เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ สงสัย?..
เกี่ยวกับ เรื่อง เทวทัต หรือก็คือ คู่ปรับของพระพุทธเจ้าที่ชาวพุทธรู้จักกันดี😬
ใช่เขาคนนั้นนะแหละ
ผู้ทำอนันตริยกรรม ซึ่งไม่ว่า ความดีใดๆ ก็ไม่อาจทำให้เขา หลุดพ้นจากนรกได้
และกรรมหนาหนักมากมาย
-ปล่อยช้างนาฬาคิริง ตกมัน หวังให้พระพุทธเจ้าตาย
-ยุยงให้ลูกฆ่าพ่อ (พระเจ้าอชาตศัตรูฆ่าพระเจ้าพิมพิสาร)
-กลิ้งก้อนหิน จนทำให้ พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต
-สร้างกฎวินัย ขึ้นมาใหม่ จนทำให้สงฆ์แตกแยกกัน
-จ้างบุรุษไปฆ่าพระพุทธเจ้า
เรื่องราว มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
อะไรคือ ต้นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย?
ก็ครั้งหนึ่ง เทวทัต ได้ขอร้องการปกครองสงฆ์ จนผูกอาฆาตแค้น พระพุทธเจ้า
และด้วยผลงานเด่นๆของเทวทัต (ตามพระไตรปิฎก แนวเถรวาท)
เขานี้แหละผู้ที่ทำชั่วมากมายจนแผ่นดิน รับไม่ได้ สุดท้ายถูกธรณีสูบ ลงอเวจีมหานรก
😡
ก่อนอื่น ในฐานะที่กระผม เป็นชาวพุทธสายเถรวาท
ซึ่งเมื่อก่อน ไม่ชอบเทวฑัต มากๆ (ก็ชั่วนิ)
จนผมพบว่า แม่ผมรักเทวทัตมาก
ผมทำไงทีนี้?
ผมก็เถียงกับแม่อยู่พักหนึ่ง อยากจะสอนให้แม่เข้าสู่หนทางที่ถูกที่ควร ถามว่า " รู้มั้ยพระเทวทัตตกนรก อเวจี "
แม่ตอบว่า "รู้"
ผม.😶 ?????
ในใจคิด แล้วจะไปนับถือทำไม เราต้องเอาสูงไม่ใช่ต่ำ
ผมเลยถามกลับไปว่า "แม่เป็นชาวพุทธอยู่มั้ย แม่เคารพพระพุทธเจ้าหรือเปล่า รู้หรือเปล่า ว่า เทวทัตคือ คนชั่ว เป็นคนละโมภโลบมาก"
แม่ก็ตอบ ด้วยใจหนักแน่น ว่า "เทวทัตคือคนดี"
โอ้โห ถามชาวพุทธทุกคนบนโลกนี้ได้เลย ถ้าศึกษาพระไตรปิฎก เทวทัตถือว่าชั่วช้าที่สุด ครับ งงมาก แม่ผมศรัทธาในตัวเทวทัตได้ยังไง คนดีมีศิลธรรมอย่างผมรับไม่ได้ 😤
ซักพัก ผมก็ถามเหตุผล
แม่แกก็ให้เหตุผล ประมาณนี้
เทวทัตเป็นใหญ่รองจากพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่แม่เกิดมา จำความได้ แม่ก็รักพระเทวทัตสุดหัวใจ เพราะความรู้สึกของแม่บอกว่า เทวทัตเป็นคนดี คือคนเสียสละ คนที่มองโลกตามความเป็นจริง แม่เชื่อความรู้สึก ไม่ได้เชื่อตำราไปเสียทุกเรื่อง
แต่ถ้าพระธรรม แม่เชื่อ
แม่เข้าใจมานานว่า พระเทวทัตตกนรก แม่ก็พยายามไม่ให้รัก สุดท้าย ก็ศรัทธามั่นคง สุดท้ายก็คิดว่า ตัวเองไม่ต้องไปสวรรค์ละทีนี้
สุดท้ายแม่ก็บอกว่า ยังไงเสีย แม่ก็ลงนรก เพราะคนที่แม่ศรัทธาเขาอยู่ในนรก
อย่างน้อย เวลาทรมานในนรก ก็อยู่ใกล้กับคนที่แม่รัก ที่แม่คิดว่าเขาคือคนดี
อีกอย่างแม่ก็เป็นคนผิดศิล สวรรค์แม่น่ะเลิกหวัง
ผม😐
แม่ผมก็ฟังเทปธรรมะนะครับ ไม่ใช่ไม่ฟัง
แม่เขาตอบผมว่า แกน่ะผิดศิล เช่นจุดยากันยุง บี้ยุง ฆ่าตะขาบ
ไหนแกจะโกหก ไหนจะกินเนื้อสัตว์
แม่กล่าวอีกว่า ทำไมตัวผมถึงชอบว่าเทวทัตนัก ทำไมถึงเชื่อในตำราไปเสียทุกเรื่อง
แม่แกก็สั่งสอนอีกว่า เป็นคนอย่าคิดเองไม่เป็น
คนเราทำบุญไม่ควรหวังผลในบุญ เพราะเราให้เขาเราเสีย
แต่บุญ คือ ทำแล้วมีความสุข ช่วยเหลือเขา เรามีความสุข
อย่าทำบุญโดยไม่พิจารณา อย่าคิดว่าทำบุญให้พระสงฆ์ แล้วพระสงฆ์จะเอาเงินไปทำอะไรก็ได้ เช่นว่าจะเอาเงินไปซื้อบ้านหรู เอาสีกา นี้เป็นต้นเหตุของความชั่ว เพราะเราให้เขา เท่ากับเราสนับสนุนให้เขาทำเลว ท้ายสุดเราย่อมไม่ได้บุญแต่ได้บาปแทน
จงอย่าเชื่อว่า ทำบุญเงินบาทเดียวจะมีผลเท่ากับ เงินหนึ่งล้าน เพราะเงินบาทเดียวกับเงินหนึ่งล้านเทียบไม่ได้
คิดว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ตราบใดกินเนื้อสัตว์ ย่อมเข้าข่าย ปาณาติปาตา เพราะสนับสนุนให้คนเขาฆ่าสัตว์
ถ้าศรัทธาอะไรแล้ว อย่าเสียศรัทธาเพียงเพราะคำพูดของคนอื่น
คนเราบนโลกนี้ มีดี มีชั่ว ไม่มีคำว่าเทา ดีคือดี ชั่วคือชั่ว กรรมดีส่วนกรรมดี กรรมชั่วส่วนกรรมชั่ว กรรมดีไม่สามารถล้างกรรมชั่วได้ แต่กรรมดีมากกว่า ย่อมกดผลแห่งกรรมชั่วที่มีอำนาจน้อยกว่าได้
ไม่มีใครในโลก หลีกเลี่ยงคำโกหกได้ บางครั้งจำเป็นต้องโกหกเพื่อทำให้ คนเขาสบายใจ
เช่นคนป่วย แกถามว่า เขาจะหายป่วยมั้ย แม่ก็ตอบว่า หายป่วย หายป่วย (ความจริง บางคนอาการหนัก ไม่หายหลอก)
พระสงฆ์ไม่ได้สูงไปกว่าคนธรรมดา ทำบุญกับพระสงฆ์ ก็มีค่าเท่ากับคนธรรมดาทั่วไป มีผลเท่ากัน
อย่าคิดว่า คนเราจะรักษาศิล ครบถ้วน แป้บๆเดี๋ยวก็เหยียบมดตาย
ผมก็ฟัง แล้ว มองตามความเป็นจริง ใจผมก็หวั่นๆ แต่ๆ ในฐานะที่ผมเป็นคนชอบเถียง ผมก็แย้งว่า
ข้อแรก ผมไม่เห็นด้วยที่ว่า ทำบุญกับ คนธรรมดา แล้วจะได้ผลบุญเทียบเท่ากับพระสงฆ์ เพราะถ้าทำบุญกับพระอรหันต์ ย่อมมีผลมากเสียกว่าทำบุญกับคนธรรมดาเป็นล้านเท่า
บุญจะมากจะน้อย ขึ้นอยู่กับเขตเนื้อนาบุญ เพราะผมอ่านตำรามาอย่างนี้ แม่ไม่รู้จริง
แม่พูดว่า
คนเราน่ะ ทำบุญแล้วหวังนู้น หวังนี้ มันไม่ได้บุญ เพราะจิตใจมันมีแต่ความโลภ คนเราทำ
ทาน ต้องทำเพราะชอบ เพื่อความสุขใจ เพื่อหวังช่วยเหลือ นั้นแหละบุญ
ถ้ามีข้าวอยู่จานเดียว มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง กับ ยายแก่ที่ไม่ได้ทานข้าวมาเจ็ดวัน หิวโซ ถ้าแม่จะให้ แม่ให้ยายแก่ เพราะพระสงฆ์เดี๋ยวคนแถวนั้นเขาก็ให้ แต่กลับกันคนธรรมดา ไม่ค่อยมีคนเขาให้
พอแม่ให้ แม่ก็มีความสุข ถือว่าช่วยเหลือหนึ่งชีวิต ส่วนพระยังไงเสียก็ไม่อดตาย ถึงแม่ไม่ให้คนอื่นเขาก็ให้
แม่กล่าวว่า ทำบุญอย่าไปหวัง ถ้าชาติหน้ายังไงก็ได้ แต่ชาตินี้เอาความสุขทางใจ
จะพระหรือ คนธรรมดาก็มีค่าเท่ากัน
พระสงฆ์เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครรักษาศิลครบ ผู้คนทำดี ทำบุญ เพราะหวังอยากมี อยากได้ อยากเป็น
แม่เชื่อว่า ถ้าอยากได้บุญมากๆ ก็ทำบุญกับพ่อกับแม่ นั้นแหละบุญหนักสุด
พระเทศน์น่ะ ท่านต้องการเงินเข้าวัด ความดี หรือ บุญ มันไม่ได้ไกลตัว ใกล้ตัวมีคนเดือดร้อนก็ช่วยเหลือเขาสิ พอช่วยเสร็จ เขาพยุงตัวเองได้เราก็ไป ความทุกข์เขา เราเข้าไปยุ่ง ความสุขเราไม่ไปยุ่งกับเขา
- ผมก็อึ้ง ผมก็มาทบทวนตัวเอง ผมทำบุญ ผมเน้นแต่กับพระ ผมไม่อยากเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ชาติหน้าอยากรวย อยากมีแฟนสวย อยากมี sex กับนางฟ้า ไม่อยากทำงาน เสวยผลบุญอย่างเดียว ขึ้นสวรรค์ มีฮาเร็มนางฟ้า แค่นั้น
แต่พอมาคิดอีกที เรื่อง sex บนสวรรค์ก็ยังเถียงกัน ว่า เทวดามีsex หรือไม่? บางคนตอบว่า มี บางคนตอบว่าไม่มี
ผมก็รู้สึกว่า ไม่แน่ไม่นอน 🤨 แหม่ขอโทษนะครับที่หมกหมุ่น
สวรรค์เนี่ย ถ้านั่งฟังเทศน์ฟังธรรม สุขแต่ธรรมปิติ ไม่แตกต่างจากการสะกดจิต เพื่อความสุข เลย มันไม่น่าเบื่อรึ
มีเทพธิดาเคียงคู่ เป็นเมียแต่เอาไม่ได้ มีนางอัปสร หลายคน เล่นsex ไม่ได้
ฉันก็ได้แต่มอง
สภาวะความเป็นทิพย์ น่ะไม่มีอารมณ์ ทั้งที่ตอนเป็นคน โคตะระโครตอยาก
สุดท้าย ผมก็บอกแม่ ว่า ที่แม่คิดน่ะถูก คนเราเดี๋ยวนี้ ทำบุญเพราะหวังอานิสงส์ เรามอบความเป็นใหญ่ แก่พระสงฆ์มากจนเกินไป จนทุกวันนี้ เราทำบุญส่วนใหญ่แต่พระแต่พระ
เพราะท่านสั่งสอน ปลูกฝังมาว่า บุญกับพระสูงสุด
ถ้าคนรวยน่ะไม่มีปัญหา เขามีแสนเป็นล้าน โปรยเงินทำบุญกับคนธรรมดา หรือกับวัด พวกเขา ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจเลย ศรัทธาเขาแก่กล้ามาก ยิ่งทำยิ่งได้ ใจเขาเลื่อมใส และบริสุทธิ์จริงๆ แถมคนรวยพวกนี้ มีออร่า ทำอะไรคนก็มอง ก็ได้ทั้งชื่อเสียง ความมีหน้ามีตา มีแต่คนเคารพยกย่อง
แต่กับคนจน เราเอาแต่ขวนขวายทำบุญแต่กับพระ เพราะเราหวังจะเป็นแบบคนรวยพวกนั้น เราปรารถนาเป็นเหมือนเขา ทั้งที่สติปัญญาเราก็ไม่เท่าเขา ฐานะเงินทองก็เทียบเขาไม่ได้
สุดท้าย ผมก็ได้แต่พิจารณาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ความคิดความยึดมั่นความศรัทธา ผมโคลงเคลง โยกคลอน
สุดท้าย ก็เหมือนกับ ปลงคิดได้ว่า เราเสียเวลา เราทุกข์ เราเดือดร้อน เราเสาะแสวงหา แล้วเราก็มาเศร้าหมอง แล้วถามตนเองว่า ทำดีแล้ว ทำบุญ ทำไมถึงยังมีคนดูแคลนเรา ทำไมเราถึงจน
ท้ายที่สุด คำตอบ คือ เรามันบ้า เราก็แค่คนโลภ หวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราฉลาด เราหวังได้ แต่ถ้าโง่ ก็ยาก
ผมเลยศึกษา เรื่องเทวทัตเสียใหม่ คือ เลิกอคติ อฐิษฐานจิต ขอให้เห็นตามเป็นจริง ขอให้คิดได้เถิด
เพราะแม่ผมเป็นคนศรัทธา ผมจำเป็นต้องลงลึก
สุดท้าย ก็ศึกษา พุทธศาสนานิกายมหายาน
ก็ได้ เจอว่า เทวทัต ท่านเป็นกัลยาณมิตรที่ดีของพระพุทธเจ้า
ผมคิดว่า ไร้สาระ มหายานมันปลอม เราน่ะของจริง นี้น่ะลัทธิเดียร์ถีย เชื่อถือไม่ได้
แต่ ผมก็บอกตัวเองแล้วว่า เราจะเลิกอคติ ดังนั้นอ่านซะ
ยิ่งอ่าน ยิ่งหนักใจ เทวทัตคือพระโพธิสัตว์ ที่ในกาลข้างหน้าจะตรัสรู้ เป็น พระพุทธเจ้า
สุดท้าย ผมก็บอกแม่ ว่า ไม่ว่ายังไงเสียแม่ก็ไม่มีทางตกนรก เพราะท่านเทวทัตน่ะอยู่บนสวรรค์ ท่านไม่ได้ชั่วช้า อย่างที่ฝ่ายเถรวาทเขาว่ามา
แม่ก็ถามว่า เอามาจากไหน
ผมก็ตอบ มหายาน แต่อ่านไม่ครบ
แต่หลักธรรมเขาดี ไม่เอื้อประโยชน์ต่อพระสงฆ์จนเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นพระหรือปุถุชน ทุกคนสมควรย่อมได้รับการช่วยเหลือ ไม่ใช่แค่กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง ถ้ามีทรัพย์มาก ก็จงช่วย
ธรรมไม่มีแบ่งแยกสูงต่ำ เพราะธรรมทุกธรรม ก็ล้วนทำให้จิตใจผ่องใส
ืทุกคนย่อมมีสภาวะ ของความเป็นพุทธ อยู่ในตัว คือการเสียสละ เพื่อชนหมู่มาก
แม่น่ะ เกิดมาเพื่อเป็นมหายาน ที่แม่พูดมาจริตล้วนเกี่ยวกับมหายาน บางที ตั้งแต่แม่เกิดมา ก็ถูกมหายานเลือกแล้ว
ผมก็คุยเล่นๆว่า ผมก็เถรวาท พ่อก็เถรวาท ยายก็เถรวาท คนข้างบ้านเขาก็เถรวาท แม่เองก็เถรวาท แล้วไหง ความคิดของแม่ ดันไปตรงกับทาง มหายาน
พอกล่าวถึง มหายาน
นานมากแล้ว ผมเคยฝัน
ผมตาย ผมเห็นแต่นรก เปลวเพลิงพุ่งสูง มีความมืด ไฟลุก เห็นคนคล้ายโครงกระดูก(หนังหุ้ม ผอมมาก) ดิ้นทุรนทุราย
สุดท้าย ภาพในฝัน ก็ถูกตัดแบ่ง มีลูกแก้วสีขาว ออกมาจากเปลวไฟ ขึ้นบน สู่ความมืดมิด
แล้วกลายเป็น มนุษย์มีกายเป็นแก้วประกายพรึก เปล่งแสงสีรุ้ง สวมอาภรณ์พระแบบพระถัง ซึ่งสวยมาก
แล้วมนุษย์ที่ปรากฏ ก็คือ ตัวผม
มนุษย์ที่มีกายแก้ว กล่าวว่า เกือบแล้ว เกือบแล้ว หน้าตาท่านยิ้มแย้มแจ่มใสมาก
เมื่อก่อนคิดว่า บ้าหนังจีน ก็คิดว่า สงสัยดูมาก จึงฝันมาก
แต่พอมาปัจจุบันนี้ จึงเข้าใจ ว่า นั้นคือ กิษิฐิครรภ์โพธิสัตว์
และที่ปรากฏคือ พุทธสภาวะ ที่ไม่ว่าใครก็มี
ฮะ ฮะ เอาเรื่อง เรียนก็ไม่เคยเรียน
ที่เคยฝันเห็น มี
ฝ่ายเถรวาทนอกจากหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (กายมนุษย์) ส่วนทางมหายาน พระกิษิฐครรภ์โพธิสัตว์มาเองเลย
ผมก็พิจารณา ว่า มหายานสาดแสงมาถึงผมด้วยเหรอเนี่ย
แม่บอกผมว่า พระพุทธเจ้าท่านละโลภ โกรธหลง ท่านย่อมไม่มีทาง หวงตำแหน่งพระพุทธเจ้า เพราะท่านตัดแล้ว ซึ่งกิเลส
- ผมคิดจริง เพราะพระพุทธเจ้าคือ ตำแหน่ง และพระพุทธองค์ ทรงตรัสสอนว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง ย่อมเกิด และดับสลายไปในที่สุด
ตอนที่ เทวทัตทูลขอปกครองสงฆ์ พระพุทธเจ้าขณะนั้น ท่านเข้าสู่วัยชราภาพ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรเทวทัต แม้แต่สารีบุตรและโมคคัลลานะ
เรายังไม่มอบภิกษุสงฆ์ให้ ไฉนจะพึงมอบให้เธอผู้ เช่นซากศพ ผู้บริโภคปัจจัย
เช่นก้อนเขฬะเล่า
- ความจริง พระพุทธเจ้าท่านไม่พูดเช่นนี้แน่ เพราะพระพุทธเจ้าท่านใช้คำพูดไพเราะ อย่างนี้เขาเรียกว่าด่า
ทีนั้น พระเทวทัตคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงรุกรานเรากลางบริษัทพร้อม
ด้วยพระราชา ด้วยวาทะว่าบริโภคปัจจัยดุจก้อนเขฬะ ทรงยกย่องแต่พระสารีบุตร
และพระโมคคัลลานะ ดังนี้ จึงโกรธ น้อยใจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำ
ประทักษิณแล้วกลับไป
- ความคิดเห็นส่วนตัว พระพุทธเจ้าน่ะ ถ้าเป็นผู้มีปัญญาสูงสุด ท่านสามารถพูดจาไพเราะ โดยไม่ใช้วาจาแรงๆก็ได้ ผมเองก็คิดว่า นี้ไม่ใช่ลักษณะนิสัยของพระพุทธเจ้า
นี่แหละ พระเทวทัตได้ผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาค เป็นครั้งแรก ฯ
- ไม่ว่าใครก็โกรธ โดนดูหมิ่นขนาดนั้น
พระเทวทัต
[๓๔๙] ครั้งนั้น พระเทวทัตหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด เกิดความปริวิตก
แห่งจิตอย่างนี้ว่า เราจะพึงยังใครหนอให้เลื่อมใส เมื่อผู้ใดเลื่อมใสต่อเราแล้ว
ลาภสักการะเป็นอันมากจะพึงเกิดขึ้น ลำดับนั้น พระเทวทัตได้คิดต่อไปว่า
อชาตสัตตุกุมารนี้แล ยังหนุ่ม ยังเจริญต่อไป ไฉนเราพึงยังอชาตสัตตุกุมารให้
เลื่อมใส เมื่ออชาตสัตตุกุมารนั้นเลื่อมใสต่อเราแล้ว ลาภสักการะเป็นอันมากจัก
เกิดขึ้น ลำดับนั้น พระเทวทัตเก็บเสนาสนะแล้ว ถือบาตร จีวร เดินทางไปยัง
กรุงราชคฤห์ ถึงกรุงราชคฤห์โดยลำดับ แล้วแปลงเพศของตนนิรมิตเพศเป็น
กุมารน้อยเอางูพันสะเอว ได้ปรากฏบนพระเพลาของอชาตสัตตุกุมาร
- ศาสนาพุทธ เกี่ยวกับ หลักกาลามสูตร ดังนั้น ผมจึงใช้ปัญญาพิจารณา
ว่า หัวข้อนี้
ดูเหมือนว่า ผมจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะผมดันศรัทธาในเทวทัต!
เกี่ยวกับ เรื่อง เทวทัต หรือก็คือ คู่ปรับของพระพุทธเจ้าที่ชาวพุทธรู้จักกันดี😬
ใช่เขาคนนั้นนะแหละ
ผู้ทำอนันตริยกรรม ซึ่งไม่ว่า ความดีใดๆ ก็ไม่อาจทำให้เขา หลุดพ้นจากนรกได้
และกรรมหนาหนักมากมาย
-ปล่อยช้างนาฬาคิริง ตกมัน หวังให้พระพุทธเจ้าตาย
-ยุยงให้ลูกฆ่าพ่อ (พระเจ้าอชาตศัตรูฆ่าพระเจ้าพิมพิสาร)
-กลิ้งก้อนหิน จนทำให้ พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต
-สร้างกฎวินัย ขึ้นมาใหม่ จนทำให้สงฆ์แตกแยกกัน
-จ้างบุรุษไปฆ่าพระพุทธเจ้า
เรื่องราว มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
อะไรคือ ต้นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย?
ก็ครั้งหนึ่ง เทวทัต ได้ขอร้องการปกครองสงฆ์ จนผูกอาฆาตแค้น พระพุทธเจ้า
และด้วยผลงานเด่นๆของเทวทัต (ตามพระไตรปิฎก แนวเถรวาท)
เขานี้แหละผู้ที่ทำชั่วมากมายจนแผ่นดิน รับไม่ได้ สุดท้ายถูกธรณีสูบ ลงอเวจีมหานรก
😡
ก่อนอื่น ในฐานะที่กระผม เป็นชาวพุทธสายเถรวาท
ซึ่งเมื่อก่อน ไม่ชอบเทวฑัต มากๆ (ก็ชั่วนิ)
จนผมพบว่า แม่ผมรักเทวทัตมาก
ผมทำไงทีนี้?
ผมก็เถียงกับแม่อยู่พักหนึ่ง อยากจะสอนให้แม่เข้าสู่หนทางที่ถูกที่ควร ถามว่า " รู้มั้ยพระเทวทัตตกนรก อเวจี "
แม่ตอบว่า "รู้"
ผม.😶 ?????
ในใจคิด แล้วจะไปนับถือทำไม เราต้องเอาสูงไม่ใช่ต่ำ
ผมเลยถามกลับไปว่า "แม่เป็นชาวพุทธอยู่มั้ย แม่เคารพพระพุทธเจ้าหรือเปล่า รู้หรือเปล่า ว่า เทวทัตคือ คนชั่ว เป็นคนละโมภโลบมาก"
แม่ก็ตอบ ด้วยใจหนักแน่น ว่า "เทวทัตคือคนดี"
โอ้โห ถามชาวพุทธทุกคนบนโลกนี้ได้เลย ถ้าศึกษาพระไตรปิฎก เทวทัตถือว่าชั่วช้าที่สุด ครับ งงมาก แม่ผมศรัทธาในตัวเทวทัตได้ยังไง คนดีมีศิลธรรมอย่างผมรับไม่ได้ 😤
ซักพัก ผมก็ถามเหตุผล
แม่แกก็ให้เหตุผล ประมาณนี้
เทวทัตเป็นใหญ่รองจากพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่แม่เกิดมา จำความได้ แม่ก็รักพระเทวทัตสุดหัวใจ เพราะความรู้สึกของแม่บอกว่า เทวทัตเป็นคนดี คือคนเสียสละ คนที่มองโลกตามความเป็นจริง แม่เชื่อความรู้สึก ไม่ได้เชื่อตำราไปเสียทุกเรื่อง
แต่ถ้าพระธรรม แม่เชื่อ
แม่เข้าใจมานานว่า พระเทวทัตตกนรก แม่ก็พยายามไม่ให้รัก สุดท้าย ก็ศรัทธามั่นคง สุดท้ายก็คิดว่า ตัวเองไม่ต้องไปสวรรค์ละทีนี้
สุดท้ายแม่ก็บอกว่า ยังไงเสีย แม่ก็ลงนรก เพราะคนที่แม่ศรัทธาเขาอยู่ในนรก
อย่างน้อย เวลาทรมานในนรก ก็อยู่ใกล้กับคนที่แม่รัก ที่แม่คิดว่าเขาคือคนดี
อีกอย่างแม่ก็เป็นคนผิดศิล สวรรค์แม่น่ะเลิกหวัง
ผม😐
แม่ผมก็ฟังเทปธรรมะนะครับ ไม่ใช่ไม่ฟัง
แม่เขาตอบผมว่า แกน่ะผิดศิล เช่นจุดยากันยุง บี้ยุง ฆ่าตะขาบ
ไหนแกจะโกหก ไหนจะกินเนื้อสัตว์
แม่กล่าวอีกว่า ทำไมตัวผมถึงชอบว่าเทวทัตนัก ทำไมถึงเชื่อในตำราไปเสียทุกเรื่อง
แม่แกก็สั่งสอนอีกว่า เป็นคนอย่าคิดเองไม่เป็น
คนเราทำบุญไม่ควรหวังผลในบุญ เพราะเราให้เขาเราเสีย
แต่บุญ คือ ทำแล้วมีความสุข ช่วยเหลือเขา เรามีความสุข
อย่าทำบุญโดยไม่พิจารณา อย่าคิดว่าทำบุญให้พระสงฆ์ แล้วพระสงฆ์จะเอาเงินไปทำอะไรก็ได้ เช่นว่าจะเอาเงินไปซื้อบ้านหรู เอาสีกา นี้เป็นต้นเหตุของความชั่ว เพราะเราให้เขา เท่ากับเราสนับสนุนให้เขาทำเลว ท้ายสุดเราย่อมไม่ได้บุญแต่ได้บาปแทน
จงอย่าเชื่อว่า ทำบุญเงินบาทเดียวจะมีผลเท่ากับ เงินหนึ่งล้าน เพราะเงินบาทเดียวกับเงินหนึ่งล้านเทียบไม่ได้
คิดว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ตราบใดกินเนื้อสัตว์ ย่อมเข้าข่าย ปาณาติปาตา เพราะสนับสนุนให้คนเขาฆ่าสัตว์
ถ้าศรัทธาอะไรแล้ว อย่าเสียศรัทธาเพียงเพราะคำพูดของคนอื่น
คนเราบนโลกนี้ มีดี มีชั่ว ไม่มีคำว่าเทา ดีคือดี ชั่วคือชั่ว กรรมดีส่วนกรรมดี กรรมชั่วส่วนกรรมชั่ว กรรมดีไม่สามารถล้างกรรมชั่วได้ แต่กรรมดีมากกว่า ย่อมกดผลแห่งกรรมชั่วที่มีอำนาจน้อยกว่าได้
ไม่มีใครในโลก หลีกเลี่ยงคำโกหกได้ บางครั้งจำเป็นต้องโกหกเพื่อทำให้ คนเขาสบายใจ
เช่นคนป่วย แกถามว่า เขาจะหายป่วยมั้ย แม่ก็ตอบว่า หายป่วย หายป่วย (ความจริง บางคนอาการหนัก ไม่หายหลอก)
พระสงฆ์ไม่ได้สูงไปกว่าคนธรรมดา ทำบุญกับพระสงฆ์ ก็มีค่าเท่ากับคนธรรมดาทั่วไป มีผลเท่ากัน
อย่าคิดว่า คนเราจะรักษาศิล ครบถ้วน แป้บๆเดี๋ยวก็เหยียบมดตาย
ผมก็ฟัง แล้ว มองตามความเป็นจริง ใจผมก็หวั่นๆ แต่ๆ ในฐานะที่ผมเป็นคนชอบเถียง ผมก็แย้งว่า
ข้อแรก ผมไม่เห็นด้วยที่ว่า ทำบุญกับ คนธรรมดา แล้วจะได้ผลบุญเทียบเท่ากับพระสงฆ์ เพราะถ้าทำบุญกับพระอรหันต์ ย่อมมีผลมากเสียกว่าทำบุญกับคนธรรมดาเป็นล้านเท่า
บุญจะมากจะน้อย ขึ้นอยู่กับเขตเนื้อนาบุญ เพราะผมอ่านตำรามาอย่างนี้ แม่ไม่รู้จริง
แม่พูดว่า
คนเราน่ะ ทำบุญแล้วหวังนู้น หวังนี้ มันไม่ได้บุญ เพราะจิตใจมันมีแต่ความโลภ คนเราทำ
ทาน ต้องทำเพราะชอบ เพื่อความสุขใจ เพื่อหวังช่วยเหลือ นั้นแหละบุญ
ถ้ามีข้าวอยู่จานเดียว มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง กับ ยายแก่ที่ไม่ได้ทานข้าวมาเจ็ดวัน หิวโซ ถ้าแม่จะให้ แม่ให้ยายแก่ เพราะพระสงฆ์เดี๋ยวคนแถวนั้นเขาก็ให้ แต่กลับกันคนธรรมดา ไม่ค่อยมีคนเขาให้
พอแม่ให้ แม่ก็มีความสุข ถือว่าช่วยเหลือหนึ่งชีวิต ส่วนพระยังไงเสียก็ไม่อดตาย ถึงแม่ไม่ให้คนอื่นเขาก็ให้
แม่กล่าวว่า ทำบุญอย่าไปหวัง ถ้าชาติหน้ายังไงก็ได้ แต่ชาตินี้เอาความสุขทางใจ
จะพระหรือ คนธรรมดาก็มีค่าเท่ากัน
พระสงฆ์เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครรักษาศิลครบ ผู้คนทำดี ทำบุญ เพราะหวังอยากมี อยากได้ อยากเป็น
แม่เชื่อว่า ถ้าอยากได้บุญมากๆ ก็ทำบุญกับพ่อกับแม่ นั้นแหละบุญหนักสุด
พระเทศน์น่ะ ท่านต้องการเงินเข้าวัด ความดี หรือ บุญ มันไม่ได้ไกลตัว ใกล้ตัวมีคนเดือดร้อนก็ช่วยเหลือเขาสิ พอช่วยเสร็จ เขาพยุงตัวเองได้เราก็ไป ความทุกข์เขา เราเข้าไปยุ่ง ความสุขเราไม่ไปยุ่งกับเขา
- ผมก็อึ้ง ผมก็มาทบทวนตัวเอง ผมทำบุญ ผมเน้นแต่กับพระ ผมไม่อยากเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ชาติหน้าอยากรวย อยากมีแฟนสวย อยากมี sex กับนางฟ้า ไม่อยากทำงาน เสวยผลบุญอย่างเดียว ขึ้นสวรรค์ มีฮาเร็มนางฟ้า แค่นั้น
แต่พอมาคิดอีกที เรื่อง sex บนสวรรค์ก็ยังเถียงกัน ว่า เทวดามีsex หรือไม่? บางคนตอบว่า มี บางคนตอบว่าไม่มี
ผมก็รู้สึกว่า ไม่แน่ไม่นอน 🤨 แหม่ขอโทษนะครับที่หมกหมุ่น
สวรรค์เนี่ย ถ้านั่งฟังเทศน์ฟังธรรม สุขแต่ธรรมปิติ ไม่แตกต่างจากการสะกดจิต เพื่อความสุข เลย มันไม่น่าเบื่อรึ
มีเทพธิดาเคียงคู่ เป็นเมียแต่เอาไม่ได้ มีนางอัปสร หลายคน เล่นsex ไม่ได้
ฉันก็ได้แต่มอง
สภาวะความเป็นทิพย์ น่ะไม่มีอารมณ์ ทั้งที่ตอนเป็นคน โคตะระโครตอยาก
สุดท้าย ผมก็บอกแม่ ว่า ที่แม่คิดน่ะถูก คนเราเดี๋ยวนี้ ทำบุญเพราะหวังอานิสงส์ เรามอบความเป็นใหญ่ แก่พระสงฆ์มากจนเกินไป จนทุกวันนี้ เราทำบุญส่วนใหญ่แต่พระแต่พระ
เพราะท่านสั่งสอน ปลูกฝังมาว่า บุญกับพระสูงสุด
ถ้าคนรวยน่ะไม่มีปัญหา เขามีแสนเป็นล้าน โปรยเงินทำบุญกับคนธรรมดา หรือกับวัด พวกเขา ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจเลย ศรัทธาเขาแก่กล้ามาก ยิ่งทำยิ่งได้ ใจเขาเลื่อมใส และบริสุทธิ์จริงๆ แถมคนรวยพวกนี้ มีออร่า ทำอะไรคนก็มอง ก็ได้ทั้งชื่อเสียง ความมีหน้ามีตา มีแต่คนเคารพยกย่อง
แต่กับคนจน เราเอาแต่ขวนขวายทำบุญแต่กับพระ เพราะเราหวังจะเป็นแบบคนรวยพวกนั้น เราปรารถนาเป็นเหมือนเขา ทั้งที่สติปัญญาเราก็ไม่เท่าเขา ฐานะเงินทองก็เทียบเขาไม่ได้
สุดท้าย ผมก็ได้แต่พิจารณาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ความคิดความยึดมั่นความศรัทธา ผมโคลงเคลง โยกคลอน
สุดท้าย ก็เหมือนกับ ปลงคิดได้ว่า เราเสียเวลา เราทุกข์ เราเดือดร้อน เราเสาะแสวงหา แล้วเราก็มาเศร้าหมอง แล้วถามตนเองว่า ทำดีแล้ว ทำบุญ ทำไมถึงยังมีคนดูแคลนเรา ทำไมเราถึงจน
ท้ายที่สุด คำตอบ คือ เรามันบ้า เราก็แค่คนโลภ หวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราฉลาด เราหวังได้ แต่ถ้าโง่ ก็ยาก
ผมเลยศึกษา เรื่องเทวทัตเสียใหม่ คือ เลิกอคติ อฐิษฐานจิต ขอให้เห็นตามเป็นจริง ขอให้คิดได้เถิด
เพราะแม่ผมเป็นคนศรัทธา ผมจำเป็นต้องลงลึก
สุดท้าย ก็ศึกษา พุทธศาสนานิกายมหายาน
ก็ได้ เจอว่า เทวทัต ท่านเป็นกัลยาณมิตรที่ดีของพระพุทธเจ้า
ผมคิดว่า ไร้สาระ มหายานมันปลอม เราน่ะของจริง นี้น่ะลัทธิเดียร์ถีย เชื่อถือไม่ได้
แต่ ผมก็บอกตัวเองแล้วว่า เราจะเลิกอคติ ดังนั้นอ่านซะ
ยิ่งอ่าน ยิ่งหนักใจ เทวทัตคือพระโพธิสัตว์ ที่ในกาลข้างหน้าจะตรัสรู้ เป็น พระพุทธเจ้า
สุดท้าย ผมก็บอกแม่ ว่า ไม่ว่ายังไงเสียแม่ก็ไม่มีทางตกนรก เพราะท่านเทวทัตน่ะอยู่บนสวรรค์ ท่านไม่ได้ชั่วช้า อย่างที่ฝ่ายเถรวาทเขาว่ามา
แม่ก็ถามว่า เอามาจากไหน
ผมก็ตอบ มหายาน แต่อ่านไม่ครบ
แต่หลักธรรมเขาดี ไม่เอื้อประโยชน์ต่อพระสงฆ์จนเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นพระหรือปุถุชน ทุกคนสมควรย่อมได้รับการช่วยเหลือ ไม่ใช่แค่กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง ถ้ามีทรัพย์มาก ก็จงช่วย
ธรรมไม่มีแบ่งแยกสูงต่ำ เพราะธรรมทุกธรรม ก็ล้วนทำให้จิตใจผ่องใส
ืทุกคนย่อมมีสภาวะ ของความเป็นพุทธ อยู่ในตัว คือการเสียสละ เพื่อชนหมู่มาก
แม่น่ะ เกิดมาเพื่อเป็นมหายาน ที่แม่พูดมาจริตล้วนเกี่ยวกับมหายาน บางที ตั้งแต่แม่เกิดมา ก็ถูกมหายานเลือกแล้ว
ผมก็คุยเล่นๆว่า ผมก็เถรวาท พ่อก็เถรวาท ยายก็เถรวาท คนข้างบ้านเขาก็เถรวาท แม่เองก็เถรวาท แล้วไหง ความคิดของแม่ ดันไปตรงกับทาง มหายาน
พอกล่าวถึง มหายาน
นานมากแล้ว ผมเคยฝัน
ผมตาย ผมเห็นแต่นรก เปลวเพลิงพุ่งสูง มีความมืด ไฟลุก เห็นคนคล้ายโครงกระดูก(หนังหุ้ม ผอมมาก) ดิ้นทุรนทุราย
สุดท้าย ภาพในฝัน ก็ถูกตัดแบ่ง มีลูกแก้วสีขาว ออกมาจากเปลวไฟ ขึ้นบน สู่ความมืดมิด
แล้วกลายเป็น มนุษย์มีกายเป็นแก้วประกายพรึก เปล่งแสงสีรุ้ง สวมอาภรณ์พระแบบพระถัง ซึ่งสวยมาก
แล้วมนุษย์ที่ปรากฏ ก็คือ ตัวผม
มนุษย์ที่มีกายแก้ว กล่าวว่า เกือบแล้ว เกือบแล้ว หน้าตาท่านยิ้มแย้มแจ่มใสมาก
เมื่อก่อนคิดว่า บ้าหนังจีน ก็คิดว่า สงสัยดูมาก จึงฝันมาก
แต่พอมาปัจจุบันนี้ จึงเข้าใจ ว่า นั้นคือ กิษิฐิครรภ์โพธิสัตว์
และที่ปรากฏคือ พุทธสภาวะ ที่ไม่ว่าใครก็มี
ฮะ ฮะ เอาเรื่อง เรียนก็ไม่เคยเรียน
ที่เคยฝันเห็น มี
ฝ่ายเถรวาทนอกจากหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (กายมนุษย์) ส่วนทางมหายาน พระกิษิฐครรภ์โพธิสัตว์มาเองเลย
ผมก็พิจารณา ว่า มหายานสาดแสงมาถึงผมด้วยเหรอเนี่ย
แม่บอกผมว่า พระพุทธเจ้าท่านละโลภ โกรธหลง ท่านย่อมไม่มีทาง หวงตำแหน่งพระพุทธเจ้า เพราะท่านตัดแล้ว ซึ่งกิเลส
- ผมคิดจริง เพราะพระพุทธเจ้าคือ ตำแหน่ง และพระพุทธองค์ ทรงตรัสสอนว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง ย่อมเกิด และดับสลายไปในที่สุด
ตอนที่ เทวทัตทูลขอปกครองสงฆ์ พระพุทธเจ้าขณะนั้น ท่านเข้าสู่วัยชราภาพ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรเทวทัต แม้แต่สารีบุตรและโมคคัลลานะ
เรายังไม่มอบภิกษุสงฆ์ให้ ไฉนจะพึงมอบให้เธอผู้ เช่นซากศพ ผู้บริโภคปัจจัย
เช่นก้อนเขฬะเล่า
- ความจริง พระพุทธเจ้าท่านไม่พูดเช่นนี้แน่ เพราะพระพุทธเจ้าท่านใช้คำพูดไพเราะ อย่างนี้เขาเรียกว่าด่า
ทีนั้น พระเทวทัตคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงรุกรานเรากลางบริษัทพร้อม
ด้วยพระราชา ด้วยวาทะว่าบริโภคปัจจัยดุจก้อนเขฬะ ทรงยกย่องแต่พระสารีบุตร
และพระโมคคัลลานะ ดังนี้ จึงโกรธ น้อยใจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำ
ประทักษิณแล้วกลับไป
- ความคิดเห็นส่วนตัว พระพุทธเจ้าน่ะ ถ้าเป็นผู้มีปัญญาสูงสุด ท่านสามารถพูดจาไพเราะ โดยไม่ใช้วาจาแรงๆก็ได้ ผมเองก็คิดว่า นี้ไม่ใช่ลักษณะนิสัยของพระพุทธเจ้า
นี่แหละ พระเทวทัตได้ผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาค เป็นครั้งแรก ฯ
- ไม่ว่าใครก็โกรธ โดนดูหมิ่นขนาดนั้น
พระเทวทัต
[๓๔๙] ครั้งนั้น พระเทวทัตหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด เกิดความปริวิตก
แห่งจิตอย่างนี้ว่า เราจะพึงยังใครหนอให้เลื่อมใส เมื่อผู้ใดเลื่อมใสต่อเราแล้ว
ลาภสักการะเป็นอันมากจะพึงเกิดขึ้น ลำดับนั้น พระเทวทัตได้คิดต่อไปว่า
อชาตสัตตุกุมารนี้แล ยังหนุ่ม ยังเจริญต่อไป ไฉนเราพึงยังอชาตสัตตุกุมารให้
เลื่อมใส เมื่ออชาตสัตตุกุมารนั้นเลื่อมใสต่อเราแล้ว ลาภสักการะเป็นอันมากจัก
เกิดขึ้น ลำดับนั้น พระเทวทัตเก็บเสนาสนะแล้ว ถือบาตร จีวร เดินทางไปยัง
กรุงราชคฤห์ ถึงกรุงราชคฤห์โดยลำดับ แล้วแปลงเพศของตนนิรมิตเพศเป็น
กุมารน้อยเอางูพันสะเอว ได้ปรากฏบนพระเพลาของอชาตสัตตุกุมาร
- ศาสนาพุทธ เกี่ยวกับ หลักกาลามสูตร ดังนั้น ผมจึงใช้ปัญญาพิจารณา
ว่า หัวข้อนี้