ที่สุดแห่งปี The Politics อ.นิธิ-อานนท์ บุคคลแห่งปี คู่ปรับแห่งปี วิโรจน์ ก้าวไกล-วิสุทธิ์ เพื่อไทย
https://www.matichon.co.th/matichon-tv/news_4351032
รายการ The Politics ทางช่องยูทูบ มติชนทีวี รวบรวมที่สุดแห่งปี 2566 ในด้านการเมือง ยก อ.
นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นบุคคลทรงคุณค่า และ ทนาย
อานนท์ นำภา เป็นบุคคลแห่งปี พร้อมตำแหน่ง คีย์แมนการเมืองแห่งปี, เหตุการณ์สำคัญ, วาทะแห่งปี , ดางรุ่ง-ดาวร่วง รวมทั้ง คู่ปรับแห่งปีที่ยกให้
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกล และ
วิสุทธิ์ ไชยณรุณ แห่งพรรคเพื่อไทย ซึ่งเชื่อว่าทั้งคู่จะขับเคี่ยวกันในสภาอย่างต่อเนื่อง
ศก.ในประเทศฟื้นตัวช้า-ศก.โลกเร่งไม่ขึ้นกดดัชนี MPI พ.ย.หดตัว 4.71% ลุ้นส่งออกสินค้าอุตฯกลับมาขยายตัวหนุนการค้า
https://siamrath.co.th/n/503302
สศอ.เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพ.ย.66 อยู่ที่ระดับ 90.83 หดตัวร้อยละ 4.71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 5.01 หลังจากเศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวช้าและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว คาดการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่กลับมาขยายตัว จะส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
นาง
วรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพฤศจิกายน ปี 2566 อยู่ที่ระดับ 90.83 หดตัวร้อยละ 4.71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 5.01 ด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 57.87 และ 11 เดือนแรกอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 59.38 เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวได้ช้า จากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ต้นทุนทางการเงินและภาระหนี้ของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ายังคงชะลอตัว เนื่องจากนโยบายการเงินของต่างประเทศยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัว ทำให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์การกลั่นปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหาร สะท้อนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่าการส่งออกรวมขยายตัวร้อยละ 3.37 และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหักทองขยายตัวร้อยละ 2.94 โดยคาดว่าจะส่งผลทำให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมดีขึ้นในช่วงเวลาหลังจากนี้
นอกจากนี้ระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนธันวาคม 2566 ส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายในประเทศที่ส่งสัญญาณเฝ้าระวังในทุกองค์ประกอบ โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวลดลงจากความเชื่อมั่นที่ไม่ใช่ภาคการผลิตลดลง กำลังซื้อของผู้บริโภคยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และภาคการก่อสร้างที่ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า ส่งผลต่อการประมูลโครงการก่อสร้างของภาครัฐ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมยังกังวลต่อการขึ้นค่าแรง ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ส่งสัญญาณเฝ้าระวังต่อเนื่อง โดยภาคการผลิตของญี่ปุ่นยังคงหดตัว ส่วนสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกายังกังวลเรื่องเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนพฤศจิกายน 2566 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่
- ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.91 จากการผลิตสินค้าในกลุ่มที่ใช้สำหรับการเดินทางเป็นหลัก ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่องบิน แก๊สโซฮอล์ และน้ำมันเตา จากกิจกรรมการเดินทางในประเทศที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในปีก่อน
- เครื่องประดับเพชรพลอยแท้ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.91 จากแหวน สร้อย และเพชรเป็นหลัก โดยขยายตัวทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ประเทศคู่ค้าหลักกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้นทั้งการท่องที่ยวหรือการจัดงานแสดงอัญมณี และเร่งคำสั่งซื้อรองรับความต้องการในช่วงเทศกาลปีใหม่
- สายไฟและเคเบิลอื่นๆขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 24.89 จากสายไฟฟ้าเป็นหลัก เนื่องจากการขยายตัวของตลาดในประเทศ รวมถึงการส่งมอบตามคำสั่งซื้อของการไฟฟ้า
- เยื่อกระดาษ กระดาษ และกระดาษแข็ง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.18 เนื่องจากความต้องการใช้ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่ขยายตัว รวมถึงราคาเยื่อกระดาษ กระดาษแข็งและกระดาษคราฟท์ปรับตัวลดลงทำให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น
-เส้นใยประดิษฐ์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.31 จากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ และเส้นใยประดิษฐ์อื่นๆ เนื่องจากการขยายตัวของตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ โดยเป็นตามคำสั่งซื้อในอุตสาหกรรมต่อเนื่องเช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ ของตกแต่งบ้าน เชือก และสายเคเบิล
#MPI #อุตสาหกรรม #ส่งออก
ส.อ.ท. ขอ 4 ของขวัญปีใหม่ สินเชื่อ – ปลดล็อกโซลาร์เซลล์อุตฯ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4351132
ส.อ.ท. ขอ 4 ของขวัญปีใหม่ สินเชื่อ – ปลดล็อกโซลาร์เซลล์อุตฯ
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 36 ในเดือนธันวาคม 2566 ภายใต้หัวข้อ “ของขวัญปีใหม่แบบไหนถูกใจภาคอุตสาหกรรม” พบว่า สืบเนื่องจากภาครัฐได้ทยอยออกมาตรการต่างๆ เพื่อเป็นของขวัญขึ้นปีใหม่ 2567 ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2567 การปรับลดอัตราค่าไฟ โครงการ Easy E-Receipt มาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลและแก๊สหุงต้ม (LPG) มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) 3.5 เป็นต้น ซึ่งมาตรการดังกล่าวที่ได้ประกาศออกมาแล้วหรือที่อยู่ระหว่างการพิจารณานั้น มีทั้งที่ภาคเอกชนเห็นด้วย และบางมาตรการก็มีความห่วงกังวลถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
โดยผลสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มีความคาดหวังให้รัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2567 โดยมีข้อเสนอมาตรการที่ได้รับความสนใจสูงสุดจากผู้บริหาร ส.อ.ท. ในแต่ละด้าน
1. มาตรการส่งเสริมเพื่อเพิ่มความต้องการสินค้าอุตสาหกรรม เช่น สินเชื่อพิเศษเพื่อการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย เงินอุดหนุนการติดตั้งโซล่าเซลล์เพื่อประหยัดค่าไฟและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ฯลฯ
2. การปลดล็อกกฎหมายให้โรงงานอุตสาหกรรมสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าทุกขนาด โดยไม่ต้องขอใบอนุญาต รง.4 เพื่อลดภาระค่าไฟ
3. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงกระบวนการผลิตและจัดการสิ่งแวดล้อมตามแนวคิด ESG
4. การเร่งตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นมานานและฉุดรั้งทำให้ประเทศไทยไม่สามารถเติบโตได้อย่างที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้คะแนนพึงพอใจกับผลงานของรัฐบาลปี 2566 สูงสุด ในเรื่องการกำกับดูแลราคาพลังงานและการออกมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานทั้งการปรับลดค่าไฟ อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล และลดราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการช่วยลดภาระต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการ รักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในช่วงที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว
JJNY : ที่สุดแห่งปี The Politics│ศก.ในประเทศฟื้นตัวช้า-ศก.โลกเร่งไม่ขึ้น│ส.อ.ท.ขอ 4ของขวัญปีใหม่│ฮิซบอลเลาะห์โจมตีมากสุด
https://www.matichon.co.th/matichon-tv/news_4351032
รายการ The Politics ทางช่องยูทูบ มติชนทีวี รวบรวมที่สุดแห่งปี 2566 ในด้านการเมือง ยก อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นบุคคลทรงคุณค่า และ ทนายอานนท์ นำภา เป็นบุคคลแห่งปี พร้อมตำแหน่ง คีย์แมนการเมืองแห่งปี, เหตุการณ์สำคัญ, วาทะแห่งปี , ดางรุ่ง-ดาวร่วง รวมทั้ง คู่ปรับแห่งปีที่ยกให้ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกล และ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ แห่งพรรคเพื่อไทย ซึ่งเชื่อว่าทั้งคู่จะขับเคี่ยวกันในสภาอย่างต่อเนื่อง
ศก.ในประเทศฟื้นตัวช้า-ศก.โลกเร่งไม่ขึ้นกดดัชนี MPI พ.ย.หดตัว 4.71% ลุ้นส่งออกสินค้าอุตฯกลับมาขยายตัวหนุนการค้า
https://siamrath.co.th/n/503302
สศอ.เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพ.ย.66 อยู่ที่ระดับ 90.83 หดตัวร้อยละ 4.71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 5.01 หลังจากเศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวช้าและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว คาดการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่กลับมาขยายตัว จะส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพฤศจิกายน ปี 2566 อยู่ที่ระดับ 90.83 หดตัวร้อยละ 4.71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ 11 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 5.01 ด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 57.87 และ 11 เดือนแรกอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 59.38 เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวได้ช้า จากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ต้นทุนทางการเงินและภาระหนี้ของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ายังคงชะลอตัว เนื่องจากนโยบายการเงินของต่างประเทศยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัว ทำให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์การกลั่นปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหาร สะท้อนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่าการส่งออกรวมขยายตัวร้อยละ 3.37 และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหักทองขยายตัวร้อยละ 2.94 โดยคาดว่าจะส่งผลทำให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมดีขึ้นในช่วงเวลาหลังจากนี้
นอกจากนี้ระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนธันวาคม 2566 ส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายในประเทศที่ส่งสัญญาณเฝ้าระวังในทุกองค์ประกอบ โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวลดลงจากความเชื่อมั่นที่ไม่ใช่ภาคการผลิตลดลง กำลังซื้อของผู้บริโภคยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และภาคการก่อสร้างที่ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า ส่งผลต่อการประมูลโครงการก่อสร้างของภาครัฐ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมยังกังวลต่อการขึ้นค่าแรง ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ส่งสัญญาณเฝ้าระวังต่อเนื่อง โดยภาคการผลิตของญี่ปุ่นยังคงหดตัว ส่วนสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกายังกังวลเรื่องเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนพฤศจิกายน 2566 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่
- ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.91 จากการผลิตสินค้าในกลุ่มที่ใช้สำหรับการเดินทางเป็นหลัก ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่องบิน แก๊สโซฮอล์ และน้ำมันเตา จากกิจกรรมการเดินทางในประเทศที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในปีก่อน
- เครื่องประดับเพชรพลอยแท้ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.91 จากแหวน สร้อย และเพชรเป็นหลัก โดยขยายตัวทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ประเทศคู่ค้าหลักกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้นทั้งการท่องที่ยวหรือการจัดงานแสดงอัญมณี และเร่งคำสั่งซื้อรองรับความต้องการในช่วงเทศกาลปีใหม่
- สายไฟและเคเบิลอื่นๆขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 24.89 จากสายไฟฟ้าเป็นหลัก เนื่องจากการขยายตัวของตลาดในประเทศ รวมถึงการส่งมอบตามคำสั่งซื้อของการไฟฟ้า
- เยื่อกระดาษ กระดาษ และกระดาษแข็ง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.18 เนื่องจากความต้องการใช้ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่ขยายตัว รวมถึงราคาเยื่อกระดาษ กระดาษแข็งและกระดาษคราฟท์ปรับตัวลดลงทำให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น
-เส้นใยประดิษฐ์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.31 จากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ และเส้นใยประดิษฐ์อื่นๆ เนื่องจากการขยายตัวของตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ โดยเป็นตามคำสั่งซื้อในอุตสาหกรรมต่อเนื่องเช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ ของตกแต่งบ้าน เชือก และสายเคเบิล
#MPI #อุตสาหกรรม #ส่งออก
ส.อ.ท. ขอ 4 ของขวัญปีใหม่ สินเชื่อ – ปลดล็อกโซลาร์เซลล์อุตฯ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4351132
ส.อ.ท. ขอ 4 ของขวัญปีใหม่ สินเชื่อ – ปลดล็อกโซลาร์เซลล์อุตฯ
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 36 ในเดือนธันวาคม 2566 ภายใต้หัวข้อ “ของขวัญปีใหม่แบบไหนถูกใจภาคอุตสาหกรรม” พบว่า สืบเนื่องจากภาครัฐได้ทยอยออกมาตรการต่างๆ เพื่อเป็นของขวัญขึ้นปีใหม่ 2567 ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2567 การปรับลดอัตราค่าไฟ โครงการ Easy E-Receipt มาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลและแก๊สหุงต้ม (LPG) มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) 3.5 เป็นต้น ซึ่งมาตรการดังกล่าวที่ได้ประกาศออกมาแล้วหรือที่อยู่ระหว่างการพิจารณานั้น มีทั้งที่ภาคเอกชนเห็นด้วย และบางมาตรการก็มีความห่วงกังวลถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
โดยผลสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มีความคาดหวังให้รัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2567 โดยมีข้อเสนอมาตรการที่ได้รับความสนใจสูงสุดจากผู้บริหาร ส.อ.ท. ในแต่ละด้าน
1. มาตรการส่งเสริมเพื่อเพิ่มความต้องการสินค้าอุตสาหกรรม เช่น สินเชื่อพิเศษเพื่อการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย เงินอุดหนุนการติดตั้งโซล่าเซลล์เพื่อประหยัดค่าไฟและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ฯลฯ
2. การปลดล็อกกฎหมายให้โรงงานอุตสาหกรรมสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าทุกขนาด โดยไม่ต้องขอใบอนุญาต รง.4 เพื่อลดภาระค่าไฟ
3. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงกระบวนการผลิตและจัดการสิ่งแวดล้อมตามแนวคิด ESG
4. การเร่งตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นมานานและฉุดรั้งทำให้ประเทศไทยไม่สามารถเติบโตได้อย่างที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้คะแนนพึงพอใจกับผลงานของรัฐบาลปี 2566 สูงสุด ในเรื่องการกำกับดูแลราคาพลังงานและการออกมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานทั้งการปรับลดค่าไฟ อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล และลดราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการช่วยลดภาระต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการ รักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในช่วงที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว