JJNY : ผู้นำฝ่ายค้าน มีหน้าที่อะไร│เทียบ4ร่างกม."สมรสเท่าเทียม"│“เหล็กจีน”เพิ่มความเสี่ยง“สงครามการค้า”│ชาวซูดานพลัดถิ่น

ผู้นำฝ่ายค้าน เงินเดือนเท่าไหร่ มีหน้าที่อะไร
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_657369/

ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ของ”ชัยธวัช ตุลาธน” ที่เพิ่งได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งอย่างเป็นทางการนั้น เป็นไปตาม มาตรา 106 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยกำหนดให้ ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน จะต้องพรรคที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี, ประธานสภาและรองประธานสภา ในสภาผู้แทนราษฎร โดยผู้นำฝ่ายค้านเริ่มมีขึ้นครั้งแรกในปี 2517
 
มีหน้าที่สำคัญคือการเป็นหัวหน้าในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และสิ้นสุดเมื่อพ้นจากการเป็นหัวหน้าพรรค และหรือสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงไม่ว่าจะครบวาระ หรือมีการยุบสภาก็ตาม และจากอดีต ถึงปัจจุบัน ประเทศไทย มีผู้นำฝ่ายค้านมาแล้ว
 
รวมทั้งสิ้น 10 คน ประกอบด้วย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์ ,พลตรีประมาณ อดิเรกสาร พรรคชาติไทย, พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ พรรคความหวังใหม่ ,นายบรรหาร ศิลปอาชา พรรคชาติไทย นายชวน หลีกภัย พรรคประชาธิปัตย์,นายบัญญัติ บรรทัดฐาน พรรคประชาธิปัตย์,นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์, นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ พรรคเพื่อไทย, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว พรรคเพื่อไทย และนายชัยธวัช เป็นคนล่าสุด ซึ่งในจำนวนนี้จะเห็นว่า ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านบ่อยที่สุดและหลังจากบุคคลที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านแล้ว มีโอกาสเป็น ผู้นำรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรี ถึง 5 คน คือหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช,พลเอกชวลิต ,นายบรรหาร,นายชวน และนายอภิสิทธิ์
 
เนื่องจากผู้นำฝ่ายค้าน มีความสำคัญ เพราะจะเป็นผู้นำ และตัวแทนของพรรคการเมือง ฝ่ายค้านในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลแล้ว ยังเป็นผู้ประสานแนวนโยบายโดยรวมของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน และควบคุมคะแนนเสียงให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง นั่นจึงเป็นสาเหตุสำคัญ ที่พรรคก้าวไกล ต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรค จาก “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จากคดีหุ้นสื่อ ไอทีวี เป็น “ชัยธวัช” พร้อมกับขับ “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” รองประธานสภาผู้แทนราษฏรออกจากพรรค เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ สำหรับการรักษาตำแหน่งนี้ไว้กับก้าวไกล โดยตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านจะมีเงินเดือน ตามเอกสารสิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราฎร 2556 คือ เงินเดือนประจำตำแหน่ง 73,240 บาท และเงินเพิ่ม 42,500 บาท รวมเป็น 115,740 บาท เท่ากับ ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และมากกว่า ส.ส.ทั่วไป ซึ่งมีเงินเดือนประจำตำแหน่ง 71,230 บาท เงินเพิ่ม 42,330 บาท รวมเป็น 113,560 บาท แต่น้อยกว่าตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฏร ที่มีเงินเดือน ประจำตำแหน่ง 75,590 บาท เงินเพิ่ม 50,000 บาท รวม 125,590 บาท เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


เทียบสาระความเหมือนและต่างของ 4 ร่างกฎหมาย"สมรสเท่าเทียม"
https://www.nationtv.tv/politic/378937819

อีกหนึ่งกฎหมายที่กำลังรอคอย เพราะจะเป็นบทสะท้อนถึงความเท่าเทียมต่อจากนี้  ภายหลังสภาผู้แทนราษฎร มีมติ 369 ต่อ 10 เสียง รับหลักการวาระแรก แก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ "กฎหมายสมรสเท่าเทียม" จำนวน 4 ฉบับ
 
โดยร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการนั้น ประกอบด้วย
○ คณะรัฐมนตรี (ครม.)
○ ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
○ สรรเพชญ์ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์
○ ภาคประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายกว่า 10,000 คน
 
เนื้อหาส่วนของใหญ่ของร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับ มีความคล้ายคลึงกัน แตกต่างกันในรายละเอียดบางส่วน  

สำหรับสาระสำคัญของร่างทั้ง 4 ฉบับ
1. การสมรส และการหมั้น ทำได้ต่อเมื่อบุคคลทั้ง 2 ฝ่าย เมื่ออายุ 17-18 ปีบริบูรณ์
2. การสมรสจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้จดทะเบียนต่อนายทะเบียน
3. การหมั้น หากฝ่ายใดผิดสัญญา อีกฝ่ายมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน
4. ผู้รับหมั้นหาผิดสัญญา ต้องคืนของหมั้นแก่ผู้หมั้น และคู่หมั้นอีกฝ่ายอาจเรียกค่าเสียหายจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นตน ภายหลังการหมั้นได้
5. คู่สมรสทุกเพศ มีสิทธิในสินสมรส เหมือนคู่สมรสชายหญิง
6. สิทธิในการฟ้องหย่า
7. การจัดการสินสมรสหลังหย่า
8. สิทธิในมรดก

ความแตกต่างของร่างทั้ง 4 ฉบับ มีอะไรบ้าง?
 
อายุการสมรสระหว่าง 17-18 ปี
○ ครม. พรรคก้าวไกล 17 ปีบริบูรณ์
○ ภาคประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ 18 ปีบริบูรณ์ แต่ถ้ามีเหตุอันควร ศาลอาจอนุญาตให้สมรสก่อนนั้นได้
 
ระยะเวลาบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา
○ ภาคประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ 60 วัน
○ รัฐบาล พรรคก้าวไกล 120 วัน
 
สิทธิในการรับเลี้ยงบุตร
○ ภาคประชาชน เสนอให้ครอบคลุมไปถึงคำว่า "บุพการี"
○ รัฐบาล พรรคก้าวไกล และพรรคประชาธิปัตย์ "ไม่มีการแก้ไข"
 
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนภายหลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติให้ความเห็นชอบรับหลักการร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับแล้ว ที่ประชุมจะตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จำนวน 39 คน ขึ้นมา 1 ชุด เพื่อนำเนื้อหาในร่างกฎหมาย ทั้ง 4 ฉบับ ที่มีการเสนอมาปรับแก้ร่วมกัน ก่อนส่งให้ที่ประชุมสภาฯ พิจารณาต่อในวาระที่ 2 และวาระ 3 ต่อไป 
 
จากนี้จึงต้องมาลุ้นว่าเมื่อจบในชั้น กมธ. และเข้าสู่วาระที่ 2 ซึ่งเปิดให้ สส. ที่สงวนคำแปรญัตติในชั้น กมธ. รวมถึง สส. เข้าประชุม อภิปรายกันนั้น จะมีทิศทางเป็นไปอย่างราบรื่น เหมือนในชั้นรับหลักการหรือไม่ 


 
“เหล็กจีน” เพิ่มความเสี่ยง “สงครามการค้า” รอบใหม่
https://www.prachachat.net/world-news/news-1465807

ปีนี้จีนส่งออกเหล็กมากขึ้นในรอบหลายปี ซึ่งนั่นไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการเจ้าถิ่นอย่างที่โรงงานเหล็กในไทยต้องเผชิญ  แต่ส่งผลกระทบต่อผู้ค้าเหล็กข้ามชาติด้วยกันด้วย และส่อเค้าที่จะสร้างความขัดแย้งหรือสงครามทางการค้าระลอกใหม่
 
นิกเคอิ เอเชีย” (Nikkei Asia) รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า การส่งออกเหล็กของจีนพุ่งสูงขึ้นถึงระดับที่ส่งผลกระทบต่อตลาดต่างประเทศและจุดชนวนความขัดแย้งทางการค้า โดยจีนส่งออกเหล็กประมาณ 90 ล้านตันในปี 2023 นี้ เข้าใกล้สถิติปี 2015 ที่ส่งออกมากถึง 110 ล้านตัน ซึ่งเป็นปีที่หลายประเทศทั่วโลกต้องงัดมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (anti-dumping) มาใช้กับเหล็กจีน

ผู้บริหารของบริษัทขนส่งทางทะเลรายใหญ่ของโลกรายหนึ่ง ที่เพิ่งเดินทางมาประเทศไทย ได้แสดงความประหลาดใจที่เห็นว่า “เหล็กจีน” เข้ามาพลิกโฉมตลาดอาเซียนไปอย่างไรบ้าง และเขาแสดงความเห็นว่า แม้จะมีมาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด แต่เหล็กชุบและผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันก็ยังสามารถผ่านเข้ามาได้ และดูเหมือนว่าการไหลบ่าเข้ามาของเหล็กของจีนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้
 
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน เป็นตลาดส่งออกสำคัญสำหรับเหล็กจีน โดยในเดือนกันยายน 2023 จีนส่งออกเหล็กมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 60% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YOY) การส่งออกไปยังมาเลเซียเพิ่มขึ้นประมาณ 80% ส่งออกไปยังอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 2 เท่า และส่งออกไปเวียดนามเพิ่มขึ้น 4 เท่า
 
สมาคมอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของอินโดนีเซียได้โน้มน้าวรัฐบาลให้ดำเนินมาตรการปกป้องอุตสาหกรรม ขณะที่รัฐบาลเวียดนามได้เริ่มพิจารณาการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการค้า ส่วนประเทศในอเมริกาใต้และตะวันออกกลาง ซึ่งนำเข้าเหล็กจีนในปริมาณมากต่างก็เพิ่มความระมัดระวังเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผลผลิตเหล็กของจีนกำลังแสดงสัญญาณการชะลอตัวลงแล้ว ตามข้อมูลเบื้องต้นจากสมาคมเหล็กโลก จีนผลิตเหล็กดิบได้ 79.1 ล้านตันในเดือนตุลาคม ลดลง 1.8% (YOY) แต่ยอดรวม 10 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 874.7 ล้านตัน ยังคงสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
 
ปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กจีน คือ ความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศลดลง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา ทำให้ดีมานด์เหล็กลดลงอย่างมีนัยสำคัญกว่าการชะลอตัวของฝั่งการผลิต
 
บริษัทเหล็กรายใหญ่ในจีนระบุว่า ดีมานด์ที่น้อยลง ส่งผลให้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนในจีนลดลงเหลือเกือบ 500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในฤดูใบไม้ร่วงนี้ (กันยายน-พฤศจิกายน) จากที่เคยมีราคาสูงประมาณ 900 ดอลลาร์ในช่วงกลางปี 2021 และขณะนี้เหล็กส่วนเกินกำลังถูกส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยได้แรงหนุนจากเงินหยวนที่อ่อนค่าและการส่งออกอย่างท่วมท้นของจีน ส่งผลให้ราคาเหล็กในตลาดเอเชียลดลงอย่างรวดเร็ว
จีนไม่ได้เพิ่มการส่งออกแค่เหล็กที่ราคาถูกอย่างที่เคยทำในอดีต แต่กำลังเปลี่ยนไปเพิ่มการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงด้วย ซึ่งแนวทางใหม่นี้ได้สร้างแรงกดดันให้แก่ผู้ผลิตเหล็กในประเทศพัฒนาแล้วอย่างเช่นญี่ปุ่น
 
การส่งออกเหล็กรีดร้อนของจีนพุ่งสูงถึง 14 ล้านตันในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2023 สูงกว่ายอดรวมทั้งปี 2015 ขณะที่การส่งออกเหล็กเส้นซึ่งเป็นสินค้าเหล็กราคาถูกมีจำนวนน้อยกว่า 5 ล้านตัน ซึ่งห่างไกลกันมากกับปี 2015 ที่ส่งออกมากกว่า 30 ล้านตัน
 
การส่งออกเหล็กของจีนไปยังญี่ปุ่นในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคมปีนี้เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของการส่งออกมายังตลาดอาเซียน แต่การส่งออกผลิตภัณฑ์บางอย่างของจีนไปยังญี่ปุ่น เช่น เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อนกำลังอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
 
ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตุรกีได้ดำเนินการจัดเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดสำหรับเหล็กแผ่นรีดร้อน ซึ่งไม่เพียงบังคับใช้กับเหล็กจากจีนเท่านั้น แต่ยังใช้กับเหล็กจากอินเดีย รัสเซีย และญี่ปุ่นด้วย นั่นทำให้ผู้ประกอบการจากประเทศอื่น ๆ รู้สึกไม่พอใจที่ต้องโดนผลกระทบตามการกระทำของจีนไปด้วย
 
ตัวแทนจากสหพันธ์เหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า ญี่ปุ่นไม่สามารถเพิกเฉยต่อความเสี่ยงที่อุตสาหกรรมเหล็กของญี่ปุ่นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันกับการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้มาตรการป้องกันที่ประเทศต่าง ๆ ใช้นั้น สามารถใช้กับเหล็กทั้งหมดโดยไม่คำนึงถึงแหล่งที่มา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่