ช่อ หวังเพื่อไทย หนุนนิรโทษฯ โดยเอาปชช.เป็นเหตุจูงใจ ไม่ใช่เรื่องของทักษิณ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4318005
“พรรณิการ์” หวัง “เพื่อไทย” ไม่เอา “ทักษิณ” เป็นมูลเหตุจูงใจ ยกมือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ย้ำ แกนนำ “อนาคตใหม่-ก้าวไกล” บางคนไม่รับสิทธินิรโทษ หวั่นข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน มั่นใจไม่ผิด ชี้ นักโทษทางความคิดไม่ได้ก่ออาชญากรรม
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 ที่รัฐสภา น.ส.
พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ในฐานะอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า ต้องถือว่า ความเคลื่อนไหวเป็นไปในเชิงบวก ตั้งแต่พรรคก้าวไกล เสนอเป็นนโยบายหาเสียง ตนในฐานะผู้ช่วยหาเสียงก็ได้พูดถึงเรื่องนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่า จะต้องมีความเห็นที่แตกต่าง
แต่ถามว่า ทำไมต้องรวมคดีที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ด้วย เป็นเพราะจุดประสงค์ในการออกร่าง พ.ร.บ.ของพรรคก้าวไกลเป็นเพราะความขัดแย้ง ความแตกแยกในสังคมไทยที่ดำเนินอยู่ เกิดจากความแตกต่างทางความคิด หนึ่งในนั้นแสดงออกผ่านการฟ้องร้องการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับคดี ม.112
ดังนั้น หากเราต้องการออกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง และเดินหน้าร่วมกันบนความคิดเห็นที่แตกต่าง คือการละเว้น ม.112 ออกไปจาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะไม่บรรลุผลด้วย ซึ่ง นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้กล่าวไว้ดีแล้ว โดยตนเห็นด้วยทุกประการ เพราะเป็นเรื่องที่ดีที่สังคมจะก้าวต่อไป บนประชาธิปไตยที่อยู่กันบนความแตกต่างหลากหลายได้ ก็จำเป็นต้องคลี่คลายความขัดแย้งในอดีต ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ทำผิดจะไม่ต้องรับโทษ
แต่ต้องยอมรับว่า คดีต่างๆ ที่ถูกดำเนินการ โดยมีเป้าประสงค์ทางการเมืองที่เกิดจากความคิดที่แตกต่างกัน หรือภาษาสากลเรียกว่า นักโทษทางความคิด คือไม่ได้ก่ออาชญากรรม แต่มีความเห็นที่แตกต่างจากรัฐ หรือผู้มีอำนาจรัฐ จึงเป็นที่มาที่ทำให้ถูกดำเนินคดีอาญา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ควรมีการนิรโทษกรรม และมาเริ่มต้นพูดคุยกันใหม่
เมื่อถามว่า พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะเสนอร่างมาประกบ ม.112 จะไม่ถูกผลักดันหรือไม่ น.ส.
พรรณิการ์กล่าวว่า หลายพรรคก็ไม่ได้คัดค้านเรื่อง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม แต่ไม่ต้องการให้รวมคดี ม.112 ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มีความเห็นแตกต่างกัน ในสภาก็สามารถถกเถียงกันได้ ตนคิดว่า ก็คงเป็นไปตามกระบวนการ การที่พรรคการเมืองจะเสนอร่างประกบถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากมีร่างประกบก็หมายความว่า มีจุดที่เห็นตรงกันด้วย ไม่อย่างนั้น คงไม่ส่งร่างมาประกบ เป็นกลไกที่ต้องต่อสู้กันในสภา หากพรรคก้าวไกลไม่สามารถได้เสียงพอ ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ในกระบวนการ แต่อย่างน้อยข้อเสนอของพรรคก้าวไกลเป็นสิ่งที่ตน และประชาชนจำนวนมากในสังคมเห็นด้วย อย่างน้อยที่สุดให้มีการถกเถียงและเข้าสู่กระบวนการตามปกติของสภา
เมื่อถามย้ำว่า หลายพรรคยังรับไม่ได้เรื่อง ม.112 น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า เป็นงานที่พรรคก้าวไกลต้องทำ เรื่องนี้ยังไม่ถูกพิจารณาในสภา จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น
เมื่อถามว่า นาย
ชัยธวัชเคยกล่าวว่า แกนนำพรรคอนาคตใหม่ จนถึงพรรคก้าวไกลบางคนเคยขอสละสิทธิไม่เข้าสู่กระบวนการ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร น.ส.
พรรณิการ์กล่าวว่า เราได้พูดคุยกันมาตลอดการเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ว่าจะมีการจัดทำร่างดังกล่าว สิ่งแรกที่เราคิดและระมัดระวังอย่างมากคือเรื่องนี้จะเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ เพราะมีบุคลากรของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลจำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจเข้าข่ายได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.นี้ เราตระหนักเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกในการกระทำนโยบายและ พ.ร.บ. เพื่อให้กฎหมายนี้สามารถดำเนินหน้าต่อไป แล้วตัวเองสามารถตอบสังคมได้อย่างถูกต้องตามหลักการ คือป้องกันข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน
“
อีกเหตุผลหนึ่งคือเรามีความจำเป็นจริงๆ ที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยกระบวนการยุติธรรม เพราะเราเชื่อว่าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย การพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม เราเชื่อว่าอาจจะทำให้เราได้รับความเป็นธรรมได้เราไม่ต้องให้ผลประโยชน์ทับซ้อนนี้ขัดขวางการทำให้ พ.ร.บ.นี้ไปสู่จุดหมายปลายทาง” น.ส.
พรรณิการ์กล่าว
เมื่อถามว่า ไม่ได้รวมถึง ส.ส.ก้าวไกลในปัจจุบันใช่หรือไม่ น.ส.
พรรณิการ์กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องเป็นการตัดสินใจของเจ้าตัวเอง ส.ส.ก้าวไกลในปัจจุบันหลายคนในขณะถูกคดี เขาเป็นแค่ประชาชน เพราะฉะนั้น พอเขาเป็น ส.ส.แล้ว มีการบอกว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ตนคิดว่า ไม่เป็นธรรม ต่างกับที่พวกเราพรรคอนาคตใหม่โดน เราเป็น ส.ส.แล้วทั้งหมด
เมื่อถามว่า การสละสิทธิในครั้งนี้จะถือเป็นต้นแบบให้พรรคการเมืองอื่นหรือไม่ น.ส.
พรรณิการ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่โมเดลระดับพรรค แต่เป็นการตัดสินใจระดับบุคคล เพราะสุดท้ายแล้วสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน หากใครต้องการแสวงหาความเป็นธรรม ให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม เราก็ไม่ควรปิดกั้น
เมื่อถามว่า คดีของ นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนใหญ่เป็นคดีทุจริตจะเข้าข่ายด้วยหรือไม่ น.ส.
พรรณิการ์กล่าวว่า หากติดตามแนวทางพรรคก้าวไกล จะไม่ได้มุ่งฐานความผิดเป็นสิ่งสำคัญ แต่มุ่งที่มูลเหตุจูงใจว่า คดีที่บุคคลนั้นโดนมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่อย่างไร ดังนั้น จึงต้องมีคณะกรรมการที่เป็นตัวแทนของทุกฝ่ายมาพิจารณาว่า มูลเหตุจูงใจในทางการเมืองมีในคดีต่างๆ เหล่านั้นหรือไม่ ส่วนนาย
ทักษิณจะเข้าข่ายหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการว่าจะพิจารณาว่า มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่
เมื่อถามว่า นาย
ทักษิณ จะเป็นเหตุผลให้พรรคเพื่อไทยยกมือโหวตให้ พ.ร.บ.ของพรรคก้าวไกลหรือไม่ น.ส.
พรรณิการ์กล่าวว่า ตนหวังว่ากรณีของนาย
ทักษิณ จะไม่เป็นมูลเหตุจูงใจให้พรรคเพื่อไทย แต่เป็นกรณีของประชาชนทั่วไป ที่ติดคุกอยู่ในวันนี้ ที่จะเป็นมูลเหตุจูงใจให้พรรคเพื่อไทย และทุกพรรคการเมืองเห็นความสำคัญว่า เราจะปล่อยให้ผู้ต่อสู้ทางการเมือง เพียงเพราะเขามีความเห็นที่แตกต่าง ติดคุกแบบนี้ต่อไปหรือไม่
“
ดิฉันหวังใจว่า กรณีของคุณทักษิณ จะไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยเลยแม้แต่น้อย” น.ส.
พรรณิการ์กล่าว
‘หมออ๋อง’ ยื่นข้อมูลลับโรค ASF ดีเอสไอ ล้างบางขบวนการหมูเถื่อน หลังร้อง ป.ป.ช.แล้วเงียบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4318232
‘ปดิพัทธ์’ บุก DSI ยื่นข้อมูลลับเกี่ยวกับโรค ASF ปี 2564 ประกอบสืบคดีปราบหมูเถื่อน เชื่อ ‘รบ.เศรษฐา’ เอาจริงสาวถึงบิ๊กบอส
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นาย
ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เดินทางเข้าพบกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อยื่นหนังสือเกี่ยวกับการปกปิดข้อมูลเรื่องโรคอหิวาต์ในสุกร หรือ ASF ที่ระบาดในปี 2564 เป็นข้อมูลประกอบการสอบสวนเพิ่มเติมในคดีเกี่ยวกับขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนในประเทศไทย โดยมี พ.ต.ต.
วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกดีเอสไอ เป็นตัวแทนรับหนังสือ
นาย
ปดิพัทธ์กล่าวว่า จากกรณีที่มีการจับกุมและกวาดล้างการนำเข้าหมูเถื่อนเข้าในประเทศไทยในปัจจุบัน และได้มีการเปิดเผยรายชื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ทั้งภาครัฐและเอกชน ตนในฐานะที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และติดตามเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด จึงได้นำข้อมูลที่เกี่ยวกับหน่วยงานภาครัฐ คือ กรมปศุสัตว์ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการปกปิดข้อมูลโรคระบาดดังกล่าวในปี 2564-2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศไทยประสบปัญหาเนื้อหมูหน้าเขียงขาดตลาด แต่กลับมีวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน ยังพบว่า บริษัทส่งออกรายใหญ่มีการส่งออกเนื้อหมูในปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 400% ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จึงคาดว่าสอดคล้องกับการปกปิดข้อมูลโรคระบาด เพราะหากมีการประกาศเกี่ยวกับโรคระบาดที่เกิดขึ้น จะทำให้ไม่สามารถส่งออกเนื้อหมูจากประเทศไทยได้ ต่อมา ยังเกิดผลกระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยที่กำลังจะฟื้นตัวจากโรคระบาด เพราะพบว่ามีการนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยประสบปัญหา ไม่สามารถแข่งขันด้านราคา ไม่สามารถฟื้นฟูกิจการได้ กลไกดังกล่าวจึงถือเป็นการทำลายเกษตรกรรายย่อยอย่างถาวร
นาย
ปดิพัทธ์ยังกล่าวอีกว่า เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นไม่สามารถดำเนินการเอาผิดได้ จึงต้องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนเอาผิดกับผู้ที่กระทำความผิดในอดีตด้วย ไม่ว่าจะเป็นอธิบดีกรมปศุสัตว์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ โดยตนเคยยื่นข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการนี้ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาแล้ว เมื่อปี 2565 เพื่อให้เอาผิดกับรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงหนึ่ง แต่ ทาง ป.ป.ช.กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น
วันนี้ จึงถือโอกาสนำข้อมูลชุดเดียวกันมายื่นให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้ล้างบางขบวนหมูเถื่อนทั้งหมด ซึ่งข้อมูลมีความเกี่ยวข้องกับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และข้าราชการการเมืองระดับสูงโดยตรง เชื่อว่าจะสามารถช่วยให้สาวไปถึงตัวการใหญ่ได้ และเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ จะสามารถสืบสวนสอบสวนเอาผิดไปจนถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังในระดับสูง แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะมาจากกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ก็ตาม ก็น่าจะสามารถแยกแยะและปฎิบัติหน้าที่ได้ และต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลชุดนี้ด้วยเนื่องจากเรื่องไม่ได้เกิดในรัฐบาลชุดนี้ แก้ปัญหาการทุจริตและถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำหรับรัฐบาลชุดนี้ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตภาครัฐได้หรือไม่
นอกจากนี้ นายปดิพัทธ์ ยังกล่าวถึงหมูเถื่อนที่ทางกรมศุลกากรอายัดไว้ทั้งหมด 161 ตู้ ที่ท่าเรือแหลมฉบังในขณะนี้ด้วยว่า ไม่ใช่จำนวนทั้งหมดที่นำเข้า และคาดว่า น่าจะมีมากกว่านี้อีกหลายพันตู้
กกร. ประเมินGDP ปี 67 โต 2.8-3.3% เสี่ยงโตต่ำกว่าระดับศักยภาพ 3% เป็นปีที่ 6
https://ch3plus.com/news/economy/morning/377546
การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนธันวาคม 2566 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธาน กกร. ได้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้น้อยกว่าที่คาด 9 เดือนแรกเติบโตได้เพียง 1.9% โดยการส่งออกยังชะลอตัวตามทิศทางประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะจีน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวอย่างต่อเนื่องและชะลอการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 28 ล้านคน แทนที่จะเป็นราว 30 ล้านคน การใช้จ่ายต่อหัวก็ลดลงเหลือเพียง 4.3 หมื่นบาท จากที่เคยประมาณการ 4.55 หมื่นบาท
เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัว สหรัฐฯ และยุโรปชะลอตัวจากภาวะการเงินที่ยังตึงตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของเอเชียไม่รวมจีน ได้แก่ อาเซียน-5 เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเฉลี่ยที่อัตรา 3.7% นอกจากนี้ ตะวันออกกลางและอินเดีย มีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูงที่ประมาณ 3.4% และ 6.3% ตามลำดับ สามารถเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และอาหาร
JJNY : 5in1 ช่อหวังพท.หนุนนิรโทษฯ│‘หมออ๋อง’ยื่นข้อมูลลับดีเอสไอ│กกร.ประเมินGDP│‘ข้าวไทย’ไม่ติด 1ใน3│ยึดเมืองแรกในพะโค
https://www.matichon.co.th/politics/news_4318005
“พรรณิการ์” หวัง “เพื่อไทย” ไม่เอา “ทักษิณ” เป็นมูลเหตุจูงใจ ยกมือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ย้ำ แกนนำ “อนาคตใหม่-ก้าวไกล” บางคนไม่รับสิทธินิรโทษ หวั่นข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน มั่นใจไม่ผิด ชี้ นักโทษทางความคิดไม่ได้ก่ออาชญากรรม
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 ที่รัฐสภา น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ในฐานะอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า ต้องถือว่า ความเคลื่อนไหวเป็นไปในเชิงบวก ตั้งแต่พรรคก้าวไกล เสนอเป็นนโยบายหาเสียง ตนในฐานะผู้ช่วยหาเสียงก็ได้พูดถึงเรื่องนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่า จะต้องมีความเห็นที่แตกต่าง
แต่ถามว่า ทำไมต้องรวมคดีที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ด้วย เป็นเพราะจุดประสงค์ในการออกร่าง พ.ร.บ.ของพรรคก้าวไกลเป็นเพราะความขัดแย้ง ความแตกแยกในสังคมไทยที่ดำเนินอยู่ เกิดจากความแตกต่างทางความคิด หนึ่งในนั้นแสดงออกผ่านการฟ้องร้องการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับคดี ม.112
ดังนั้น หากเราต้องการออกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง และเดินหน้าร่วมกันบนความคิดเห็นที่แตกต่าง คือการละเว้น ม.112 ออกไปจาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะไม่บรรลุผลด้วย ซึ่ง นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้กล่าวไว้ดีแล้ว โดยตนเห็นด้วยทุกประการ เพราะเป็นเรื่องที่ดีที่สังคมจะก้าวต่อไป บนประชาธิปไตยที่อยู่กันบนความแตกต่างหลากหลายได้ ก็จำเป็นต้องคลี่คลายความขัดแย้งในอดีต ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ทำผิดจะไม่ต้องรับโทษ
แต่ต้องยอมรับว่า คดีต่างๆ ที่ถูกดำเนินการ โดยมีเป้าประสงค์ทางการเมืองที่เกิดจากความคิดที่แตกต่างกัน หรือภาษาสากลเรียกว่า นักโทษทางความคิด คือไม่ได้ก่ออาชญากรรม แต่มีความเห็นที่แตกต่างจากรัฐ หรือผู้มีอำนาจรัฐ จึงเป็นที่มาที่ทำให้ถูกดำเนินคดีอาญา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ควรมีการนิรโทษกรรม และมาเริ่มต้นพูดคุยกันใหม่
เมื่อถามว่า พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะเสนอร่างมาประกบ ม.112 จะไม่ถูกผลักดันหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า หลายพรรคก็ไม่ได้คัดค้านเรื่อง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม แต่ไม่ต้องการให้รวมคดี ม.112 ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มีความเห็นแตกต่างกัน ในสภาก็สามารถถกเถียงกันได้ ตนคิดว่า ก็คงเป็นไปตามกระบวนการ การที่พรรคการเมืองจะเสนอร่างประกบถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากมีร่างประกบก็หมายความว่า มีจุดที่เห็นตรงกันด้วย ไม่อย่างนั้น คงไม่ส่งร่างมาประกบ เป็นกลไกที่ต้องต่อสู้กันในสภา หากพรรคก้าวไกลไม่สามารถได้เสียงพอ ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ในกระบวนการ แต่อย่างน้อยข้อเสนอของพรรคก้าวไกลเป็นสิ่งที่ตน และประชาชนจำนวนมากในสังคมเห็นด้วย อย่างน้อยที่สุดให้มีการถกเถียงและเข้าสู่กระบวนการตามปกติของสภา
เมื่อถามย้ำว่า หลายพรรคยังรับไม่ได้เรื่อง ม.112 น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า เป็นงานที่พรรคก้าวไกลต้องทำ เรื่องนี้ยังไม่ถูกพิจารณาในสภา จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น
เมื่อถามว่า นายชัยธวัชเคยกล่าวว่า แกนนำพรรคอนาคตใหม่ จนถึงพรรคก้าวไกลบางคนเคยขอสละสิทธิไม่เข้าสู่กระบวนการ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า เราได้พูดคุยกันมาตลอดการเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ว่าจะมีการจัดทำร่างดังกล่าว สิ่งแรกที่เราคิดและระมัดระวังอย่างมากคือเรื่องนี้จะเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ เพราะมีบุคลากรของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลจำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจเข้าข่ายได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.นี้ เราตระหนักเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกในการกระทำนโยบายและ พ.ร.บ. เพื่อให้กฎหมายนี้สามารถดำเนินหน้าต่อไป แล้วตัวเองสามารถตอบสังคมได้อย่างถูกต้องตามหลักการ คือป้องกันข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน
“อีกเหตุผลหนึ่งคือเรามีความจำเป็นจริงๆ ที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยกระบวนการยุติธรรม เพราะเราเชื่อว่าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย การพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม เราเชื่อว่าอาจจะทำให้เราได้รับความเป็นธรรมได้เราไม่ต้องให้ผลประโยชน์ทับซ้อนนี้ขัดขวางการทำให้ พ.ร.บ.นี้ไปสู่จุดหมายปลายทาง” น.ส.พรรณิการ์กล่าว
เมื่อถามว่า ไม่ได้รวมถึง ส.ส.ก้าวไกลในปัจจุบันใช่หรือไม่ น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องเป็นการตัดสินใจของเจ้าตัวเอง ส.ส.ก้าวไกลในปัจจุบันหลายคนในขณะถูกคดี เขาเป็นแค่ประชาชน เพราะฉะนั้น พอเขาเป็น ส.ส.แล้ว มีการบอกว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ตนคิดว่า ไม่เป็นธรรม ต่างกับที่พวกเราพรรคอนาคตใหม่โดน เราเป็น ส.ส.แล้วทั้งหมด
เมื่อถามว่า การสละสิทธิในครั้งนี้จะถือเป็นต้นแบบให้พรรคการเมืองอื่นหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่โมเดลระดับพรรค แต่เป็นการตัดสินใจระดับบุคคล เพราะสุดท้ายแล้วสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน หากใครต้องการแสวงหาความเป็นธรรม ให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม เราก็ไม่ควรปิดกั้น
เมื่อถามว่า คดีของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนใหญ่เป็นคดีทุจริตจะเข้าข่ายด้วยหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า หากติดตามแนวทางพรรคก้าวไกล จะไม่ได้มุ่งฐานความผิดเป็นสิ่งสำคัญ แต่มุ่งที่มูลเหตุจูงใจว่า คดีที่บุคคลนั้นโดนมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่อย่างไร ดังนั้น จึงต้องมีคณะกรรมการที่เป็นตัวแทนของทุกฝ่ายมาพิจารณาว่า มูลเหตุจูงใจในทางการเมืองมีในคดีต่างๆ เหล่านั้นหรือไม่ ส่วนนายทักษิณจะเข้าข่ายหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการว่าจะพิจารณาว่า มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่
เมื่อถามว่า นายทักษิณ จะเป็นเหตุผลให้พรรคเพื่อไทยยกมือโหวตให้ พ.ร.บ.ของพรรคก้าวไกลหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า ตนหวังว่ากรณีของนายทักษิณ จะไม่เป็นมูลเหตุจูงใจให้พรรคเพื่อไทย แต่เป็นกรณีของประชาชนทั่วไป ที่ติดคุกอยู่ในวันนี้ ที่จะเป็นมูลเหตุจูงใจให้พรรคเพื่อไทย และทุกพรรคการเมืองเห็นความสำคัญว่า เราจะปล่อยให้ผู้ต่อสู้ทางการเมือง เพียงเพราะเขามีความเห็นที่แตกต่าง ติดคุกแบบนี้ต่อไปหรือไม่
“ดิฉันหวังใจว่า กรณีของคุณทักษิณ จะไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยเลยแม้แต่น้อย” น.ส.พรรณิการ์กล่าว
‘หมออ๋อง’ ยื่นข้อมูลลับโรค ASF ดีเอสไอ ล้างบางขบวนการหมูเถื่อน หลังร้อง ป.ป.ช.แล้วเงียบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4318232
‘ปดิพัทธ์’ บุก DSI ยื่นข้อมูลลับเกี่ยวกับโรค ASF ปี 2564 ประกอบสืบคดีปราบหมูเถื่อน เชื่อ ‘รบ.เศรษฐา’ เอาจริงสาวถึงบิ๊กบอส
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เดินทางเข้าพบกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อยื่นหนังสือเกี่ยวกับการปกปิดข้อมูลเรื่องโรคอหิวาต์ในสุกร หรือ ASF ที่ระบาดในปี 2564 เป็นข้อมูลประกอบการสอบสวนเพิ่มเติมในคดีเกี่ยวกับขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนในประเทศไทย โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกดีเอสไอ เป็นตัวแทนรับหนังสือ
นายปดิพัทธ์กล่าวว่า จากกรณีที่มีการจับกุมและกวาดล้างการนำเข้าหมูเถื่อนเข้าในประเทศไทยในปัจจุบัน และได้มีการเปิดเผยรายชื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ทั้งภาครัฐและเอกชน ตนในฐานะที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และติดตามเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด จึงได้นำข้อมูลที่เกี่ยวกับหน่วยงานภาครัฐ คือ กรมปศุสัตว์ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการปกปิดข้อมูลโรคระบาดดังกล่าวในปี 2564-2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศไทยประสบปัญหาเนื้อหมูหน้าเขียงขาดตลาด แต่กลับมีวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน ยังพบว่า บริษัทส่งออกรายใหญ่มีการส่งออกเนื้อหมูในปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 400% ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จึงคาดว่าสอดคล้องกับการปกปิดข้อมูลโรคระบาด เพราะหากมีการประกาศเกี่ยวกับโรคระบาดที่เกิดขึ้น จะทำให้ไม่สามารถส่งออกเนื้อหมูจากประเทศไทยได้ ต่อมา ยังเกิดผลกระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยที่กำลังจะฟื้นตัวจากโรคระบาด เพราะพบว่ามีการนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยประสบปัญหา ไม่สามารถแข่งขันด้านราคา ไม่สามารถฟื้นฟูกิจการได้ กลไกดังกล่าวจึงถือเป็นการทำลายเกษตรกรรายย่อยอย่างถาวร
นายปดิพัทธ์ยังกล่าวอีกว่า เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นไม่สามารถดำเนินการเอาผิดได้ จึงต้องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนเอาผิดกับผู้ที่กระทำความผิดในอดีตด้วย ไม่ว่าจะเป็นอธิบดีกรมปศุสัตว์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ โดยตนเคยยื่นข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการนี้ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาแล้ว เมื่อปี 2565 เพื่อให้เอาผิดกับรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงหนึ่ง แต่ ทาง ป.ป.ช.กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น
วันนี้ จึงถือโอกาสนำข้อมูลชุดเดียวกันมายื่นให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้ล้างบางขบวนหมูเถื่อนทั้งหมด ซึ่งข้อมูลมีความเกี่ยวข้องกับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และข้าราชการการเมืองระดับสูงโดยตรง เชื่อว่าจะสามารถช่วยให้สาวไปถึงตัวการใหญ่ได้ และเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ จะสามารถสืบสวนสอบสวนเอาผิดไปจนถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังในระดับสูง แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะมาจากกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ก็ตาม ก็น่าจะสามารถแยกแยะและปฎิบัติหน้าที่ได้ และต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลชุดนี้ด้วยเนื่องจากเรื่องไม่ได้เกิดในรัฐบาลชุดนี้ แก้ปัญหาการทุจริตและถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำหรับรัฐบาลชุดนี้ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตภาครัฐได้หรือไม่
นอกจากนี้ นายปดิพัทธ์ ยังกล่าวถึงหมูเถื่อนที่ทางกรมศุลกากรอายัดไว้ทั้งหมด 161 ตู้ ที่ท่าเรือแหลมฉบังในขณะนี้ด้วยว่า ไม่ใช่จำนวนทั้งหมดที่นำเข้า และคาดว่า น่าจะมีมากกว่านี้อีกหลายพันตู้
กกร. ประเมินGDP ปี 67 โต 2.8-3.3% เสี่ยงโตต่ำกว่าระดับศักยภาพ 3% เป็นปีที่ 6
https://ch3plus.com/news/economy/morning/377546
การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนธันวาคม 2566 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธาน กกร. ได้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้น้อยกว่าที่คาด 9 เดือนแรกเติบโตได้เพียง 1.9% โดยการส่งออกยังชะลอตัวตามทิศทางประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะจีน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวอย่างต่อเนื่องและชะลอการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 28 ล้านคน แทนที่จะเป็นราว 30 ล้านคน การใช้จ่ายต่อหัวก็ลดลงเหลือเพียง 4.3 หมื่นบาท จากที่เคยประมาณการ 4.55 หมื่นบาท
เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัว สหรัฐฯ และยุโรปชะลอตัวจากภาวะการเงินที่ยังตึงตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของเอเชียไม่รวมจีน ได้แก่ อาเซียน-5 เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเฉลี่ยที่อัตรา 3.7% นอกจากนี้ ตะวันออกกลางและอินเดีย มีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูงที่ประมาณ 3.4% และ 6.3% ตามลำดับ สามารถเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และอาหาร