1. เอาดาราที่ฝีมือไม่ถึงมาเล่น ละครขาดความเป็นศิลปะทันที ดาราหน้าใหม่ ควรฝึกจากละครก่อนข่าว หรือ บทตัวประกอบไปก่อน หากยังไม่พบเสนห์ทางการแสดง อย่าเพิ่งเอามาเป็นตัวหลัก ลดต้นทุนโดยจ้างดาราที่ค่าตัวยังไม่แพง แต่เขาพาละครไปสู่จุดที่ทำกำไรไม่ได้
2. ดาราที่เล่นเป็นตัวประกอบแล้ว shine ไม่ได้หมายความว่า เขาพร้อมจะเป็นตัวเอกได้เสมอไป
ยิ่งถ้าเป็นบทตัวประกอบที่สำคัญ แต่ไม่ใช่ตัวเอก อาจจะอยู่ในความทรงจำของคนดูได้เหมือนกัน อาทิ ชาย ชาตโยดม เราจำไม่ได้ว่าชาย เล่นเป็นพระเอกเรื่องใด แต่พอเขาเป็นตัวประกอบ จำได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องแรก รู้สึกว่าเขาเป็นนักแสดงที่เก่งทำให้ตัวละครซึ่งเป็นตัวประกอบ ดูน่าสนใจ ละสายตาไม่ได้เลย
3. บท ควรให้ความสำคัญกับการสร้างผู้เขียนบท ที่สามารถนำเสนอเรื่องราวให้มีความลึก ซับซ้อน น่าติดตาม เพราะละครคือความบันเทิงที่คุณภาพสูงกว่าวิดิโอเรียลในติ๊กต๊อก บทคือปัจจัยบ่งชี้ ว่าละครไทยสู้ชาติอื่นได้หรือไม่ ส่วนนักแสดง/งานภาพไม่น่าห่วง ฝีมือศิลปินไทยสู้ได้แน่นอน
4. ความเชื่อเรื่องถ้านักแสดงเก่ง ต้องเล่นได้ครบทุกบท แต่ความจริงแล้ว แม้นักแสดง 1 คนจะเล่นได้หลากหลาย เขาก็มีเชดของตัวเอง
ที่หากเล่นเลยจุดไป การที่จะทำให้ตัวละครตัวนั้นมีเสน่ห์ขั้นสุดได้จริงๆ อาจทำไม่ได้ ซึ่งหมายความว่า เขาเล่นได้ แต่อาจไม่ประสพความสำเร็จเท่าที่ควร
อาทิ แอน ทองประสม ในบทคุณหญิงอลิสา ไม่สามารถทำลายภาพจำของจินตหราในบทอลิสาได้ โป๊บ ในบทพ่อริด ที่เล่นได้ แต่อาจไม่ได้มีเสน่ห์เท่า
การเล่นบทพระเอก บุคลิกของภาคแรก แอฟ ทักษอร ในบทร้าย ซึ่งเป็นการทดลอง ที่สุ่มเสี่ยงต่อการลงทุน ไม่ได้หมายความว่า เล่นไม่ได้
แต่การดึงเสน่ห์ออกมาจากตัวร้าย อาจจะต้องอาศัยการกำกับที่ดีประกอบด้วย เพื่อให้เกิดเทคนิกที่น่าสนใจในการนำเสนอตัวละครออกมา
จากร้ายเปิดเผย เป็นร้ายผสมดี มีชั้นเชิงขึ้น
5. มุขเดิมๆ ที่เห็นบ่อย ต้องหยุดใช้ หรือ ใช้ให้น้อย แล้วสร้างสรรค์ให้มากขึ้น เช่น ฉากล้มแล้วพระเอกมารับ ค่านิยมเรื่องการแต่งงาน-มีลูกคือที่สุดของความสุข นั่นอาจทำให้คนรุ่นใหม่ Gen XYZ ไม่อินเท่าในอดีต (Baby Boomers) เพราะบริบทสังคมเปลี่ยนไป
และอื่นๆ ลองเสนอกันมาดูค่ะ
วิธีที่ควรเปลี่ยนเพื่อปรับให้ละครดึงดูดใจ และทำกำไร
2. ดาราที่เล่นเป็นตัวประกอบแล้ว shine ไม่ได้หมายความว่า เขาพร้อมจะเป็นตัวเอกได้เสมอไป
ยิ่งถ้าเป็นบทตัวประกอบที่สำคัญ แต่ไม่ใช่ตัวเอก อาจจะอยู่ในความทรงจำของคนดูได้เหมือนกัน อาทิ ชาย ชาตโยดม เราจำไม่ได้ว่าชาย เล่นเป็นพระเอกเรื่องใด แต่พอเขาเป็นตัวประกอบ จำได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องแรก รู้สึกว่าเขาเป็นนักแสดงที่เก่งทำให้ตัวละครซึ่งเป็นตัวประกอบ ดูน่าสนใจ ละสายตาไม่ได้เลย
3. บท ควรให้ความสำคัญกับการสร้างผู้เขียนบท ที่สามารถนำเสนอเรื่องราวให้มีความลึก ซับซ้อน น่าติดตาม เพราะละครคือความบันเทิงที่คุณภาพสูงกว่าวิดิโอเรียลในติ๊กต๊อก บทคือปัจจัยบ่งชี้ ว่าละครไทยสู้ชาติอื่นได้หรือไม่ ส่วนนักแสดง/งานภาพไม่น่าห่วง ฝีมือศิลปินไทยสู้ได้แน่นอน
4. ความเชื่อเรื่องถ้านักแสดงเก่ง ต้องเล่นได้ครบทุกบท แต่ความจริงแล้ว แม้นักแสดง 1 คนจะเล่นได้หลากหลาย เขาก็มีเชดของตัวเอง
ที่หากเล่นเลยจุดไป การที่จะทำให้ตัวละครตัวนั้นมีเสน่ห์ขั้นสุดได้จริงๆ อาจทำไม่ได้ ซึ่งหมายความว่า เขาเล่นได้ แต่อาจไม่ประสพความสำเร็จเท่าที่ควร
อาทิ แอน ทองประสม ในบทคุณหญิงอลิสา ไม่สามารถทำลายภาพจำของจินตหราในบทอลิสาได้ โป๊บ ในบทพ่อริด ที่เล่นได้ แต่อาจไม่ได้มีเสน่ห์เท่า
การเล่นบทพระเอก บุคลิกของภาคแรก แอฟ ทักษอร ในบทร้าย ซึ่งเป็นการทดลอง ที่สุ่มเสี่ยงต่อการลงทุน ไม่ได้หมายความว่า เล่นไม่ได้
แต่การดึงเสน่ห์ออกมาจากตัวร้าย อาจจะต้องอาศัยการกำกับที่ดีประกอบด้วย เพื่อให้เกิดเทคนิกที่น่าสนใจในการนำเสนอตัวละครออกมา
จากร้ายเปิดเผย เป็นร้ายผสมดี มีชั้นเชิงขึ้น
5. มุขเดิมๆ ที่เห็นบ่อย ต้องหยุดใช้ หรือ ใช้ให้น้อย แล้วสร้างสรรค์ให้มากขึ้น เช่น ฉากล้มแล้วพระเอกมารับ ค่านิยมเรื่องการแต่งงาน-มีลูกคือที่สุดของความสุข นั่นอาจทำให้คนรุ่นใหม่ Gen XYZ ไม่อินเท่าในอดีต (Baby Boomers) เพราะบริบทสังคมเปลี่ยนไป
และอื่นๆ ลองเสนอกันมาดูค่ะ