เมื่อเวลานั้นมาถึง

สวัสดีครับ
วันนี้ผมมีเรื่องสัพเพเหระมาเล่าอีกแล้ว  เป็นประสบการณ์ตรงของผมเอง

หลังจากพักร่างกายและจิตใจมาถึง3เดือนเต็ม
ผมก็คิดว่า ใจผมแข็งแรงพอที่จะเล่าถึงเรื่องนี้ได้แล้ว  มาครับ  มาอ่านกัน ไม่แน่ในวันหนึ่งวันใดข้างหน้าอาจเป็นประโยชน์กับท่านๆบ้างก็ได้

เริ่มจากที่แม่ผมป่วยและส่งรพ.รอบสุดท้าย
ในวันแรงงาน
อาการท่านหนักจนต้องส่งรพ.ประจำจังหวัด
และต่อมาก็ได้รับแจ้งว่า ต้องผ่าตัด
หลอดเลือดหัวใจและรพ.ไม่สามารถ ต้องมีการส่งต่อให้รพ.เฉพาะทาง
จากนั้นการติดต่อจึงเริ่มขึ้น  คุณพยาบาลดำเนินการให้ตั้งแต่1ทุ่ม
ทุกรพ.ต่างก็ติดงานจนไม่อาจรับเคสแม่ผมไปเพิ่มได้  แต่กระนั้นนายแม่ผมก็ยังพยายามพูดกับผม
แม้ว่าจะมีอาการเจ็บหน้าอกหนักมากก็ตาม

เมื่อรพ.ที่ขึ้นตรงกับสาธารณสุขไม่ว่าง คุณพยาบาลก็ลองเปลี่ยนเข็มไปที่รพ.ของทหาร
และในเวลา4ทุ่ม
รพ.ทร.ก็ตอบรับเรา

แม่ถูกส่งตัวไปทันทีเพราะอาการหนักมากแล้ว
เวลานั้น เป็นอะไรที่ทรมานมาก ในสมองผมอึงอลจับต้นชนปลายแทบไม่ถูก  คุณหมอถามอะไรบ้างบอกตรงๆว่าจำไม่ได้เลยครับ

และแม่ก็เข้ารับการผ่าตัดตอน02.00น.

ผมถูกสั่งว่า..

"ญาติกลับบ้านได้เลยนะคะเพราะ
คนไข้จะต้องอยู่ในความดูแลของหมอจนกว่าจะปลอดภัย ระหว่างนี้เราห้ามเยี่ยมค่ะ"

โธ่ๆๆ...ระยะทางจากจ.ช.ถึงจ.ฉ.
ไม่ใช่ใกล้ๆนะครับคุณพยาบาล
และผมมากับรถรพ.จะกลับได้ยังไงกันเล่า น้ำตาจะไหล  โทรกลับไปบ้านให้เอารถมารับตอนเช้าแล้ว
ผมก็เดินครับ สำรวจรพ.😅

ที่นี่ขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหม
รพ.สวยมากครับ
ใหญ่ กว้าง และที่สำคัญเงียบมาก
ไม่มีญาติคนไข้แม้แต่คนเดียว

ความที่กว้างใหญ่
ผมก็เดินหลงไปไหนไม่ทราบ จากอากาศเย็นๆนี่เหงื่อแตกเต็มตัวเลยครับ  กว่าจะคลำทางกลับมาที่เดิมได้

จากนั้นก็มานั่งหลับๆตื่นๆอยู่หน้าห้องที่แม่ถูกเข็นเข้าไป จนเช้า

ที่บ้านมารับผมตอน8โมงกว่าๆ
และเราก็เข้าไปถามอาการคนป่วยของเรา  แต่ได้รับแจ้งว่า ยังไม่ออกจากห้องผ่าตัด  เราก็เลยต้องกลับตอน10โมง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เป็นธรรมดาใช่ไหมครับที่..เมื่อคนไข้ของเราถึงมือหมอ และได้รับการรักษาแล้วประมาณหนึ่ง
เราก็จะเริ่มสบายใจขึ้นและมีความหวังที่ดีขึ้น
แต่เปล่าครับจากนั้นอีก3วัน เราก็ได้รับแจ้งว่า
แม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดซ้ำ จากสภาวะเดิมแต่จุดใหม่
ถึงตอนนี้แล้ว เราทำได้แค่เดินหน้าเต็มกำลังเท่านั้น
หมอไม่ถอยเราก็ไม่ถอย  อาจจะเพราะเรารู้สึกว่า
แม่เราแข็งแรงและรู้สึกตัวตลอดเวลาจนวินาทีที่เข้าห้องผ่าตัด แม่น่าจะสู้ไหวและต้องปลอดภัยกลับมาหาเรา

แต่...ปาฏิหาริย์ไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆเราครับ  เราได้รับแจ้งในเวลาต่อมาว่า คนของเราอาการหนักเกินไปบวกกับสภาวะแทรกซ้อนที่เกิดอีกครั้งในการผ่าตัด ทำให้แม่ของเราจะต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
และอาจจะไม่ฟื้นมาคุยกับเราอีกแล้ว

ผมเข้าใจคำว่าโลกมืดตอนนั้นเองครับ  ไม่รู้จะคิดอะไร ไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ได้พูดอะไรสักคำหรือเปล่า

หลังจากได้คุยกัน
ทั้งฝ่ายผมและฝ่ายแพทย์ เราก็
ตกลงกันว่า จะปล่อยแม่ไป
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าอยากร้องให้ตอนนั้นแหละครับ ผมร้องแบบไม่อายอะไรแล้ว  ฟังหมอพูดไปก็ร้องไปแม้จะไม่ฟูมฟายแต่
เป็นใครก็คงกลั้นน้ำตาไม่ไหวหรอกครับ

คุณหมอบอกเราว่า  แม้เราจะปล่อยแต่ก็ใช่ว่า
แม่จะจากเราไปในวันนี้พรุ่งนี้  ถ้าร่างกายยังไหว
มันก็จะยังอยู่
และในระหว่างเวลาที่ยังอยู่นั้น
เราก็จะต้องดูแลตามที่ผู้ป่วยควรได้รับ

แม่พักอยู่รพ.ทร.14วัน จนสามารถเคลื่อนย้ายได้ ท่านก็ถูกส่งกลับมาที่รพ.ต้นทางคือรพ.ประจำจังหวัด
และที่นี่แม่ได้รับการเจาะคอเพื่อช่วยในการหายใจ
คุณหมอที่นี่แนะนำว่า  

"ถึงจะเหลือความหวังอยู่แค่ไม่กี่เปอร์เซนต์  แต่ใครจะรู้ อาจเกิดปาฏิหาริย์ที่ทำให้คนป่วยฟื้นก็ได้
ญาติจะไม่ลองเสี่ยงให้ท่านยังคงหายใจ เพื่อรอวันนั้นก่อนหรือ "

และในเวลาต่อมาผมก็รู้ว่า  มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ แต่..เมื่อตัดสินใจไปแล้วเราก็ต้องทนดูและรับผลของมันครับ

สรุปผลคือ
นอกจากเจาะคอ
ให้อาหารทางสาย
ปัจสาวะทางสายแล้วแม่ผมยังมีแผลกดทับค่อนข้างใหญ่ที่ก้นมาด้วย(ได้มาตั้งแต่อยู่ในicu) รวมเวลาที่แม่อยู่ในห้องปลอดเชื้อสองรพ.เป็นเวลาทั้งหมด33วัน

เมื่อแม่ออกจากห้อง ไอซียู ผมก็เข้าไปดูแลเต็มเวลา  อาจจะสงสัยว่าทำไมไม่พากลับบ้านใช่ไหมครับ  
คือ..แม่ผมไม่สามารถหายใจโดยไม่ใช้เครื่อง
ได้ครับ นี่เองคือเหตุผลที่เราต้องยอมให้เจาะคอท่าน

คุณหมอแนะนำว่า
เราต้องมีคนดูแลท่านตลอด24ช.ม.
เพราะท่านทำได้แค่นอนนิ่ง  จึงต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
และผม ก็คิดว่านี่เป็นโอกาสที่ผมไม่ควรเกี่ยงงอนใคร
ในความเป็นลูก
เราทุกคนเป็นลูกเท่าเทียมกันแต่
ผมมั่นใจว่าในความพร้อม ผมพร้อมกว่าใครทั้งความตั้งใจและความรัก

ผมเคยเห็น เพื่อนที่มีแม่เป็นผู้ป่วยติดเตียง(ช่วยตัวเองได้นิดหน่อย)
ต้องร้องให้เสียใจกับการที่ถูกลูกด่าว่า แล้วก็สลดใจ
จนถึงกับบอกตัวเองว่าหากต้องเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงบ้าง จะไม่มีวันทำอย่างนี้

3วันแรก ผมมีคุณพยาบาลช่วยในทุกขั้นตอนการดูแล ไม่ว่าจะ อาบน้ำบนเตียง เปลี่ยนแพมเพิส
ฟีดนม เช็ดตัว
ทำแผลและพลิกตัวทุกสองชั่วโมง
ผม ดูและพยายามจำทุกกระบวนการเหล่านั้น  จนที่สุดก็ทำได้คล่องในระดับหนึ่ง
และด้วยแม่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา
(ก็เป็นมาจากไอซียูอีกนั่นแหละ)
ผมที่เป็นผู้ดูแลก็เลยต้องเข้มงวดกับตัวเองไปด้วย
จะจับอะไรก็ล้างแอลกอฮอ จับแล้วก็ต้องล้างอีก
ผมจึงไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนักเพราะกลัวนำเชื้อไปติดคนเหล่านั้น  เมื่อไม่ค่อยยุ่งกับมนุษย์มนาอื่น
ผมก็เลยมีเวลาดูแลแม่ชนิดริ้นไม่ไต่ไรไม่ตอมเลยครับ

เนื่องจากนายแม่ผมยาว ผมไม่สามารถสระผมให้ได้ เมื่อปรึกษาคุณพยาบาลก็ได้รับคำแนะนำว่า
ควรโกนจะดูแลง่ายสุด  นั่น..จึงเป็นวิธีที่ผมเต็มใจเลือก
ผู้ป่วยติดเตียงนี้
แม้เราจะอาบน้ำให้ได้แต่ตามซอกนิ้วมือนิ้วเท้าก็ควรต้องดูแลเพิ่มครับ
โดยผมหากะละมังมาใส่น้ำแช่เพื่อให้ง่ายในการขัดถู

ผมจะอาบน้ำให้นายแม่ทุกวันแต่จำกัดแค่วันละ1ครั้ง เพราะในการอาบเราต้องเปลี่ยนผ้าปูเตียงและผ้าขวาง
หากอาบมากเกินไปจะลำบากผู้ที่มีหน้าที่ซักล้างครับ

ผมดูแลแม่อยู่ที่รพ.ประจำจังหวัดเป็นเวลาเกือบสองเดือน จนคุณพยาบาลสงสารเธอให้ข้าวผมครบสามมื้อเลยครับ เธอๆใจดีกับผมมาก บางครั้งผมหนีไปนั่งแอบอยู่ที่ระเบียงด้านหลัง เธอก็ถือเอาไปให้


แม้ผมจะแทบไม่ยุ่งกับใคร แต่คนสนใจผมก็มากจริงๆครับ ซึ่งผมก็อดสงสัยไม่ได้เลยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  ระหว่างที่ผมเดินวนเวียนอยู่รอบเตียงแม่ คนก็ชอบมาเดินวนเวียนอยู่รอบตัวผม  ถามนั่นนี่บ้าง  ซื้อขนมมาฝากบ้าง  แม้แต่คุณพยาบาลยังเดินมาคุยเลยครับอ้อ..ผมได้ฉายาพิเศษมาด้วยนะครับ  

'หนังตาถลอก' ครับ ได้มาจากการเช็ดตัวแม่ทั้งวันทั้งคืนนี่แหละ[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

การอยู่ในรพ.นานนี่มันมีทั้งข้อดีข้อเสียนะครับ ข้อดีคือทำให้ได้เห็นและได้คิดว่า ชีวิตนี้ไม่ได้มีอะไรที่จีรังยั่งยืนเลย แค่ชั่วลมหายใจกั้นเท่านั้นเอง
และเราสามารถช่วยอะไรใครได้ง่ายๆโดยไม่จำเป็นต้องรู้จักกันด้วยช้ำ  ข้าวปลา
ของใช้ แม้กระทั่งยาสระผม[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จากการแบ่งปันทั้งน้อยทั้งมากนี้ทำให้เราได้เพื่อนร่วมทุกข์มากมายจริงๆครับ

แต่กระนั้นข้อเสียก็ไม่ได้น้อยกว่าข้อดีเช่นกัน แต่ส่วนมากจะเป็นข้อเสียจากความคิดและปากของคนเป็นส่วนใหญ่ซึ่งผมจะไม่กล่าวถึงเพราะไม่เห็นประโยชน์อันจะมีแก่ใครๆเลย

  ผมมีเพื่อนร่วมทุกข์มากก็จริงครับ แต่ผมไม่เคยปรับทุกข์กับพวกเขาเลย  เพราะผมไม่เคยเห็นแม่เป็นเรื่องทุกข์  ผมทำทุกอย่างให้ก็แค่หวังว่า แม่จะบรรเทาทุกข์จากการปรนนิบัติของผมลงบ้างแม้จะน้อยนิดแต่..นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามทำอย่างดีที่สุดในแต่ละวันแล้ว

ผมจะพยายามนอนให้หลับในระหว่างที่ใครๆยังตื่นกันอยู่ เพื่อที่จะตื่นตอนที่พวกเขาหลับ  ผมจะตื่นทุกสองชั่วโมงครับ เพื่อมาเช็คดูว่าคนไข้ตัวร้อนหรือเปล่า อึไหม
หรืออย่างน้อยก็ตัองพลิกตัวครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ที่ผมทำลงไปทั้งหมดคำตอบเดียวที่ผมใช้ตอบตัวเองในทุกวัน
คือ...เพราะผมรักแม่ครับ

และในวันที่4ส.ค.
เราสองแม่ลูกก็ย้ายแหล่งกบดานอีกครั้ง  คราวนี้ย้ายมาอยู่ร.พ.ใกล้ๆบ้าน
พี่ๆน้องๆ สามารถมาเยี่ยมได้ตลอดเวลา  แต่ผมกลับชอบอยู่รพ.ไกลๆมากกว่า  เพราะ
เมื่อย้ายมาใกล้บ้าน เพื่อนบ้านก็
ไปเยี่ยมเรามากขึ้น แต่ผมไม่รู้สึกถึงความห่วงใยของพวกเขาเลย
พบแต่ความอยากรู้อยากเห็น แนะนั่นสอนโน่นบอกนี่
โดยอ้างความห่วงใย  ผมก็ใช้กำแพงแห่งความนิ่งเฉยมาเป็นเกราะกำบัง  ใครพูดดีก็ขอบคุณ
ใครพูดไม่ดีก็นิ่ง
นานๆเข้าก็ทนได้ไปเองครับแปลกดีเหมือนกัน
ช่วงนี้แม่มีภาวะ
กระตุกแทรกขึ้นมาอีก1อย่าง เวลาอาการกำเริบจะไปทั้งแถบตั้งแต่ตา ปาก มือ ขา
แต่จะเป็นแค่ซีกซ้าย หมอต้องฉีดยาบรรเทาและให้ยาตัวแรง[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บางวันอาการทรุดเครื่องช่วยหายใจก็จะร้องทั้งวัน
ทำให้ผมรู้โดยอัตโนมัติว่า  เวลาของแม่เหลือน้อยเต็มทีแล้ว  ผมก็เริ่มปฏิเสธการรักษาบางตัว คงไว้แค่ยาลดกระตุกกับยาบางตัว
จนวันหนึ่งคุณพยาบาลก็เดินมาถามผมว่า

'อยากให้ทางรพ.ให้เลือดคนไข้ไหม'

คำถามคำนั้นทำเอาผมถึงกับอึ้ง
จริงๆ ตอบไม่ยากครับ แค่พยักหน้า
คุณพยาบาลก็สามารถทำให้ได้ทันที แค่เจาะเส้นเลือดเพื่อฝังเข็ม(แม้ระยะหลังผมจะขอระงับการเจาะเลือดไปแล้วก็ตาม
แต่...เลือดเป็นของหายากที่ควรใช้เพื่อช่วยชีวิต สำหรับคนที่จะมีโอกาส
รอด แต่แม่ผมไม่มีโอกาสนั้นแล้ว เปอร์เซนต์เดียวก็ไม่มี  ที่อยู่นี้แค่รอเวลา   นาทีนั้นผมไม่อยากเป็นผมเลยครับ  ไม่อยากเป็นคนใจร้ายที่ต้องปฏิเสธการช่วยเหลือจากคุณหมออีกครั้งเลย
ผมบอกคุณพยาบาลว่า เก็บเอาไว้ให้คนที่เขา
มีโอกาสรอดดีกว่าครับ แม่ผมไม่มีโอกาสนั้นแล้ว คุณพยาบาลก็ยืนอึ้ง
ผมก็ได้แต่กลั้นน้ำตา  

แม่ผมจากไปอย่างสงบเมื่อวันที่13 กันยา  รวมเวลาวนเวียนอยู่ในรพ.ทั้ง3แห่ง
4เดือนกับ13วัน
ตลอดเวลานั้น ผม
ดูแลคนเดียวทั้งหมด เพราะมันคงไม่สะดวกเลย
กับการที่ต้องไปฝึกคนดูแลให้อาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม
ฟีดนม ให้ยา ให้น้ำ เทฉี่ ไหนๆผมก็ทำมาแล้ว ก็เลยทำไปเรื่อยๆ
ผมไม่รู้สึกว่ามันทุกข์อะไรเลย มันก็เหมือนเราทำงาน งานหนึ่งเท่านั้นซ้ำคนที่เป็นงานของเรา
ก็ยังเป็นคนที่เราแสนรักด้วย  แม้ไม่มีค่าตอบแทนแต่ผมก็เต็มใจทำครับ

ผมไม่หวังว่าแม่จะรับรู้ หรือเทวดาหน้าไหนจะเห็น
เพราะผมก็แค่ทำหน้าที่ของผม
หน้าที่ลูกคนหนึ่งของแม่ไงครับ

รักแม่นะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่