่วงโสกะปริเทวะ เพื่อความดับสนิทแห่งทุกขโทมนัส
เพื่อความรู้เห็นอันยิ่งยวด เพื่อแจ้งต่อพระนิพพาน มีเพียง สติปัฏฐาน ๔ เท่านั้น
กตเม จตฺตาโร ฯ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ
อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ
[ วิหรติ ] เป็นการแสดงถึงความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรมเครื่องอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็น กายในกายทั้งหลายอยู่
มีความเพียรแผดเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา(ยินดี)โทมนัส(ยินร้าย)ในโลกเสียได้
เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย
โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็น เวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่
มีความเพียรแผดเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา(ยินดี)โทมนัส(ยินร้าย)ในโลกเสียได้
จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย
โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็น จิตในจิตทั้งหลายอยู่
มีความเพียรแผดเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา(ยินดี)โทมนัส(ยินร้าย)ในโลกเสียได้
ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย
โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็น ธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่
มีความเพียรแผดเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา(ยินดี)โทมนัส(ยินร้าย)ในโลกเสียได้
ไม่ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก อุบาสก อุบาสิกา สาวก สัตว์ทุกรูปนาม เข้าถึงความบริสุทธิ์แห่งจิต ก็ด้วยทางแห่งเดียวนี้เท่านั้น คือ ดับนิวรณ์ ๕ เจริญสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สังเกต การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้ถูกต้องตามพระสูตร ครบรอบการภาวนาจริงๆ จะต้องมี ความเพียรที่คอยยับยั้ง อกุศลที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิด
อกุศลที่เกิดแล้วให้ดับไป กุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด(ญายะ) กุศลที่เกิดแล้วให้แจ้ง(นิพพานายะ) ซึ่งเป็นที่ประชุมของศีล อันเป็นเครื่องกั้น
และการมีความเพียร ประกอบ รักษาจิต เนืองๆ เพื่อ ประหารกิเลส เป็นเหตุปัจจัยต่อกัน เพราะฉะนั้น ความเพียรชอบสำคัญ เป็น สัมมัปปธาน สัมมาวายามะ
เมื่อใดมีสติเมื่อนั้นมีความเพียร ในทางกลับกันก็เช่นกัน เมื่อใดมีความเพียรเพื่อแผดเผากิเลส เมื่อนั้นก็เป็นเหตุให้เกิด สติ ระลึกรู้เนืองๆ --- อาตาปี
จัตตาโร สติปัฏฐานา ฐานใดก็ได้นั้น ไม่ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม มีความเพียรประกอบ หมั่นระลึกได้(สติ) รู้สึก(สัมปชัญญะ) ในอารมณ์ นั้นๆ เนืองๆ(วิหรติ)
เช่น อานาปานสติ ก็คือ สติที่เกิดจากการอาศัยการหายใจออก-หายใจเข้า ให้ทำความรู้สึกรู้ตามสติที่เกิด จากการอาศัยลมหายใจ ย้ำว่า รู้สึกที่สติเกิด-ดับ ไม่ใช่ที่ธาตุ สภาวะ รูจมูก ลมเป็นเส้นๆ ลมกระทบ(ซึ่งจะตกจาก อานาปานสติ อันเป็นปกติจิตของมนุษย์ที่จะรู้สติดับ) เป็นเพียงการรู้ตาม
ตัวสติเองก็จะเรียก สัมปชาโน เพราะ สติเกิด เปรียบเสมือน สภาวะรู้ ตื่นจากความหลับ หลังจากรู้ ก็รู้ตาม อาการรู้นั้นด้วย --- สัมปชาโน สติมา
ยกตัวอย่างอีกก็ได้ เช่น การตามเห็นเวทนาในเวทนา สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ตัวที่รู้ ว่า นี่สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ แยกแยะออกจากกัน ก็คือ สัมปชาโน
การตามเห็นจิตในจิต ก็จะเห็น จิตที่เป็นคู่ๆ จิตมีโมหะ ไม่มีโมหะ จิตมีโทสะ ไม่มีโทสะ การทราบชัด(ปชานาติ) ก็ด้วย สัมปชาโน แยกแยะ สภาวะ ออก
การตามเห็นธรรม นิวรณบรรพะ โพชฌงคบรรพะ สัจจะบรรพะ ก็เช่นกัน ต้องมี สัมปชัญญะประกอบ กับ สติ เพื่อเห็นแล้วระลึกรู้ คือ มีทั้งตัวที่เป็นสัมมาทิฏฐิ และ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ทำหน้าที่ ในการ แจ้งชัด สภาวะ ต่างๆ -- ทั้งหมด มีคำว่า ปชานาติ ซึ่งหมายถึง ย่อม รู้ชัด (ตามที่มันเป็น)
สิ่งที่ยกมา กำหนด อนุปัสสนา ทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่ เป็น ไปเพื่อให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เพื่อความรู้ชัด รู้ทั่วถึง ถึงสิ่งที่มันปรากฎ ให้เห็น สภาวะ ที่มันเป็นจริงๆ ก็เรียก ปชานาติ [ อาศัย สมฺปชาโน สติมา ] สัม ปชาโน/ปชานา ติ ปชาโน/ปชานา ปชญญะ เป็น ปัญญาที่รู้ทั่วถึง ฯลฯ สัมมาทิฏฐิ
[ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสานํ ] คือ กำจัดความยินดียินร้ายที่มีในโลกออกเสียได้
อันนี้ เป็นลำดับ จาก การมี """อาตาปี สมฺปชาโน สติมา""" มีความเพียรในการตามรู้ตามดูสภาวะต่างๆแล้ว ย่อมเห็น ความยินดี ยินร้าย ที่มีต่อสภาวะนั้นด้วย ในประโยคนี้เหมือนจะเป็นในส่วน ผล แต่จริงๆ ยังเป็นในส่วน มรรค อยู่ ส่วนใหญ่ไปตัดทิ้งเสียดื้อๆ ทำให้เข้าใจว่า จบแค่ มีสติ สัมปชัญญะ ก็จะกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้แล้ว แต่จริงๆ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสานํ คือ จุดสำคัญที่นำไปสู่การดับนิวรณ์ เพื่อ สัมมาสมาธิ ที่เป็นนิมิตให้เกิด
หากตัดทิ้งเสียดื้อๆ แล้วเข้าใจไปว่า ส่วนนี้เป็นส่วนผล ก็จะประมาท เผลอเรอไปในการมีสติสัมปชัญญะ ในการ รู้ชัด สภาวะ ต่างๆ ก็เจือไปด้วยความยินดีในสภาวะนั้น ยินร้าย ในสภาวะนั้น ทำให้เกิดปัญหา ผุดออกมาจาก นิวรณ์ เป็นอาหาร ไม่เลิก ก็จะหาคำตอบให้กับการภาวนาต่อไป สัลเลขา ไม่ได้
อภิชฌาและโทมนัส นี่แหละ ที่เป็นตัว ขัดขวาง สัมมาสติ ใน สติปัฏฐาน ๔ ความยินดีพอใจในสภาวะที่เกิด(แล้วไม่รู้อภิชฌานั้น ย่อมไม่นำออกเสียได้)
ความยินร้ายไม่ชอบใจในสภาวะนั้น(ไม่รู้โทมนัส ย่อมไม่นำออกเสียได้) ไม่รู้อาการยินดี ยินร้าย กับสภาวะต่างๆ ก็ย่อมไม่เห็นตามความเป็นจริง
ตรงนี้ สำคัญมากในสติปัฏฐาน เพราะถ้ารู้เท่าทัน ความยินดี ยินร้าย และนำออกซึ่งความยินดียินร้ายเสียได้(ซึ่งถ้ารู้ทัน มันจะนำออกได้เอง) ก็จะตามเห็น อนุปัสนา ๗ ได้ ตามเห็นความไม่เที่ยง ฯลฯ ความเป็นจริงของกายของใจได้ เพราะเราจะศึกษาความจริง สัจจะ ของ กายกับใจ ว่าแท้จริงแล้วไม่ได้มีสิ่งที่เห็นว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เป็นแต่เพียงความไม่เที่ยง เกิด-ดับ เห็นความเกิด เห็นความดับไปเป็นธรรมดา เห็นเหตุปัจจัยของการเกิดสภาวะต่างๆ
และจะเห็นได้ ก็เพราะ มี อาตาปี สัมปชาโน สติมา วิเนยย โลเก อภิชฌาโทมนัสสัง
อภิชฌาและโทมนัส ที่ดับไป นิวรณ์สงบระงับไป ก็ทำให้จิตตั้งมั่น เห็นตามความเป็นจริง
ต่างจาก จิตที่กลัดกลุ้มไปด้วยความยินดีพอใจและความยินร้ายไม่ชอบใจอึดอัดคับแคบ
ควร กำหนดรู้ยิ่งทุกอย่าง ( สำนวน พระสารีบุตร ) -- ใช้ได้กับ ทุกๆ ปฏิปทา ใน สติปัฏฐาน ทั้งสิ้น
สำนวน พระแถวๆ เมืองไข้ที่ชล คนใดที่ถูกเจียว จะให้จดจำวรรคทองไว้เท่านั้นพอแก่การหากิน
" มีสติ รู้กายรู้ใจ ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง "
ตรงที่ จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง นั่นแหละ คือ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนัสสัง อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเกิด สภาวะใดก็กำหนดรู้ไม่เอนเอียงไปตามความยินดียินร้ายที่เกิด กำหนดรู้ยิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็น
ขั้นยิ่งกว่า การรู้อย่างเป็นกลาง ด้วยจิตตั้งมั่น ได้บ่อยๆ แล้วนั้น ย่อมเห็น ความเกิด(สมุทย)บ้าง ความดับ(วย)บ้าง
ตามธรรมดาของจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพราะนิวรณ์นั้นดับ ย่อมเห็นตามความเป็นจริง ด้วยความเป็นกลาง
พอไม่หวงแหน ไม่ปรุงต่อ ไม่อยาก ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ก็กำหนดรู้อย่างที่มันเป็น รู้แล้วก็จบ รู้แล้วก็สักว่ารู้ว่าเห็น
สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา จิตฺตสฺมึ วิหรติ วยธมฺมานุปสฺสี วา
จิตฺตสฺมึ วิหรติ สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วา จิตฺตสฺมึ วิหรติ ฯ
อตฺถิ จิตฺตนฺติ วา ปนสฺส สติ ปจฺจุปฏฺฐิตา โหติ ยาวเทว ญาณมตฺตาย
ปฏิสฺสติมตฺตาย ฯ อนิสฺสิโต จ วิหรติ น จ กิญฺจิ โลเก
อุปาทิยติ ฯ เอวํ โข ภิกฺขเว ภิกฺขุ จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ ฯ
สติปรากฎ สักแต่ว่า จิตนี้มีอยู่ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา
สติก็ปรากฎเฉพาะสักแต่ว่า รู้ ว่าเห็น อาศัยระลึก เพียงเท่านี้
เป็นผู้อยู่โดยไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก นี่แหละ ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตทั้งหลายอยู่
หมายเหตุ : ขอให้ พุทธพจน์ พระบาลี เดิม อยู่แต่ในส่วนพระบาลี ไม่ปรับเปลี่ยน รักษาตามแบบฉบับตามที่สืบทอดมาดีแล้วตั้งแต่สมัยพระมหากัสสปะครั้งปฐมสังคายนาอย่างนั้นครับ ส่วนธัมมัตถาธิบายที่ผมใส่เสริมออกมา ก็ขอให้แยก กับ พุทธพจน์ ที่แสดงไว้อย่างชัดเจน เนื่องจาก ตัวผมเองไม่สามารถเลยแม้แต่นิดเดียวที่จะแสดงธรรมได้ เพราะพระศาสดาเท่านั้นเป็นผู้หมุนธรรมจักร การถอดความของผมก็ขอให้เป็นเพียงส่วนของตัวผมเองโดยส่วนเดียว ท่านทั้งหลาย อย่าพึงมีจิตฝังแน่นลงในอักขระที่แม้เป็นต้นฉบับดั้งเดิม หรือ ที่ถอดออกมาแล้วก็ดี กระทู้นี้เป็นเพียง การหยิบพระบาลี สติปัฏฐานสุตตัง มากางเท่านั้นเอง ในส่วนผู้กางนั้น ความเข้าใจถูกผิด ไม่เกี่ยวข้องกับตัวพระสูตรที่รักษาไว้ถูกต้องสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว รวมไปถึงฉบับหลวง มมร มจร ด้วย
ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=868&CatID=3

สำหรับผู้สนใจ ศึกษา เพิ่มเติม ครับ จาก หลวงตา ก็กล่าวถึง การเจริญสติปัฏฐาน คร่าวๆ เช่นกัน
ซึ่ง ก็ตรงกับ ที่พระสูตร สอนไม่มีผิด เช่นกัน ครับ _/\_ _/\_ _/\_
อาตาปี สมฺปชาโน วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ
โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส
อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺฐานา ฯ
- สิ่งเดียว ทางเดียว ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์
เพื่อล่วงโสกะปริเทวะ เพื่อความดับสนิทแห่งทุกขโทมนัส
เพื่อความรู้เห็นอันยิ่งยวด เพื่อแจ้งต่อพระนิพพาน มีเพียง สติปัฏฐาน ๔ เท่านั้น
กตเม จตฺตาโร ฯ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ
อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ
[ วิหรติ ] เป็นการแสดงถึงความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรมเครื่องอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็น กายในกายทั้งหลายอยู่
มีความเพียรแผดเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา(ยินดี)โทมนัส(ยินร้าย)ในโลกเสียได้
เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย
โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็น เวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่
มีความเพียรแผดเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา(ยินดี)โทมนัส(ยินร้าย)ในโลกเสียได้
จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย
โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็น จิตในจิตทั้งหลายอยู่
มีความเพียรแผดเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา(ยินดี)โทมนัส(ยินร้าย)ในโลกเสียได้
ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย
โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็น ธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่
มีความเพียรแผดเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา(ยินดี)โทมนัส(ยินร้าย)ในโลกเสียได้
ไม่ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก อุบาสก อุบาสิกา สาวก สัตว์ทุกรูปนาม เข้าถึงความบริสุทธิ์แห่งจิต ก็ด้วยทางแห่งเดียวนี้เท่านั้น คือ ดับนิวรณ์ ๕ เจริญสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อภิชฌาและโทมนัส ที่ดับไป นิวรณ์สงบระงับไป ก็ทำให้จิตตั้งมั่น เห็นตามความเป็นจริง
ต่างจาก จิตที่กลัดกลุ้มไปด้วยความยินดีพอใจและความยินร้ายไม่ชอบใจอึดอัดคับแคบ
ควร กำหนดรู้ยิ่งทุกอย่าง ( สำนวน พระสารีบุตร ) -- ใช้ได้กับ ทุกๆ ปฏิปทา ใน สติปัฏฐาน ทั้งสิ้น
สำนวน พระแถวๆ เมืองไข้ที่ชล คนใดที่ถูกเจียว จะให้จดจำวรรคทองไว้เท่านั้นพอแก่การหากิน
" มีสติ รู้กายรู้ใจ ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง "
ตรงที่ จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง นั่นแหละ คือ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนัสสัง อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเกิด สภาวะใดก็กำหนดรู้ไม่เอนเอียงไปตามความยินดียินร้ายที่เกิด กำหนดรู้ยิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็น
ขั้นยิ่งกว่า การรู้อย่างเป็นกลาง ด้วยจิตตั้งมั่น ได้บ่อยๆ แล้วนั้น ย่อมเห็น ความเกิด(สมุทย)บ้าง ความดับ(วย)บ้าง
ตามธรรมดาของจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพราะนิวรณ์นั้นดับ ย่อมเห็นตามความเป็นจริง ด้วยความเป็นกลาง
พอไม่หวงแหน ไม่ปรุงต่อ ไม่อยาก ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ก็กำหนดรู้อย่างที่มันเป็น รู้แล้วก็จบ รู้แล้วก็สักว่ารู้ว่าเห็น
สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา จิตฺตสฺมึ วิหรติ วยธมฺมานุปสฺสี วา
จิตฺตสฺมึ วิหรติ สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วา จิตฺตสฺมึ วิหรติ ฯ
อตฺถิ จิตฺตนฺติ วา ปนสฺส สติ ปจฺจุปฏฺฐิตา โหติ ยาวเทว ญาณมตฺตาย
ปฏิสฺสติมตฺตาย ฯ อนิสฺสิโต จ วิหรติ น จ กิญฺจิ โลเก
อุปาทิยติ ฯ เอวํ โข ภิกฺขเว ภิกฺขุ จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ ฯ
สติปรากฎ สักแต่ว่า จิตนี้มีอยู่ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา
สติก็ปรากฎเฉพาะสักแต่ว่า รู้ ว่าเห็น อาศัยระลึก เพียงเท่านี้
เป็นผู้อยู่โดยไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก นี่แหละ ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตทั้งหลายอยู่
หมายเหตุ : ขอให้ พุทธพจน์ พระบาลี เดิม อยู่แต่ในส่วนพระบาลี ไม่ปรับเปลี่ยน รักษาตามแบบฉบับตามที่สืบทอดมาดีแล้วตั้งแต่สมัยพระมหากัสสปะครั้งปฐมสังคายนาอย่างนั้นครับ ส่วนธัมมัตถาธิบายที่ผมใส่เสริมออกมา ก็ขอให้แยก กับ พุทธพจน์ ที่แสดงไว้อย่างชัดเจน เนื่องจาก ตัวผมเองไม่สามารถเลยแม้แต่นิดเดียวที่จะแสดงธรรมได้ เพราะพระศาสดาเท่านั้นเป็นผู้หมุนธรรมจักร การถอดความของผมก็ขอให้เป็นเพียงส่วนของตัวผมเองโดยส่วนเดียว ท่านทั้งหลาย อย่าพึงมีจิตฝังแน่นลงในอักขระที่แม้เป็นต้นฉบับดั้งเดิม หรือ ที่ถอดออกมาแล้วก็ดี กระทู้นี้เป็นเพียง การหยิบพระบาลี สติปัฏฐานสุตตัง มากางเท่านั้นเอง ในส่วนผู้กางนั้น ความเข้าใจถูกผิด ไม่เกี่ยวข้องกับตัวพระสูตรที่รักษาไว้ถูกต้องสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว รวมไปถึงฉบับหลวง มมร มจร ด้วย
ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้