ความรักในวัยเรียน เหมือนจุดเทียนกลางสายฝน จริงไหม ???
สวัสดีค่ะ เราชื่อน้ำนะคะ ทุกคนเคยมีป๊อปปี้เลิฟในวัยเรียนกันไหมคะ ตอนที่คบกันเราก็อยากจะคบกันไปจนแต่งงานกันใช่ไหม วันนี้เล่าจะมาเล่าเรื่องเรากับสามีของเราเมื่อ 13 ปีก่อนนะคะ
เรากับสามีเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกัน เราเจอเขาครั้งแรกตอนเข้าแถวหน้าเสาธง ม.1 แล้วรู้สึกว้าว คนนี้คือใช่เลย จากนั้นก็รู้ชื่อเขาเพราะเขาเขียนชื่อติดกระเป๋าตัวเบ้อเริ่ม 555
จากนั้นเราก็ตามติดชีวิตเขา เขาเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยพูด เป็นหัวหน้าห้อง เรียนดี กีฬาเด่น เล่นดนตรีได้ และมีคนที่ชอบเขาเยอะมาก มองกลับมาที่ตัวเองที่เป็นคนบ้านๆ ต้องสู้กับสาวๆเขาเยอะมาก ทั้งห้องเดียวกับเขาและคนที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่เรามันเป็นนักสู้ค่ะ เธอเมิน เราตาม พยายามเอาตัวไปให้เขาเห็นผ่านๆตา ให้รู้ว่าชอบๆเธอ 5555
เราตามจีบเขาอยู่ 2 ปี ( ใช่จ้า ฉันตามจีบ ผช ค่ะคุณณณ ) พร้อมทั้งต่อสู้กับคนที่ชอบเขา ชอบมาแขวะ มามองแรงเราตลอดเวลา 2 ปี จนกระทั่งวันหนึ่ง ตอนนั้นเราอยู่ ม.3 บังเอิญโลกกลม หรือพรหมลิขิต เราไปเดินตลาด ซึ่งก่อนกลับบ้านรถโรงเรียนจะจอดให้ลงซื้อของได้ เราก็ได้ไปเจอเขาเดินอยู่กับพี่ชาย เพื่อนที่มาด้วยก็เลยบอกให้เราเข้าไปทัก ตอนนั้นจำได้ว่าไม่รู้จะหาวิธีไหนเดินไปหาเนียนๆ แต่ตาก็เหลือบไปเห็นปกคอเสื้อนักเรียนเขาที่มันไม่เรียบร้อย เราก็ เอาว่ะ เดินไปจัดคอเสื้อจากด้านหลังให้ แล้วหลังจากนั้นเราก็ได้คุยกัน
เราตกลงคบกันวันที่ 6 มิย 2553 จำได้ว่าน่าจะเรียนอยู่ม.3 เป็นตอนที่เราพึ่งรู้จัก Facebook ก็คุยกันผ่านการโทรคุย และ FB นี้แหละ เราจะชอบไปโพสหน้าโปรไฟล์เขาวันละ 8 ล้านรอบได้ คนรอบตัวก็เริ่มรู้ว่าคบกัน แต่ด้วยความที่ยังเด็ก เรายังไม่ได้ไปไหนด้วยกันนะ แบบเดตหรืออะไรแบบนี้ จะมีก็เจอกันแบบ แว๊ปๆ ระหว่างพักเที่ยง หรือหลังเลิกเรียนที่เขาจะชอบไปเล่นบอลบ้าง เล่นบาสบ้าง เราก็จะซื้อน้ำไปยืนรอข้างสนาม
เราเริ่มเดตกันครั้งแรกน่าจะ ม. 5 หลังจากที่คบกันเวลาเราไปหาเขาที่ห้องเรียน เพื่อนผู้หญิงห้องเขาที่แอบชอบเขาก็ยังมีแขวะ มีมองแรง ชอบทำตัวสนิทสนมกันต่อหน้าเราบ่อยครั้ง กระทั่งโพส FB ด่า หรือบางคนมาในคราบเพื่อนสาวใจดี ที่ปรึกษาดีเด่น มาตีสนิทเราและเริ่มไปสนิทกับแฟนเรา ถามว่าจะจัดการใคร ก็ต้องแฟนเราสิค่ะ ดีที่เขาแคร์เรามากพอที่จะกันทุกๆเรื่องที่ทำให้เราไม่สบายใจออกไป ถึงเขาจะไม่ค่อยพูด แต่เขาก็แสดงออกว่าเขารักเรามากพอ
หลังจากเรียนจบ ม.6 เราก็เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่คนละสาขา (ใช่จ้า ฉันตาม ผช มาเรียนค่ะ 555 ) ถึงช่วงปี 1 มีห่างกันบ้างเพราะติดเพื่อน แล้วก็มีคนมาตามจีบเขาบ้างประปราย เราก็จะชอบไปเสนอหน้าที่สาขาเขา ไปเจอเพื่อนเขา ทำความรู้จักทักทาย ไปประกาศเป็นกลายๆว่า “ประทานโทษนะคะ นี้คนของฉันจ้า” 555
ในช่วงเรียนมหาลัย ( หลังจากผ่านช่วงติดเพื่อนมาอ่ะนะ 555 ) เรามีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เขาจะช่วยเราติวเกี่ยวกับการคำนวณ เราก็จะช่วยเขาเรื่องภาษา เราชอบใช้เวลาว่างด้วยการไปที่ห้องสมุดด้วยกัน ปิดเทอมก็กลับบ้านด้วยกัน มีไปเที่ยวบ้างส่วนมากก็ในจังหวัดนะ แล้วก็มีไปเข้าค่ายด้วยกัน เขาเป็นประธานชมรมค่ายอาสา ของสาขาที่เขาเรียนอยู่ เราก็ชอบติดสอยห้อยตาม ไปสำรวจพื้นที่ที่จะทำค่าย หรือกระทั่งไปเข้าค่ายที่เขาไปทำด้วย เอาจริงคือ ไปเป็นไม้กันหมาจ้า คริคริ
เราปลูกต้นไม้ที่มหาลัยไว้เป็นที่ระลึกด้วยกัน 1 ต้น จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันสิ่งแวดล้อม แล้วที่มหาลัยจัดกิจกรรมขึ้น เรา 2 คนก็ไปปลูกด้วยกัน จากต้นไม้เล็กๆ ตอนนี้โตขึ้นมากเลย ทุกๆปีถ้าผ่านไปทางนั้น เราก็จะแวะไปที่มหาลัย แล้วไปดูต้นไม้ที่เราปลูก เหมือนเศษเสี้ยวความทรงจำเล็กๆ และเป็นการยืนยันว่าเรา 2 คนเคยอยู่ที่นี้กันจริงๆ
จนกระทั่งเรา 2 คน เรียนจบ เราก็ต้องห่างกัน ด้วยความที่ทำงานคนละจังหวัด เขาจะนั่งรถทัวร์มาหาเราทุกอาทิตย์ หรือบางอาทิตย์เราก็จะไปหาเขา เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันแค่อาทิตย์ละวัน เวลาจะจากกันเป็นเราที่ต้องน้ำตาตกทุกที มันมีความใจหายทุกครั้งที่ต้องห่างกัน และเราก็เริ่มรู้สึกว่าเหนื่อย เหนื่อยทั้งงาน เหนื่อยเดินทาง เราจึงตัดสินใจมาทำงานจังหวัดเดียวกันกับเขา พยายามหางานที่อยู่ใกล้กัน เราเช่าห้องอยู่ด้วยกัน เขาจะหาห้องที่เราสามารถเดินไป- กลับได้ เขายอมลำบากขับรถไปทำงานไกลๆ (มอไซต์) ตอนเช้าเขาจะแวะมาส่งเราที่ทำงาน ตอนเย็นเราก็สามารถเดินกลับเองได้
เราทำงานหยุดแค่อาทิตย์ละวัน บางอาทิตย์แฟนเราก็ไม่หยุด เพราะถ้าเป็นช่วงต้องเปิดโครงการหรือปิดโครงการก็ไม่สามารถหยุดได้ (แฟนเราเป็นวิศวกร ) แต่เขาก็พยายามให้เวลากับเรา พาเราไปกินข้าว ชวนไปเดินงานวัดบ้าง หรือถ้าอาทิตย์ไหนหยุดก็จะพาไปคาเฟ่ พาไปเที่ยวทะเล พาไปกินชาบูหมูกระทะ เขาเคยสัญญาว่า ถ้าเขามีเงิน ร้านไหนที่ดี ที่อร่อยเขาจะพาเราไป แต่น่าจะรักษาสัญญาดีเกินไปหน่อยเพราะเราตัวอวบอ้วนขึ้น น้ำหนักขึ้นมา จนตอนนี้ 60 กิโลแล้วค่าาาา
จนกระทั่ง วันที่ 2 มค 2564 เราก็จัดงานหมั้นเล็กๆขึ้น โดยเขาสัญญาว่าอีก 3 ปี จะจัดงานแต่งงานให้ เขาขอเวลาเก็บเงินก่อน เพราะเขาเอาเงินไปซื้อคอนโดในชื่อของเราเลยทำให้หมุนเงินไม่ทัน 555 แต่ไม่เป็นไร เรารอได้ เพราะทุกอย่างมีเวลาของมันเสมอ
ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง วันที่ 11 ธค 2566 เรา 2 คน ก็จัดงานแต่งขึ้น เป็นงานแต่งเล็กๆ โดยจัดที่โรงเรียนสมัยเราเรียนอยู่มัธยม เพราะเป็นทั้งสถานที่ที่ทำให้เรา 2 คนได้พบกัน ได้รักกัน และเป็นสถานที่ในความทรงจำที่ดีของเรา 2 คน ตอนผ่านประตูเงิน- ประตูทอง เขาบอกว่าช่วงเวลาที่ทัชใจมากที่สุดคือตอนที่เราไปเดินตลาดกับเขาเป็นครั้งแรก เป็นช่วงเวลาที่เขา ว้าว และจำจนถึงทุกวันนี้ 555 น้ำตาจะไหล แปลว่าก่อนหน้านี้ที่ชอบเสนอหน้าไปให้เห็นไม่ได้ผลหรอกหรอ T T
เราคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความรัก แต่มันคือจุดเริ่มต้นจริงๆต่างหาก เรารู้สึกว่าเราใช้โชคในชีวิตไปหมดแล้วตั้งแต่เจอเขา ขอบคุณตลอดระยะเวลา 13 ปี ในฐานะแฟนที่คอยดูแล เอาใจใส่ คอยปลอบใจ คอยร้องไห้ไปด้วยกัน และสวัสดีฐานะสามีที่น่ารักของเรา
สุดท้ายนี้ ฝากถึงคนที่กำลังมีความรักในวัยเรียน อย่าพึ่งเดินเรื่องความรักแบบรวดเร็วเกินไป ปล่อยให้เวลามันค่อยๆหมุนผ่านตัวเรา ปล่อยให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะที่ควร ทุกอย่างจะลงตัว ลงล๊อคของมันเอง ความรักเป็นสิ่งสวยงามค่ะ แต่ต้องคู่กับความถูกต้อง เหมาะสมด้วยเช่นกันนะคะ
แด่ แฟนคนแรกและคนสุดท้ายของเรา
ความรักในวัยเรียน จะคบกันจนได้แต่งงานกัน จริงหรอ?
สวัสดีค่ะ เราชื่อน้ำนะคะ ทุกคนเคยมีป๊อปปี้เลิฟในวัยเรียนกันไหมคะ ตอนที่คบกันเราก็อยากจะคบกันไปจนแต่งงานกันใช่ไหม วันนี้เล่าจะมาเล่าเรื่องเรากับสามีของเราเมื่อ 13 ปีก่อนนะคะ
เรากับสามีเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกัน เราเจอเขาครั้งแรกตอนเข้าแถวหน้าเสาธง ม.1 แล้วรู้สึกว้าว คนนี้คือใช่เลย จากนั้นก็รู้ชื่อเขาเพราะเขาเขียนชื่อติดกระเป๋าตัวเบ้อเริ่ม 555
จากนั้นเราก็ตามติดชีวิตเขา เขาเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยพูด เป็นหัวหน้าห้อง เรียนดี กีฬาเด่น เล่นดนตรีได้ และมีคนที่ชอบเขาเยอะมาก มองกลับมาที่ตัวเองที่เป็นคนบ้านๆ ต้องสู้กับสาวๆเขาเยอะมาก ทั้งห้องเดียวกับเขาและคนที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่เรามันเป็นนักสู้ค่ะ เธอเมิน เราตาม พยายามเอาตัวไปให้เขาเห็นผ่านๆตา ให้รู้ว่าชอบๆเธอ 5555
เราตามจีบเขาอยู่ 2 ปี ( ใช่จ้า ฉันตามจีบ ผช ค่ะคุณณณ ) พร้อมทั้งต่อสู้กับคนที่ชอบเขา ชอบมาแขวะ มามองแรงเราตลอดเวลา 2 ปี จนกระทั่งวันหนึ่ง ตอนนั้นเราอยู่ ม.3 บังเอิญโลกกลม หรือพรหมลิขิต เราไปเดินตลาด ซึ่งก่อนกลับบ้านรถโรงเรียนจะจอดให้ลงซื้อของได้ เราก็ได้ไปเจอเขาเดินอยู่กับพี่ชาย เพื่อนที่มาด้วยก็เลยบอกให้เราเข้าไปทัก ตอนนั้นจำได้ว่าไม่รู้จะหาวิธีไหนเดินไปหาเนียนๆ แต่ตาก็เหลือบไปเห็นปกคอเสื้อนักเรียนเขาที่มันไม่เรียบร้อย เราก็ เอาว่ะ เดินไปจัดคอเสื้อจากด้านหลังให้ แล้วหลังจากนั้นเราก็ได้คุยกัน
เราตกลงคบกันวันที่ 6 มิย 2553 จำได้ว่าน่าจะเรียนอยู่ม.3 เป็นตอนที่เราพึ่งรู้จัก Facebook ก็คุยกันผ่านการโทรคุย และ FB นี้แหละ เราจะชอบไปโพสหน้าโปรไฟล์เขาวันละ 8 ล้านรอบได้ คนรอบตัวก็เริ่มรู้ว่าคบกัน แต่ด้วยความที่ยังเด็ก เรายังไม่ได้ไปไหนด้วยกันนะ แบบเดตหรืออะไรแบบนี้ จะมีก็เจอกันแบบ แว๊ปๆ ระหว่างพักเที่ยง หรือหลังเลิกเรียนที่เขาจะชอบไปเล่นบอลบ้าง เล่นบาสบ้าง เราก็จะซื้อน้ำไปยืนรอข้างสนาม
เราเริ่มเดตกันครั้งแรกน่าจะ ม. 5 หลังจากที่คบกันเวลาเราไปหาเขาที่ห้องเรียน เพื่อนผู้หญิงห้องเขาที่แอบชอบเขาก็ยังมีแขวะ มีมองแรง ชอบทำตัวสนิทสนมกันต่อหน้าเราบ่อยครั้ง กระทั่งโพส FB ด่า หรือบางคนมาในคราบเพื่อนสาวใจดี ที่ปรึกษาดีเด่น มาตีสนิทเราและเริ่มไปสนิทกับแฟนเรา ถามว่าจะจัดการใคร ก็ต้องแฟนเราสิค่ะ ดีที่เขาแคร์เรามากพอที่จะกันทุกๆเรื่องที่ทำให้เราไม่สบายใจออกไป ถึงเขาจะไม่ค่อยพูด แต่เขาก็แสดงออกว่าเขารักเรามากพอ
หลังจากเรียนจบ ม.6 เราก็เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่คนละสาขา (ใช่จ้า ฉันตาม ผช มาเรียนค่ะ 555 ) ถึงช่วงปี 1 มีห่างกันบ้างเพราะติดเพื่อน แล้วก็มีคนมาตามจีบเขาบ้างประปราย เราก็จะชอบไปเสนอหน้าที่สาขาเขา ไปเจอเพื่อนเขา ทำความรู้จักทักทาย ไปประกาศเป็นกลายๆว่า “ประทานโทษนะคะ นี้คนของฉันจ้า” 555
ในช่วงเรียนมหาลัย ( หลังจากผ่านช่วงติดเพื่อนมาอ่ะนะ 555 ) เรามีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เขาจะช่วยเราติวเกี่ยวกับการคำนวณ เราก็จะช่วยเขาเรื่องภาษา เราชอบใช้เวลาว่างด้วยการไปที่ห้องสมุดด้วยกัน ปิดเทอมก็กลับบ้านด้วยกัน มีไปเที่ยวบ้างส่วนมากก็ในจังหวัดนะ แล้วก็มีไปเข้าค่ายด้วยกัน เขาเป็นประธานชมรมค่ายอาสา ของสาขาที่เขาเรียนอยู่ เราก็ชอบติดสอยห้อยตาม ไปสำรวจพื้นที่ที่จะทำค่าย หรือกระทั่งไปเข้าค่ายที่เขาไปทำด้วย เอาจริงคือ ไปเป็นไม้กันหมาจ้า คริคริ
เราปลูกต้นไม้ที่มหาลัยไว้เป็นที่ระลึกด้วยกัน 1 ต้น จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันสิ่งแวดล้อม แล้วที่มหาลัยจัดกิจกรรมขึ้น เรา 2 คนก็ไปปลูกด้วยกัน จากต้นไม้เล็กๆ ตอนนี้โตขึ้นมากเลย ทุกๆปีถ้าผ่านไปทางนั้น เราก็จะแวะไปที่มหาลัย แล้วไปดูต้นไม้ที่เราปลูก เหมือนเศษเสี้ยวความทรงจำเล็กๆ และเป็นการยืนยันว่าเรา 2 คนเคยอยู่ที่นี้กันจริงๆ
จนกระทั่งเรา 2 คน เรียนจบ เราก็ต้องห่างกัน ด้วยความที่ทำงานคนละจังหวัด เขาจะนั่งรถทัวร์มาหาเราทุกอาทิตย์ หรือบางอาทิตย์เราก็จะไปหาเขา เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันแค่อาทิตย์ละวัน เวลาจะจากกันเป็นเราที่ต้องน้ำตาตกทุกที มันมีความใจหายทุกครั้งที่ต้องห่างกัน และเราก็เริ่มรู้สึกว่าเหนื่อย เหนื่อยทั้งงาน เหนื่อยเดินทาง เราจึงตัดสินใจมาทำงานจังหวัดเดียวกันกับเขา พยายามหางานที่อยู่ใกล้กัน เราเช่าห้องอยู่ด้วยกัน เขาจะหาห้องที่เราสามารถเดินไป- กลับได้ เขายอมลำบากขับรถไปทำงานไกลๆ (มอไซต์) ตอนเช้าเขาจะแวะมาส่งเราที่ทำงาน ตอนเย็นเราก็สามารถเดินกลับเองได้
เราทำงานหยุดแค่อาทิตย์ละวัน บางอาทิตย์แฟนเราก็ไม่หยุด เพราะถ้าเป็นช่วงต้องเปิดโครงการหรือปิดโครงการก็ไม่สามารถหยุดได้ (แฟนเราเป็นวิศวกร ) แต่เขาก็พยายามให้เวลากับเรา พาเราไปกินข้าว ชวนไปเดินงานวัดบ้าง หรือถ้าอาทิตย์ไหนหยุดก็จะพาไปคาเฟ่ พาไปเที่ยวทะเล พาไปกินชาบูหมูกระทะ เขาเคยสัญญาว่า ถ้าเขามีเงิน ร้านไหนที่ดี ที่อร่อยเขาจะพาเราไป แต่น่าจะรักษาสัญญาดีเกินไปหน่อยเพราะเราตัวอวบอ้วนขึ้น น้ำหนักขึ้นมา จนตอนนี้ 60 กิโลแล้วค่าาาา
จนกระทั่ง วันที่ 2 มค 2564 เราก็จัดงานหมั้นเล็กๆขึ้น โดยเขาสัญญาว่าอีก 3 ปี จะจัดงานแต่งงานให้ เขาขอเวลาเก็บเงินก่อน เพราะเขาเอาเงินไปซื้อคอนโดในชื่อของเราเลยทำให้หมุนเงินไม่ทัน 555 แต่ไม่เป็นไร เรารอได้ เพราะทุกอย่างมีเวลาของมันเสมอ
ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง วันที่ 11 ธค 2566 เรา 2 คน ก็จัดงานแต่งขึ้น เป็นงานแต่งเล็กๆ โดยจัดที่โรงเรียนสมัยเราเรียนอยู่มัธยม เพราะเป็นทั้งสถานที่ที่ทำให้เรา 2 คนได้พบกัน ได้รักกัน และเป็นสถานที่ในความทรงจำที่ดีของเรา 2 คน ตอนผ่านประตูเงิน- ประตูทอง เขาบอกว่าช่วงเวลาที่ทัชใจมากที่สุดคือตอนที่เราไปเดินตลาดกับเขาเป็นครั้งแรก เป็นช่วงเวลาที่เขา ว้าว และจำจนถึงทุกวันนี้ 555 น้ำตาจะไหล แปลว่าก่อนหน้านี้ที่ชอบเสนอหน้าไปให้เห็นไม่ได้ผลหรอกหรอ T T
เราคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความรัก แต่มันคือจุดเริ่มต้นจริงๆต่างหาก เรารู้สึกว่าเราใช้โชคในชีวิตไปหมดแล้วตั้งแต่เจอเขา ขอบคุณตลอดระยะเวลา 13 ปี ในฐานะแฟนที่คอยดูแล เอาใจใส่ คอยปลอบใจ คอยร้องไห้ไปด้วยกัน และสวัสดีฐานะสามีที่น่ารักของเรา
สุดท้ายนี้ ฝากถึงคนที่กำลังมีความรักในวัยเรียน อย่าพึ่งเดินเรื่องความรักแบบรวดเร็วเกินไป ปล่อยให้เวลามันค่อยๆหมุนผ่านตัวเรา ปล่อยให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะที่ควร ทุกอย่างจะลงตัว ลงล๊อคของมันเอง ความรักเป็นสิ่งสวยงามค่ะ แต่ต้องคู่กับความถูกต้อง เหมาะสมด้วยเช่นกันนะคะ