JJNY : 5in1 ก้าวไกลเวิร์กช็อป│หมออ๋องยันไม่หนีหมาย│ชี้แลนด์บริดจ์ไม่ตอบโจทย์│จีนจ่อใช้'มาตรการ การคลัง'│ฮามาสอ้างขวาง

ก้าวไกล เวิร์กช็อป ติวเข้ม ส.ส.เตรียมพร้อม ก่อนอภิปราย งบประมาณ’67 วาระ 1
https://www.matichon.co.th/politics/news_4322253

 
ก้าวไกล จัดเวิร์กช็อป เตรียมพร้อมอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบ’67 วาระ 1 ศิริกัญญา ย้ำ 9 ข้อ คำนึงถึงความถูกต้อง 
 
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พรรคก้าวไกลได้จัดกิจกรรมอบรม ส.ส.เตรียมความพร้อมในการพิจารณาและอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2567 วาระ 1 ในสภา เดือน ม.ค.2567 นำโดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล
 
น.ส.ศิริกัญญากล่าวถึงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับงบประมาณของไทย ซึ่ง ส.ส.ควรให้ความสำคัญ เพื่อจะสามารถพิจารณาและอภิปรายงบประมาณได้ถูกต้อง
 
1. งบซื้ออาวุธไม่ได้มีสัดส่วนที่มากเมื่อเทียบกับงบประมาณทั้งหมด คือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จากเงิน 3 ล้านล้านบาท ส่วนที่มีปัญหาคือจำนวนบุคลากรที่มีมากไป ทั้งจำนวนนายพลและพลทหาร ที่ต้องใช้งบประมาณจ่ายเป็นเงินเดือนจำนวนมาก 
 
2. หนี้สาธารณะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น การกู้เงินไม่ใช่ปีศาจร้ายทุกเรื่อง ถ้าเป็นการกู้เงินเพื่อนำไปใช้ดำเนินโครงการที่จำเป็นและเหมาะสม เช่น สู้กับปัญหา climate change 
 
3. กระทรวงที่ดูแลราคาสินค้าเกษตรไม่ใช่กระทรวงเกษตรฯ แต่คือกระทรวงพาณิชย์ 4.งบท้องถิ่นไม่ได้เป็นของท้องถิ่นจริงๆ จำนวนมากเป็น “งบฝาก” หรืองบที่รัฐส่วนกลางนำมาผ่านท้องถิ่น แต่ท้องถิ่นไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้ เช่น เบี้ยผู้สูงอายุ
 
น.ส.ศิริกัญญากล่าวต่อว่า 
 
5. การกระจายอำนาจไม่ใช่ยาวิเศษ บางเรื่องจำเป็นต้องรวมศูนย์เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น การจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือวิกฤตขนาดใหญ่ การวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ดังนั้น ต้องกระจายอำนาจให้ถูกเรื่อง 
 
6. อย่าดูแค่ชื่อแผน ต้องดูไส้ใน เพราะบางแผนมีชื่อดูดี แต่รายละเอียดโครงการไม่สอดคล้องกับชื่อแผนเลย 
 
7. เงินนอกงบประมาณมี 4.8 ล้านล้านบาท ดูเหมือนว่าจะเยอะ แต่จริงๆ เอามาใช้ไม่ได้ เพราะเกือบทั้งหมดเป็นเงินในกองทุนที่มีวัตถุประสงค์ตามกฎหมาย เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 
 
8. งบประมาณเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ มีทั้งที่จัดสรรให้ส่วนราชการในพระองค์โดยตรง และที่จัดสรรให้หน่วยรับงบประมาณอื่นเพื่อทำภารกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การพระราชทานเพลิง โครงการตามพระราชดำริ การถวายความปลอดภัย 
 
9. ปัญหาของงบลับ ไม่ใช่เรื่องจำนวน แต่คือการตรวจสอบไม่ได้ จึงควรผลักดันว่าแม้งบประมาณบางส่วนต้องเป็นงบลับในช่วงใดช่วงหนึ่ง แต่ไม่ควรเป็นงบลับตลอดไป เมื่อเวลาผ่านไปต้องเปิดเผยให้สาธารณะตรวจสอบได้



หมออ๋อง ยันไม่หนีหมายเรียก มีแค่ไปรับทราบข้อกล่าวหา คดีถูก ‘อดีตส.ส.งูเห่า’ ฟ้องหมิ่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4321634

ปดิพัทธ์ ยันไม่หนีหมายเรียก มีแค่ไปรับทราบข้อกล่าวหา คดีถูก ‘อดีตส.ส.งูเห่า’ ฟ้องหมิ่นประมาท พร้อมยินดีเข้าสู่กระบวนการ
 
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคเป็นธรรม และรองประธานสภา คนที่หนึ่ง โพสต์ข้อความผ่าน X ต่อกระแสข่าวที่ถูกตำรวจพิษณุโลกสั่งฟ้องในคดีหมิ่นประมาท นายเกษมสันต์ มีทิพย์ สมาชิกพรรคภูมิใจไทย ว่า “จากที่สอบถามกรณีข่าวผมหนีหมายเรียกและจะถูกหมายจับคดีหมิ่นประมาท ผมยืนยันว่ายังไม่ได้รับหมายใดๆ มีเพียงการไปรับทราบข้อกล่าวหาเท่านั้น และยินดีเข้ากระบวนการสอบสวนทุกอย่าง” พร้อมระบุอีกว่าผู้ร้องคือ อดีต ส.ส.อนาคตใหม่ ที่ไปอยู่กับพรรคภูมิใจในปัจจุบัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวเป็นกระแสเกิดขึ้นหลังจากที่เพจวันนี้พรรคก้าวไกลโกหกอะไร ได้โพสต์ข้อความว่า “ตำรวจเตรียมออกหมายจับ หมออ๋อง หลังวันที่ 11 ธันวาคม หากไม่ไปรายงานตัว เหตุเบี้ยวนัดคดีหมิ่นประมาทหลายรอบ” พร้อมระบุรายละเอียดในช่องแสดงความเห็นโดยเป็นภาพโพสต์ของนายเกษมสันต์ ที่ระบุว่าได้ยื่นหนังสือถึง “ผบ.ตร. ถึงการดำเนินการตามที่ได้แจ้งความดำเนินคดีไว้ เพราะผู้ต้องหาไม่ยอมมาพบพนักงานสอบสวนแม้มีหมายเรียกออกไปแล้วถึง 2 ครั้ง ผู้ต้องหามีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาประวิงเวลาเพื่อที่จะใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองอีกครั้งในวันเปิดประชุมสภาที่จะถึงนี้ ตำรวจมีระยะเวลาในการดำเนินการในครั้งนี้เหลือเวลาอีก 3 วันคือวันที่ 7, 8 และ 11 ก่อนที่ผู้ต้องหาจะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองอีกครั้งในวันที่ 12 ธันวาคม

ผมรอมาแล้ว 100 กว่าวัน ซึ่งผู้ต้องหาได้ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองไปแล้ว 90 วัน จากสมัยเปิดประชุมสภาครั้งที่ผ่านมา รวมกับระยะเวลาที่สามารถดำเนินการได้ 40 วันในช่วงปิดประชุมสภา” นายเกษมสันต์ระบุ
 
นอกจากนั้นเพจดังกล่าวยังระบุโพสต์ที่ว่า “สั่งฟ้องแล้ว” พร้อมภาพเป็นหนังสือแจ้งความคืบหน้าการสอบสวนคดีอาญา ลงชื่อ พ.ต.ท.ธนาพล เมฆบุตร สารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก แจ้งต่อนายเกษมสันต์ ระบุความคืบหน้าของพนักงานสอบสวน ระบุว่า การสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง และจะส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการต่อไป ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน
 
ซึ่งกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น เนื่องจากนายเกษมสันต์แจ้งความเอาผิดนายปดิพัทธ์ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ หรือที่ทำให้ความปรากฏด้วยวิธีการใดๆ
 


เอกชนชี้แลนด์บริดจ์ไม่ตอบโจทย์สายเรือ และการค้าไทย เหตุทำต้นทุนเพิ่ม
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1102740
  
ผลศึกษาจุฬาฯ “แลนด์บริดจ์”ไม่คุ้มค่าการลงทุน ด้านเจ้าของเรือ ชี้ เรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่ขนส่งสินค้าในโครงการมีต้นทุนขนส่งสินค้าสูง สรท.เผย ผู้ส่งออกส่วนใหญ่จะใช้ท่าเรือซึ่งอยู่ใกล้ที่ตั้งของตนเองเพื่อคุมค่าใช้จ่าย
 
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ร่วมกับวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดกิจกรรม SPU Supply Chain Roundtable  ครั้งที่ 176 โดยเป็นการเสวนาภายใต้หัวข้อ "เปิดประเด็นท้าทายอภิมหาโปรเจกต์ใหญ่แห่งปี "Land Bridge" 1 ล้านล้าน ตอบโจทย์ใคร? เค้นทุกความจริง ในเวที SPU Roundtable on Stage" ณ ห้องออดิทอเรียม 2 ชั้น 14 อาคาร 11 มหาวิทยาลัยศรีปทุม
 
ร.ศ.ดร.สมพงษ์ ศิริโสภณศิลป์ อาจารย์พิเศษ หลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์ และโซ่อุปทาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้นำเสนอผลการศึกษาโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทย และอันดามันของประเทศไทย ซึ่งศึกษาโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งเปรียบเทียบแนวทางการพัฒนา 4 รูปแบบ
ประกอบด้วย ทางเลือก 
1. การพัฒนาพื้นที่การผลิตและการค้าตามแนวชายฝั่งอ่าวไทย และอันดามันภายใต้แผนปฏิบัติการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (SEC) โดยไม่มีการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างสองฝั่งทะเล
2. การพัฒนาสะพานเศรษฐกิจทางบกเส้นทางใหม่ (Landbridge)
3. การพัฒนาขุดคลองลัดหรือคลองไทย
4. คือการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจทางบกตามแนวเส้นทาง GMS Southern Economic Corridor (เส้นทางถนนเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างกาญจนบุรี และเขตตะนาวศรีของเมียนมา กับทะเลฝั่งอันดามันผ่านท่าเรือทวาย
 
โดยข้อสรุปจากการศึกษาพบว่าทางเลือก 2 หรือ โครงการ Landbridge ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 3 ได้คะแนนคิดเป็น 19.3% เนื่องจากเมื่อมีการประเมินปริมาณความต้องการขนส่งสินค้า (Demand Side) จากรูปแบบการเดินเรือในช่องแคบมะละกา ได้พบว่ากลุ่มเป้าหมายที่อาจมาใช้โครงการแลนด์บริดจ์จะมีเฉพาะเรือบรรทุกสินค้าตู้ เพราะเป็นเรือที่มีการเดินเรือในรูปแบบที่มีการถ่ายลำระหว่างเรือในเส้นทางเดินเรือหลักกับเรือในเส้นทางเดินเรือรอง
ทั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า 
 
1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน มารองรับสินค้าต่างประเทศที่จะมาถ่ายลำ ผ่านโครงการ “ไม่คุ้มค่าในการลงทุนทั้งทางเศรษฐกิจและการเงิน” 
2. ควรปรับ Business Model โดยลดขนาดโครงการลงเหลือเพียงบทบาท สนับสนุนการผลิตและการค้าของไทย ภายใต้การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ซึ่งจะส่งผลให้สามารถลดขนาดโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนไปได้อย่างมาก ลดความเสี่ยงจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดผลกระทบต่อชุมชนและการเวนคืน
 
ด้านนายพิเศษ ฤทธาภิรมย์ ประธานสมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพ กล่าวว่า  เรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ในเส้นทางเป้าหมายของโครงการโดยส่วนใหญ่มีขนาดระหว่าง 7,500-25,000 ทีอียู มีความยาวระหว่าง 300 ถึง 400 เมตร มีเพียงเส้นทางการขนส่งระหว่างเอเชีย กับปลายทางคือ อินเดีย-ตะวันออกกลาง-ยุโรป เท่านั้นที่อาจมาใช้บริการแลนด์บริดจ์ อย่างไรก็ตาม การใช้งานแลนด์บริดจ์ของเรือขนาดใหญ่จะมีต้นทุนค่าใช้จ่าย เวลา และต้องใช้จำนวนเรือเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนขนส่งสินค้า
 
โดยประเมินว่าการประหยัดเวลาเดินทางของเรือ 2-5 วัน ตามที่ปรึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้ประเมิน ไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และยังมีข้อสงสัยว่าสมมติฐานการปฏิบัติงานแบบไร้รอยต่อของโครงการแลนด์บริดจ์จะสามารถทำได้จริงหรือไม่
 
 เนื่องจากประเมินแล้วพบว่าปริมาณตู้ที่ขนส่งโดยเรือขนาดใหญ่จะก่อให้เกิดปัญหาการจัดการลานตู้ในท่าเรือทั้งสองฝั่ง ทำให้เรืออาจเทียบท่าใช้เวลาในการขนถ่ายประมาณ 7-10 วัน ในแต่ละฝั่ง สำหรับการยกตู้ทั้งหมดขึ้นฝั่ง และยกตู้ลงเรือสำหรับขนส่งเที่ยวกลับ ซึ่งจะทำให้สายเรือต้องเพิ่มเรือในเส้นทางอีกอย่างน้อย 1.5 ลำขึ้นไป จากจำนวนเรือที่ใช้เดินเรือในเส้นทางเอเชีย-ยุโรปผ่านช่องแคบมะละกา และในด้านการจัดการโลจิสติกส์บนฝั่ง ยังต้องบริหารเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางบกสำหรับการเคลื่อนย้ายตู้จำนวนมากระหว่างท่าเรือทั้งสองฝั่ง ซึ่งต้องใช้รถหัวลากและรถไฟจำนวนมากในการเคลื่อนย้ายและจัดเรียงลำดับตู้ให้เหมาะสม
 
นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  สรท.สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคใต้ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก เพื่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ โดยไม่ทำลายพื้นฐานเศรษฐกิจเดิม รวมถึงสนับสนุนการลงทุนใหม่ของอุตสาหกรรมดั้งเดิมในพื้นที่ โดยให้สิทธิประโยชน์เดียวกับผู้ลงทุนใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมของคนในพื้นที่
 
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยในปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ และลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าตามความต้องการของตลาด เพื่อทดแทนสินค้าเดิม มิใช่การลงทุนเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนเพิ่ม สอดคล้องกับรายงาน World Investment Report 2023 ซึ่งระบุว่า การลงทุนใหม่โดยส่วนใหญ่เน้นเรื่องการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งมิใช่ความต้องการส่วนเพิ่ม และมีแรงผลักดันการลงทุนจากการขยายตัวภาคบริการมากกว่าภาคการผลิตและอุตสาหกรรมพื้นฐาน
 
โดยผู้ส่งออกและผู้นำเข้า เน้นใช้บริการท่าเรือที่อยู่ใกล้กับสถานที่ตั้งของตนมากที่สุดเพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้าระหว่างท่าเรือและโรงงาน และลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งทางบก เพื่อตอบสนองมาตรการทางการค้า และเป้าหมาย Net Zero Carbon อย่างยั่งยืน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่