เรากับแฟนคบกันมาตั้งแต่ ปี 2557 ถึงตอนนี้ 9 ปีกว่าแล้ว รู้จักกันผ่านงานโรงเรียนตอนเราอยู่ปีสุดท้ายซึ่ง (เราเป็นรุ่นพี่เขา 2 ปี) ไปแอบชอบน้องเขาแต่ตอนนั้นน้องเขามีแฟนอยู่แล้วเราเลยไม่ได้เข้าหาแต่อีกไม่กี่เดือนต่อมาเขาก็เลิกกับแฟนเป็นช่วงเวลาที่เราเข้าหาจนได้คบกัน (เธอเป็นครั้งแรกในหลายๆเรื่องราวที่เราไม่เคยสัมผัส) เราสองคนนับถือคนละศาสนากันนะครับ อาจจะมีผิดใจกันบ้างทำผิดต่อกันบ้างแต่ก็ประกับประคองกันไปเพื่ออนาคต พอเราเรียนจบเราต้องไปเรียนต่อต่างจังหวัด ก็มีเหงากันบ้างทั้งสองฝ่าย ก็อย่างว่า แพ้ระยะทางให้รู้สึกดีกับคนที่ใกล้ชิด ฮ่าๆๆ
ต่อมาน้องเขาเริ่มราที่เรียนต่อก็ปรึกษากันไป เราเองด้วยความที่ไม่อยากดึงคนๆหนึ่งมาเรียนในสายที่ตัวเองไม่ได้ชอบเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ด้วยกันเลยไม่อยากให้มาเรียนที่เดียวกกันหากเลิกราจะได้ไม่เสียใจกับอนาคตที่เลือก น้องเลยตัดสินใจเรียนต่อที่พ่อแม่อยากให้เรียนผมไม่ได้ขัดอะไรมากมายจนแล้วจนรอดก็ดรอปไปเรียนในสายงานที่ชอบเราเองก็คอยให้คำปรึษาและซัพพอร์ตเสมอมา จนผมเรียนจบและไปทำงานกรุงเทพถึงได้อยู่ด้วยกันบ๋อยหน่อยและด้วยพิษของ CO-VID ทำให้เราอยู่ด้วยกันมากขึ้น แต่เราก็ทำตัวแย่ มากๆ กลับดึกและค่อนข้างบ้างานมากเอางานกลับไปทำที่หอพักเกือบทุกคืนเพราะเป่าหมายเรา เราต้องกลับไปเปิดกิจการของตัวเองที่บ้าน เลยพยายามหาความรู้เข้าตัวให้ได้มากที่สุดเราใช้เวลา 2 ปีเพื่อขึ้นมาอยู่ในต่ำแหน่ง ผู้จัดการโครงการ แต่เส้นทางที่เราเลือกเดือนนั้นมันลำบากและเหนื่อยมาก แต่น้องเขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมอยากทำไม่ค่อยให้กำลังใจคอยแต่บันทอนจิตใจทำไม่ได้ แบบนั้นไม่ดี แบบนี้ไม่สวย ซึ่งไม่ได้ช่วยออกความเห็น อะไรเลยนะ แต่กลับกันตอนที่น้องเขาอยากทำอะไร อะไรก็ตามที่ผมช่วยได้ผมจะซัพพอร์ตเสมอขอช่วยเพื่อนเราที่ชำนานเรื่องนั้นๆเท่าที่ช่วยได้ ช่วยออกทุนหรืออะไรก็ตามที่เราพอให้เขาได้
ถึงตอนนี้เราก็ได้อยู่ไกลกันเหมือน 5 ปีก่อนตัวเราเองก็อยู่เงียบๆแล้วต้องคิดมากตลอดและชอบสร้างความเจ็บปวดทางใจ เหมือนจะเป็นการเสพติดความเศร้า ชอบดิ่งอารมณ์ให้มันลึกลงไป แต่เรามีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นน้องเขาเปลี่ยนไปจากเป็นคนทักเรา จากเป็นคนรอคุยกับเรา
กลายเป็นหงุดหงิดง่าย ไม่ค่อยได้สนใจกันและไม่มีเรื่องมาเล่าให้ฟังเหมือนที่ผ่านๆมา (ปกติน้องเขาชอบเล่าเรื่องที่เจอทุกวัน) โทรไปก็ไม่ค่อยรับสายรับสายก็เหมือนไม่อยากคุยนอนเร็วผิดปกติบางครั้งกลับมาก็เข้าใจว่าอยากใช้เวลาดูนั้นดูนี้เราก็เข้าใจเพราะเราเคยเป็น แต่คงไม่ต่อเนื่องเกือบเดือนซึ่งปกติเราเองไม่ค่อยสังเกตุเรื่องพวกนี้ไม่ได้เพราะไม่ได้สังเกต แต่ครั้งนี้กลับสังเกตได้ เป็นเหมือน 5 ปีก่อนที่เขาจะมีใครคนอื่นมาคุยด้วยให้ความหวัง เราเลยรู้สึกแย่ จะให้เช็คข้อความเราก็ไม่ยากทำเน้นเชื่อใจกัน และพยายามบอกเสมอว่าถ้าเจอสิ่งที่ดีกว่าก็ให้บอกกล่าวเพราะเราเป็นคนทำใจได้ยาก ประกอบด้วยอยู่ด้วยกันมานาน เราเริ่มรู้สึกว่าเขาหัวแข็งเกินไป ดื้อไม่ฟัง และเราเถียงไม่เคยชนะทั้งๆที่เราเป็นฝ่ายถูก ซึ่งมันจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายที่เราวางไว้ ว่าอีก 2-3 ปีเราต้องแต่งงาน ถ้าน้องเขาเป็นแบบนี้และเรามีความมันใจ 8ใน10 ส่วนว่าแก้ไม่ได้ พอมาเจอการเปลี่ยนแปลงน้องเขาเรามีความรู้สึก อยากมูฟออน แต่ก็ยังรักอยู่ แต่จะทำอย่างไรในเมื่อเราต้องเป็นคนที่นำน้องเขา แต่เรากลับบ่นหรือต่อว่าไม่ได้อะไรซักอย่างทั้งที่เขาผิด เราท้อมากกับเรื่องที่ เพราะเราให้ความมั่นใจกับคนที่บ้านวาเรานำเขาได้ ซึ่งมันอยู่ในหัวตลอด เราเลยไม่แน่ใจ จะไปต่อ หรือพอแค่นี้
จะไปต่อหรือพอก่อน :)
ต่อมาน้องเขาเริ่มราที่เรียนต่อก็ปรึกษากันไป เราเองด้วยความที่ไม่อยากดึงคนๆหนึ่งมาเรียนในสายที่ตัวเองไม่ได้ชอบเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ด้วยกันเลยไม่อยากให้มาเรียนที่เดียวกกันหากเลิกราจะได้ไม่เสียใจกับอนาคตที่เลือก น้องเลยตัดสินใจเรียนต่อที่พ่อแม่อยากให้เรียนผมไม่ได้ขัดอะไรมากมายจนแล้วจนรอดก็ดรอปไปเรียนในสายงานที่ชอบเราเองก็คอยให้คำปรึษาและซัพพอร์ตเสมอมา จนผมเรียนจบและไปทำงานกรุงเทพถึงได้อยู่ด้วยกันบ๋อยหน่อยและด้วยพิษของ CO-VID ทำให้เราอยู่ด้วยกันมากขึ้น แต่เราก็ทำตัวแย่ มากๆ กลับดึกและค่อนข้างบ้างานมากเอางานกลับไปทำที่หอพักเกือบทุกคืนเพราะเป่าหมายเรา เราต้องกลับไปเปิดกิจการของตัวเองที่บ้าน เลยพยายามหาความรู้เข้าตัวให้ได้มากที่สุดเราใช้เวลา 2 ปีเพื่อขึ้นมาอยู่ในต่ำแหน่ง ผู้จัดการโครงการ แต่เส้นทางที่เราเลือกเดือนนั้นมันลำบากและเหนื่อยมาก แต่น้องเขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมอยากทำไม่ค่อยให้กำลังใจคอยแต่บันทอนจิตใจทำไม่ได้ แบบนั้นไม่ดี แบบนี้ไม่สวย ซึ่งไม่ได้ช่วยออกความเห็น อะไรเลยนะ แต่กลับกันตอนที่น้องเขาอยากทำอะไร อะไรก็ตามที่ผมช่วยได้ผมจะซัพพอร์ตเสมอขอช่วยเพื่อนเราที่ชำนานเรื่องนั้นๆเท่าที่ช่วยได้ ช่วยออกทุนหรืออะไรก็ตามที่เราพอให้เขาได้
ถึงตอนนี้เราก็ได้อยู่ไกลกันเหมือน 5 ปีก่อนตัวเราเองก็อยู่เงียบๆแล้วต้องคิดมากตลอดและชอบสร้างความเจ็บปวดทางใจ เหมือนจะเป็นการเสพติดความเศร้า ชอบดิ่งอารมณ์ให้มันลึกลงไป แต่เรามีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นน้องเขาเปลี่ยนไปจากเป็นคนทักเรา จากเป็นคนรอคุยกับเรา
กลายเป็นหงุดหงิดง่าย ไม่ค่อยได้สนใจกันและไม่มีเรื่องมาเล่าให้ฟังเหมือนที่ผ่านๆมา (ปกติน้องเขาชอบเล่าเรื่องที่เจอทุกวัน) โทรไปก็ไม่ค่อยรับสายรับสายก็เหมือนไม่อยากคุยนอนเร็วผิดปกติบางครั้งกลับมาก็เข้าใจว่าอยากใช้เวลาดูนั้นดูนี้เราก็เข้าใจเพราะเราเคยเป็น แต่คงไม่ต่อเนื่องเกือบเดือนซึ่งปกติเราเองไม่ค่อยสังเกตุเรื่องพวกนี้ไม่ได้เพราะไม่ได้สังเกต แต่ครั้งนี้กลับสังเกตได้ เป็นเหมือน 5 ปีก่อนที่เขาจะมีใครคนอื่นมาคุยด้วยให้ความหวัง เราเลยรู้สึกแย่ จะให้เช็คข้อความเราก็ไม่ยากทำเน้นเชื่อใจกัน และพยายามบอกเสมอว่าถ้าเจอสิ่งที่ดีกว่าก็ให้บอกกล่าวเพราะเราเป็นคนทำใจได้ยาก ประกอบด้วยอยู่ด้วยกันมานาน เราเริ่มรู้สึกว่าเขาหัวแข็งเกินไป ดื้อไม่ฟัง และเราเถียงไม่เคยชนะทั้งๆที่เราเป็นฝ่ายถูก ซึ่งมันจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายที่เราวางไว้ ว่าอีก 2-3 ปีเราต้องแต่งงาน ถ้าน้องเขาเป็นแบบนี้และเรามีความมันใจ 8ใน10 ส่วนว่าแก้ไม่ได้ พอมาเจอการเปลี่ยนแปลงน้องเขาเรามีความรู้สึก อยากมูฟออน แต่ก็ยังรักอยู่ แต่จะทำอย่างไรในเมื่อเราต้องเป็นคนที่นำน้องเขา แต่เรากลับบ่นหรือต่อว่าไม่ได้อะไรซักอย่างทั้งที่เขาผิด เราท้อมากกับเรื่องที่ เพราะเราให้ความมั่นใจกับคนที่บ้านวาเรานำเขาได้ ซึ่งมันอยู่ในหัวตลอด เราเลยไม่แน่ใจ จะไปต่อ หรือพอแค่นี้