[CR] No.75 Dream Scenario : รักฉัน โปรดฝันถึงฉัน


- ภาพรวมของหนังให้ Feel ระดับน้อง ๆ เรื่อง Beau is Afraid (2023) ก็ว่าได้ เป็นเพราะได้ผู้กำกับ Ari Aster มาคุมตำแหน่ง Producer จึงทำให้โครงเรื่องหรือทิศทางในการเล่าต่าง ๆ มีลายเซ็นที่ชัดเจนจนคิดว่าแกเป็นผู้กำกับเรื่องนี้จริง ๆ  ถึงว่าขณะดูผมจะนึกถึงแต่เรื่องนั้นลอยเข้ามาในหัวทั้งเรื่องอารมณ์เหมือนเล่นรถไฟเหาะในสวนสนุกขนาดย่อมที่ให้ความสนุก ตื่นเต้น และ สาระติดมือกลับบ้านได้ไม่แพ้ระดับใหญ่ ขณะเดียวกันระหว่างทางก็แอบเดาทางไม่ได้ว่าจะมีอะไรโผล่มา Surprise เราหรือเปล่า ? เครื่องเล่นแต่ละอย่างถึงจะไม่ได้ทำงานหนักหน่วงหรือโจ่งแจ้งเท่าเรื่องนั้น แต่ด้วยบทที่มีความน่าสนใจและซ่อนความหลากหลายอยู่ในนั้น เหมือนเอาหลาย ๆ แนวมายำรวมมิตรเพื่อเพิ่มอรรถรสให้คนดูเข้าใจและทั่วถึงมากขึ้น บางฉากนึกถึงผลงานกำกับของ M Night Shyamalan บางฉากก็นึกถึงเรื่อง Knowing (2009) ที่เขาเล่น ก็สามารถทำหน้าที่ช่วยปรุงแต่งเนรมิตให้เรื่องชวนน่าค้นหา น่าติดตามต่อไปจนเกือบปรับโหมดอารมณ์ไม่ทันว่าอันไหนคือเรื่องจริงอันไหนคือความฝันกันแน่ ? อีกทั้งความที่คาดเดาไม่ได้นี่แหล่ะมันทำให้เรา Enjoy กับเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

- ในเรื่องจะโฟกัสไปที่ตัวละครอย่าง Paul Matthews อาจารย์สอนวิชาชีวะ ซึ่งรับบทโดย นิค เคจ เป็นหลักเริ่มแรกก็เกริ่นนำให้เรารู้จักก่อนว่าเขาเป็นใคร ทำงานอะไร ชีวิตเป็นอย่างไร โน้นนั่นนี่ ซึ่งตรงส่วนนี้หนังจะเล่าชีวิตในฝันของใครหลายคนที่ดูเพียบพร้อมด้วยหน้าที่การงาน ครอบครัวสุขสันต์ ตามโครงการหมู่บ้านสวนศิริไปเรื่อย ๆ แล้วแทรกด้วยมุกตลกจิกกัดสังคมพอให้ขำเป็นระยะ แต่ความรวบรัดที่ชัดเจนคือการตัดต่อไปอีกฉากอย่างกระทันหันเป็นตัวเร่งให้เรื่องข้ามไปอย่างไวจนรู้สึกอารมณ์ค้างบ่อย ๆ จนแอบหงุดหงิดขึ้นมาหน่อย พอมาถึงตอนที่ Paul เจอกับแฟนเก่าในร้านอาหารโดยบังเอิญเท่านั้นแหล่ะหนังมันก็เริ่มเข้าสู่ประเด็นหลักอีกครั้ง แล้วหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ขยี้ต่อไปเรื่อย ๆ เริ่มมีคนหลายคน จู่ ๆ ดันฝันถึงเขาขึ้นมาเหมือนนัดกันมาฝันยังไงยังงั้นแล้วถูกพูดต่อจากคนสู่คนส่งต่อจนกลายเป็น Talk of the Town ลัทธิบูชาตัวบุคคลมีคนให้ความสนใจขอถ่ายรูป , ขอดีลงาน หรือขั้นออกรายการโทรทัศน์ จนทำให้ตัวเขาตกเป็นเป้านิ่งจากความหิวแสงของคนและต้องรับกับผลที่ตามมารวมถึงลูกเมียของเขาแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือจิตใจของคนที่มันหยั่งลึกเกินกว่าจะรู้เมื่อไม่มีความแน่นอน คนก็พร้อมใจคล้อยตามไปกับกระแสโดยมีสื่อตัวดีย์ที่ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนสร้างคนให้มีชื่อเสียงและเป็นตัวเสี้ยมชิ้นดีที่สามารถทำลายคนให้ย่อยยับลงได้เพียงเพราะการอุปทานหมู่ของคนล้วน ๆ ทั้งที่เป็นเรื่องจริงและเรื่องแต่งผสมกันจนแยกแยะไม่ออก ซึ่งที่จริงหนังก็ได้เกริ่นนำทิ้งไว้ตอนเปิดเรื่องแล้วแต่เรียกออเดิร์ฟย่อย ๆ ด้วยฉากกึ่ง Fantasy กึ่ง Mystery เพื่อดึง Theme Horror เข้าไปเพื่อเพิ่มลูกเล่นให้บรรยากาศดูบิดเบี้ยวลึกลับพิศวงเท่านี้ก็ทำเอาผมตกใจและทึ่งวิธีการนำเสนอที่แปลกแหวกแนวแล้วรู้สึกอย่างนี้อีกครั้งก็ตอนช่วงหลัง ๆ
 
-  การแสดงของนิค เคจ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแถมผมกลับชอบคาแรกเตอร์เพี้ยน ๆ หลุดโลกที่แกเล่นหนังเกรด B หนังนอกกระแสหลายเรื่องช่วงหลัง ๆ อย่าง Mandy (2018) , Color out of Space (2019) , Willy’s Wonderland (2021) และ The Unbearable Weight of Massive Talent (2022) มากกว่าสมัยขาขึ้นจากคว้ารางวัลออสการ์จากเรื่อง Leaving Las Vegas (1995) หรือ พวกหนังแอคชัน ยุค 90 ‘s อย่าง Con Air (1997) หรือ Face-Off (1997) จนเกลายเป็นมีมเป็น Signature ประจำตัวไปแล้ว ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่นที่คุ้นหน้าค่าตาอยู่อย่าง Michael Cera หรือ Noah Centineo ถึงโผล่ไม่เยอะแต่ทุก Scene ที่ปรากฎคุ้มค่าต่อการสละเวลาในยามว่างแวะมารับจ๊อบแล้วรับเงินค่าตัวกลับบ้านเพื่อขอให้ได้ประกบคู่กับนิค เคจ ก็รู้สึกเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลไปอวดญาติพี่น้องได้แล้ว 

- ในบรรดาสายหนังยุโรปหลายเรื่องที่ดูมาสำหรับผมเรื่องนี้ดูง่ายและเป็นมิตรกว่าเรื่องอื่น หลัก ๆ คือชินกับการดูหนังแนวนี้ไปแล้ว อีกส่วนหนึ่งการได้นักแสดงดังอย่างนิค เคจ มาเป็นจุดขายให้แก่คนดูสายแมสซื้อตั๋วเข้ามดูได้แล้วแถมดำรงตำแหน่ง Producer ร่วมกับ Ari ช่วยเป็นป๋าดันให้ผู้กำกับชาวนอร์เวย์อย่าง Kristoffer Borgli ที่เคยฝากผลงานให้ชมในบ้านเราเมื่อปลายปีที่แล้วอย่างเรื่อง Sick of Myself (2022) ได้เกิดกับเขาบ้าง ผมไม่เคยดูผลงานของเขาเลยไม่รู้ว่าสไตล์การกำกับเป็นอย่างไรแต่มาดูเรื่องนี้คือดีงาม บทแปลกใหม่น่าสนใจมีชัยไปกว่าครึ่ง เดินเรื่องสนุก ไม่หวือหวามากแต่น่าค้นหา มีส่วนผสมระหว่างหนังอินดี้กับหนังแมสในอัตราที่ชัดเจนแบ่งครึ่งโทนให้กับคนดูจนเห็นถึงความแตกต่างแต่ก็มีความลงตัวอย่างงง ๆ แถมยกระดับชื่อเสียงของตัวผู้กำกับให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

- สรุป ชอบมาก ติด List หนังที่ชอบส่งท้ายปีไปอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 42 นาทีที่ไม่นานมากจึงไม่จำเป็นต้องแวะดูนาฬิกาว่าผ่านไปกี่นาทีด้วยความเบื่อหน่าย ถึงแม้จะหาวบ้างเป็นระยะ ก็เป็นหนังอินดี้ที่มีไอเดียดีแต่นำเสนอในบาร์ที่มีจุดจำกัดอยู่จนไม่ได้ทะลุประตูถึงขั้นพีคสุด ซึ่งคนดูสายแมสก็ดูได้เข้าใจไม่ยาก การเล่าเรื่องจึงค่อยเป็นไปอย่างเรื่อย ๆ แต่มีความทุลักทุเลไปกับฉากเพี้ยน ๆ หลุดโลกเสริมเข้ามาให้ Enjoy เป็นระยะแต่พอมาในโหมด Drama ก็จัดหนักทางวาทกรรมเน้น ๆ จนขำไม่ออก บทสรุปพอคาดการณ์ไว้ได้อยู่ว่าจะหาทางลงแบบนี้ แต่ก็ยังอุตส่าห์เสิร์ฟฉาก Surprise กิมมิคเล็ก ๆ ช่วยเติมเต็มความรู้สึกอีกทีขนาดว่าใกล้จะจบแล้ว ภาพรวมของหนังยังคุม Concept ของค่าย A24 ดีอยี่อกทั้งให้นัยยะที่มาพร้อมกับปรัชญา การตั้งคำถามกับชีวิตเป็นของตบท้ายสมนาคุณรวมถึงการค้นหาตัวตนในเรื่องความฝันที่ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่หลั่งออกมาจากสมองแล้วปรากฎเป็นภาพฉายในขณะนอนหลับหรือนิมิตจากญาณวิเศษด้วยพิธีการเชื่อมจิตห่าเหวอะไรนั่นแต่พูดถึงสิ่งที่อยากจะทำต่อจากนี้แล้วพอหนังมันโฟกัสที่ตัวลุง Paul ที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือดูมีหน้าค่าตาทางสังคมแต่มีปมสะสมในใจตลอดมาคือการเป็นนักเขียนในขณะที่ตัวเองอยู่ช่วงวัยใกล้เกษียณแล้วก็ยิ่งทำให้เราเอาใจช่วยให้ลุงสมพรปรารถนา อีกมุมเหมือนช่วย Heel ใจเราที่อยู่ในสภาวะคล้ายกับลุงเช่นกัน ผมว่าถ้าลุง Paul เผลอมาเข้าฝันคนไทยรับรองเกิน 100 % ไม่พ้นขอเบอร์หรือช่วยใบ้หวยให้ถูกรางวัลที่ 1  ดีไม่ดีเดินอยู่ดี ๆ มีคนมาจากไหนไม่รู้แห่มารุมจุดธูปกราบไหว้แล้วเอาพวงมาลัยเอาผ้า 3 สีมาคล้องคอผูกเอวแก้บนนี้กลายเป็นศาลพระภูมิเคลื่อนที่แน่นอน 55

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ  Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่