
โครงสร้างสามส่วน (Three-Act Structure)
รอบการเล่าเรื่องทั่วไปที่แบ่งภาพยนตร์ออกเป็นสามส่วน ได้แก่
องก์ที่ 1 (Act I), องก์ที่ 2 (Act II), และองก์ที่ 3 (Act III)
โดยแต่ละองก์จะมีจุดสำคัญดังนี้
องก์ที่ 1 (25% ของความยาว)
แนะนำตัวละคร สถานที่ และความขัดแย้ง
ปูพื้นเรื่องราว
ดึงดูดความสนใจผู้ชม
องก์ที่ 2 (50% ของความยาว)
เพิ่มเดิมพันและบังคับให้ตัวละครเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง
ตัวละครต้องเผชิญอุปสรรคและบททดสอบต่างๆ
ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น
องก์ที่ 3 (25% ของความยาว)
แก้ไขปัญหาและสรุปเรื่องราว
ตัวละครเผชิญหน้ากับความขัดแย้งครั้งสุดท้าย
เรื่องราวถึงจุดสิ้นสุด
จุดสำคัญในแต่ละองก์
ฮุก (Hook) เป็นการเปิดเรื่องให้ดึงดูดความสนใจผู้ชม ชวนให้อยากติดตามต่อไป
เหตุการณ์ก่อเหตุ (Inciting Incident) จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง มักเกิดขึ้นประมาณ 12% ของความยาว
จุดพล็อตที่หนึ่ง (First Plot Point) ช่วงเปลี่ยนผ่านจากองก์ที่ 1 ไปยังองก์ที่ 2 ตัวละครมุ่งมั่นกับเป้าหมายและเผชิญหน้ากับอุปสรรค
จุดบีบครั้งที่หนึ่ง (First Pinch Point) อุปสรรคแรกที่ตัวละครต้องเผชิญ เพิ่มความตึงเครียด
จุดกึ่งกลาง (Midpoint) จุดเปลี่ยนสำคัญ พลิกผันเรื่องราว ตัวละครเผชิญหน้ากับศัตรูตัวจริง
จุดบีบครั้งที่สอง (Second Pinch Point) อุปสรรคใหญ่ขึ้น เดิมพันสูงขึ้น
จุดพล็อตที่สาม (Third Plot Point) ชัยชนะปลอม ตัวละครทุ่มสุดแรงแต่ประสบความสำเร็จไม่เต็มที่
จุดสุดยอด (Climax) การต่อสู้ครั้งสุดท้าย ตัดสินชะตาของเรื่อง
บทสรุป (Resolution) หลังจุดสุดยอด สรุปผล สะท้อนการเติบโตของตัวละคร
โครงสร้างสามองก์เป็นกรอบพื้นฐานที่ช่วยให้ภาพยนตร์มีพัฒนาการที่ราบรื่น น่าสนใจ และน่าติดตาม อย่างไรก็ตาม โครงสร้างนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จ ภาพยนตร์ที่ดีต้องมีทั้งโครงสร้างที่แน่นและตัวละครที่น่าสนใจ
ตัวอย่างภาพยนตร์
ภาพยนตร์หลายเรื่องใช้โครงสร้างสามองก์ เช่น
The Matrix (1999)
The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring (2001)
The Dark Knight (2008)
Parasite (2019)
ประโยชน์ของโครงสร้างสามองก์
โครงสร้างสามองก์มีประโยชน์ต่อผู้สร้างภาพยนตร์หลายประการ เช่น
ช่วยให้ผู้สร้างภาพยนตร์วางแผนเรื่องราวได้อย่างมีโครงสร้างและครอบคลุม
ช่วยให้ผู้สร้างภาพยนตร์สร้างเรื่องราวที่ดึงดูดความสนใจผู้ชมและน่าติดตาม
ช่วยให้ผู้สร้างภาพยนตร์สร้างเรื่องราวที่มีพัฒนาการที่สมเหตุสมผล
ข้อควรระวังของโครงสร้างสามองก์
โครงสร้างสามองก์ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ทุกภาพยนตร์ต้องปฏิบัติตาม ภาพยนตร์บางเรื่องอาจใช้โครงสร้างที่แตกต่างออกไป
สิ่งสำคัญคือผู้สร้างภาพยนตร์ต้องเลือกใช้โครงสร้างที่เหมาะสมกับเรื่องราวและเป้าหมายของภาพยนตร์
มือใหม่เขียนนิยาย บทภาพยนต์ ด้วยเทคนิค 3 ส่วน(Three-Act Structure)
โครงสร้างสามส่วน (Three-Act Structure)
รอบการเล่าเรื่องทั่วไปที่แบ่งภาพยนตร์ออกเป็นสามส่วน ได้แก่
องก์ที่ 1 (Act I), องก์ที่ 2 (Act II), และองก์ที่ 3 (Act III)
โดยแต่ละองก์จะมีจุดสำคัญดังนี้
องก์ที่ 1 (25% ของความยาว)
แนะนำตัวละคร สถานที่ และความขัดแย้ง
ปูพื้นเรื่องราว
ดึงดูดความสนใจผู้ชม
องก์ที่ 2 (50% ของความยาว)
เพิ่มเดิมพันและบังคับให้ตัวละครเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง
ตัวละครต้องเผชิญอุปสรรคและบททดสอบต่างๆ
ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น
องก์ที่ 3 (25% ของความยาว)
แก้ไขปัญหาและสรุปเรื่องราว
ตัวละครเผชิญหน้ากับความขัดแย้งครั้งสุดท้าย
เรื่องราวถึงจุดสิ้นสุด
จุดสำคัญในแต่ละองก์
ฮุก (Hook) เป็นการเปิดเรื่องให้ดึงดูดความสนใจผู้ชม ชวนให้อยากติดตามต่อไป
เหตุการณ์ก่อเหตุ (Inciting Incident) จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง มักเกิดขึ้นประมาณ 12% ของความยาว
จุดพล็อตที่หนึ่ง (First Plot Point) ช่วงเปลี่ยนผ่านจากองก์ที่ 1 ไปยังองก์ที่ 2 ตัวละครมุ่งมั่นกับเป้าหมายและเผชิญหน้ากับอุปสรรค
จุดบีบครั้งที่หนึ่ง (First Pinch Point) อุปสรรคแรกที่ตัวละครต้องเผชิญ เพิ่มความตึงเครียด
จุดกึ่งกลาง (Midpoint) จุดเปลี่ยนสำคัญ พลิกผันเรื่องราว ตัวละครเผชิญหน้ากับศัตรูตัวจริง
จุดบีบครั้งที่สอง (Second Pinch Point) อุปสรรคใหญ่ขึ้น เดิมพันสูงขึ้น
จุดพล็อตที่สาม (Third Plot Point) ชัยชนะปลอม ตัวละครทุ่มสุดแรงแต่ประสบความสำเร็จไม่เต็มที่
จุดสุดยอด (Climax) การต่อสู้ครั้งสุดท้าย ตัดสินชะตาของเรื่อง
บทสรุป (Resolution) หลังจุดสุดยอด สรุปผล สะท้อนการเติบโตของตัวละคร
โครงสร้างสามองก์เป็นกรอบพื้นฐานที่ช่วยให้ภาพยนตร์มีพัฒนาการที่ราบรื่น น่าสนใจ และน่าติดตาม อย่างไรก็ตาม โครงสร้างนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จ ภาพยนตร์ที่ดีต้องมีทั้งโครงสร้างที่แน่นและตัวละครที่น่าสนใจ
ตัวอย่างภาพยนตร์
ภาพยนตร์หลายเรื่องใช้โครงสร้างสามองก์ เช่น
The Matrix (1999)
The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring (2001)
The Dark Knight (2008)
Parasite (2019)
ประโยชน์ของโครงสร้างสามองก์
โครงสร้างสามองก์มีประโยชน์ต่อผู้สร้างภาพยนตร์หลายประการ เช่น
ช่วยให้ผู้สร้างภาพยนตร์วางแผนเรื่องราวได้อย่างมีโครงสร้างและครอบคลุม
ช่วยให้ผู้สร้างภาพยนตร์สร้างเรื่องราวที่ดึงดูดความสนใจผู้ชมและน่าติดตาม
ช่วยให้ผู้สร้างภาพยนตร์สร้างเรื่องราวที่มีพัฒนาการที่สมเหตุสมผล
ข้อควรระวังของโครงสร้างสามองก์
โครงสร้างสามองก์ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ทุกภาพยนตร์ต้องปฏิบัติตาม ภาพยนตร์บางเรื่องอาจใช้โครงสร้างที่แตกต่างออกไป
สิ่งสำคัญคือผู้สร้างภาพยนตร์ต้องเลือกใช้โครงสร้างที่เหมาะสมกับเรื่องราวและเป้าหมายของภาพยนตร์