เด็กทุกคนล้วนเป็น “เยาวชนของโลก” และไม่ควรมีเด็กคนไหนถูกละเมิดสิทธิทั้งร่างกาย จิตใจ ความคิด และความฝัน แต่ในความเป็นจริงของโลกนี้ยังมีเยาวชนอีกไม่น้อยที่ถูกมองว่าเป็น “แกะดำ” หรือ “เด็กดื้อ” ในสังคมที่พวกเขาเกิดและเติบโตมา เพียงเพราะเขาคิด เขาทำ และเขาต่อสู้เพื่อบางสิ่งบางอย่าง อันเป็นเรื่องที่คนบางกลุ่มหรือส่วนใหญ่ในสังคมมองว่า “แปลกแยกแตกต่าง” ไปจากเด็กทั่วไปตามขนบมาตรฐานที่สังคมนั้นนิยามไว้
โลกได้ค้นพบเด็กดื้อเหล่านี้ และความจริงมักปรากฏว่า ยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านได้ทำให้ผู้คนเรียนรู้ เข้าใจ ตระหนักในภายหลังว่าการต่อสู้และเสียงของเด็กเหล่านี้ทรงพลังมากพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในโลกนี้ได้...อย่างมีความหมายและทรงคุณค่า
นี่คือ 6 เยาวชนของโลก จากเด็กดื้อที่ถูกชิงชังและโดนหมั่นไส้ สู่การเติบใหญ่เป็นเยาวชนที่โลกต้องการ…
1. มาลาลา ยูซาฟไซ (Malālah Yūsafzay)
บทบาท: นักเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิสตรีและการศึกษา
ที่เกิดเหตุ: ปากีสถาน
แอคชั่น: มาลาลาเด็กนักเรียนวัย 12 ปีจากเมืองมินโกราในเขตสวัต (Swat District) เมืองในหุบเขาที่ถูกยึดครองโดยกลุ่มตอลิบาน และห้ามเด็กหญิงเข้าศึกษาในโรงเรียน บังคับให้อยู่แต่ในบ้าน ผู้หญิงส่วนใหญ่หวาดกลัวจึงยอมจำนน แต่มาลาลากับพ่อของเธอไม่ยอม เธอออกไปโรงเรียนโดยได้รับการสนับสนุนจากพ่อที่เป็นกวีและเจ้าของโรงเรียน มาลาลาเขียนตีแผ่วิจารณ์ตอลิบานที่ห้ามเด็กหญิงเรียนหนังสือในบล็อกของ bbc รวมถึงปราศรัยรณรงค์ให้เด็กต้องได้เรียนอย่างต่อเนื่อง จนถูกหมายหัวสั่งฆ่า
เหตุการณ์สำคัญ: ปี 2555 มาลาลาในวัย 15 ปี ถูกลอบยิงที่ศีรษะโดยมือปืนตอลิบานขณะอยู่บนรถโรงเรียนที่กำลังจะส่งเธอและเพื่อนๆ กลับบ้าน(เพื่อนอีก 2 คนโดนลูกหลงจากกระสุนบาดเจ็บเล็กน้อยด้วย) มาลาลาหมดสติและอยู่ในภาวะวิกฤต เธอถูกส่งตัวไปอังกฤษเพื่อรับการรักษาจนกลับมาปกติ
ผลพวงจากเด็กดื้อ: ปี 2557 เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ร่วมกับไกลาศ สัตยาธี จากการต่อสู้เพื่อการศึกษาของเด็ก มาลาลาเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลที่อายุน้อยที่สุด ด้วยวัย 17 ปี ต่อมาเธอออกหนังสืออัตชีวประวัติเล่มแรกชื่อ I Am Malala และเรียนจบจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในปี 2563 เธอได้รับการศึกษาสูงสุดสมดังความตั้งใจ จากการเคลื่อนไหวอันยาวนานของเธอทำให้ความช่วยเหลือจากองค์กรสากลต่างๆ เข้าไปดูแลและมอบทุนการศึกษาแก่เด็กๆ ในสวัต มีอาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือ สหรัฐส่งกองกำลังไปคุ้มครอง ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือการต่อสู้ของเด็กหญิงคนหนึ่งจนโลกมองเห็นและเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เธอเกือบต้องแลกด้วยชีวิต
2. เกรต้า ธันเบิร์ก (Greta Thunberg)
บทบาท: นักกิจกรรมภูมิอากาศ
ที่เกิดเหตุ: สวีเดน
แอคชั่น: เด็กหญิงวัย 16 ปี ผู้ถูกวินิจฉัยว่ามีอาการของแอสเพอร์เกอร์ (Asperger Syndrome) อาการในกลุ่มออทิสติก ที่มักมีพฤติกรรมจดจ่อกับเรื่องเดิมซ้ำๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่เกรต้าถูกโจมตีจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เธอทำเมื่อปี 2018 คือ การออกไปเรียกร้องเพื่ออนาคตของโลกใบนี้ โดยการ “โดดเรียนเพื่อโลก” ซึ่งไม่มีเพื่อนคนไหนเอาด้วยกับเธอ ดังนั้นเกรต้าเลยไปคนเดียวและใช้เวลานั่งอยู่หน้ารัฐสภาสวีเดน พร้อมชูป้ายที่เขียนด้วยลายมือตัวเองว่า
“ไม่ไปเรียนหนังสือเพื่อประท้วงโลกร้อน” พร้อมทำใบปลิวอธิบายความน่ากลัวของภาวะโลกร้อน แจกผู้คนที่ผ่านไปมา เป้าหมายคือเรียกร้องให้รัฐบาลสวีเดนดำเนินการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เธอโดดเรียนประท้วงในทุกวันศุกร์ติดต่อกันนาน 3 สัปดาห์ จนเกิดกระแส
#Fridaysforfuture (วันศุกร์เพื่ออนาคต) แพร่หลายในทวิตเตอร์ กระทั่งมีเด็กนักเรียนมาเข้าร่วมประท้วงด้วยจนค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
เหตุการณ์สำคัญ: จากแฮชแท็กวันศุกร์เพื่ออนาคต เกรต้าเปิดเว็บไซต์ Fridays for Future เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเรื่องโลกร้อน ต่อมาในวันศุกร์ที่ 20 ก.ย. 2019 เด็กวัยรุ่นนัดรวมตัวพร้อมกันใน 170 ประเทศทั่วโลก จำนวนมากกว่า 4 ล้านคน เป็นการโดดเรียนครั้งประวัติศาสตร์เพื่อแสดงจุดยืนเรื่องโลกร้อน จนก่อผลสะเทือนไปทั้งโลก ต่อมาในวันที่ 23 ก.ย. ปีเดียวกัน เกรต้าก็ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีสหประชาชาติ
ผลพวงจากเด็กดื้อ: เกรต้ากลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับปัญหาสภาวะโลกร้อน และเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจเรื่องมลภาวะ เธอได้รับฉายาจากสื่อว่า
“Climate Icon” และได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ ประจำปี 2019 เกรต้าขึ้นปก Time พร้อมข้อความยกย่องว่า
“พลังแห่งเยาวชน” (Greta Thunberg – The Power Of Youth) ในที่สุด 2 ปีต่อมา นานาชาติได้มีการจัดประชุมเพื่อทำ
ข้อตกลงโดยมี 120 ประเทศทั่วโลก ให้คำมั่นสัญญาต่อ UN ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ในวันที่ 1 พ.ย. 2021
3.โจชัว หว่อง (Joshua Wong Chi-fung)
บทบาท: นักเคลื่อนไหวทางการเมือง
ที่เกิดเหตุ: เกาะฮ่องกง
แอคชั่น: หว่องและเพื่อนได้ก่อตั้งกลุ่ม “Scholarism” ซึ่งรวมนักเรียนนักศึกษาเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆ ในสังคม จากที่มีสมาชิกแค่หลักสิบคนก็เริ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีจำนวนกว่า 120,000 คนในปี 2555 จนในปี 2557 หว่องในวัย 15 ปี เป็นผู้นำการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ขณะที่สื่อจีนนำเสนอภาพหว่องในฐานะกลุ่มวัยรุ่นหัวรุนแรงก่อกวนเมือง ทำให้เขาตกเป็นเป้าของทางการจีน ก่อนที่จะถูกควบคุมตัวและดำเนินคดีหลายข้อหา เขาต้องรับโทษเข้าๆ ออกๆ เรือนจำหลายครั้ง
เหตุการณ์สำคัญ: หว่องมีบทบาทสำคัญใน
ขบวนการร่ม (Umbrella Movement) ที่ชาวฮ่องกงจำนวนมากร่วมกันแสดงพลังต่อต้านการแผ่ขยายอิทธิพลของรัฐบาลจีน ครั้งนั้นผู้ชุมนุมปักหลักประท้วงในย่านเซ็นทรัลของฮ่องกงเป็นเวลาร่วม 3 เดือน
ผลพวงจากเด็กดื้อ: นิตยสารไทม์ (Time) ยกย่องเขาเป็นหนึ่งใน
‘วัยรุ่นที่ทรงอิทธิพลที่สุด’ (Most Influential Teens) แห่งปี 2557 และเสนอชื่อเขาเป็นบุคคลแห่งปีของไทม์ (Time Person of the Year) ประจำปี 2557 ด้วย นอกจากนี้ ใน ปี 2558 นิตยสาร ฟอร์จูน (Fortune) เรียกขานเขาว่า เป็นหนึ่งใน “ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก” (world’s greatest leaders)
4. เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
บทบาท: นักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน
ที่เกิดเหตุ: ประเทศไทย
แอคชั่น: เนติวิทย์หรือ “แฟรงก์” เป็นผู้ก่อตั้งสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย และกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิรูปการศึกษาไทย โดยการเคลื่อนไหวช่วงแรกๆ มุ่งเน้นไปที่เรื่องทรงผมนักเรียน การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษา รวมถึงวิจารณ์พิธีกรรมหน้าเสาธงในโรงเรียน และการยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร แม้การเคลื่อนไหวของเขาจะถูกฝ่ายอนุรักษ์ขวาจัดโจมตีอย่างหนักหน่วงก็ตาม
เหตุการณ์สำคัญ: เขาเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลเผด็จการทหาร ช่วงปี 2563–2565 ก่อนหน้านั้นในปี 2560 เนติวิทย์กับเพื่อนสมาชิกสภานิสิตฯ อีก 7 คน ได้เดินออกจากพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ 2 รัชกาล ทำให้จุฬาฯสั่งตัดคะแนนความประพฤติของเขาและเพื่อน เป็นเหตุให้เนติวิทย์ขาดโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมหรือลงสมัครในตำแหน่งต่างๆ ของมหาวิทยาลัย และส่งผลให้เขาพ้นจากตำแหน่งประธานสภานิสิตฯ
ผลพวงจากเด็กดื้อ: คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเคยเสนอ
“รางวัลสิทธิมนุษยชน” ประเภทเด็กและเยาวชน จากบทบาทการรณรงค์เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนให้เขา แต่เขาปฏิเสธรางวัลนี้ ต่อมาในปี 2561 สำนักข่าวสเตรทไทม์ส (Straits Times) ของสิงคโปร์ ยกย่องเนติวิทย์ เป็น
1 ใน 50 บุคคลชาวเอเชียที่น่าจับตามองแห่งปี (50 Asians to Watch) สาขาบุคคลสาธารณะผู้เคลื่อนไหวสังคม ประจำปี 2018 เขาได้รับเชิญให้เป็น 1 ในผู้ปาฐกถา ในงาน Oslo Freedom Forum ประจำปี 2018 เวทีระดับโลกที่พูดถึงประเด็นสิทธิมนุษยชน
(มีต่อ 5-6)
เรียบเรียงข้อมูลจาก:
https://www.goodgoodgood.co/articles/teen-activists ,
https://worldschildrensprize.org/iqbal-masih , itgetsbetter.org ,
https://time.com/4832521/thailand-demoracy-activist-netiwit-chotiphatphaisal/
6 เด็กดื้อที่ถูกชิงชัง สู่การเป็น “เยาวชนคนสำคัญของโลก”
โลกได้ค้นพบเด็กดื้อเหล่านี้ และความจริงมักปรากฏว่า ยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านได้ทำให้ผู้คนเรียนรู้ เข้าใจ ตระหนักในภายหลังว่าการต่อสู้และเสียงของเด็กเหล่านี้ทรงพลังมากพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในโลกนี้ได้...อย่างมีความหมายและทรงคุณค่า
ที่เกิดเหตุ: ปากีสถาน
แอคชั่น: มาลาลาเด็กนักเรียนวัย 12 ปีจากเมืองมินโกราในเขตสวัต (Swat District) เมืองในหุบเขาที่ถูกยึดครองโดยกลุ่มตอลิบาน และห้ามเด็กหญิงเข้าศึกษาในโรงเรียน บังคับให้อยู่แต่ในบ้าน ผู้หญิงส่วนใหญ่หวาดกลัวจึงยอมจำนน แต่มาลาลากับพ่อของเธอไม่ยอม เธอออกไปโรงเรียนโดยได้รับการสนับสนุนจากพ่อที่เป็นกวีและเจ้าของโรงเรียน มาลาลาเขียนตีแผ่วิจารณ์ตอลิบานที่ห้ามเด็กหญิงเรียนหนังสือในบล็อกของ bbc รวมถึงปราศรัยรณรงค์ให้เด็กต้องได้เรียนอย่างต่อเนื่อง จนถูกหมายหัวสั่งฆ่า
เหตุการณ์สำคัญ: ปี 2555 มาลาลาในวัย 15 ปี ถูกลอบยิงที่ศีรษะโดยมือปืนตอลิบานขณะอยู่บนรถโรงเรียนที่กำลังจะส่งเธอและเพื่อนๆ กลับบ้าน(เพื่อนอีก 2 คนโดนลูกหลงจากกระสุนบาดเจ็บเล็กน้อยด้วย) มาลาลาหมดสติและอยู่ในภาวะวิกฤต เธอถูกส่งตัวไปอังกฤษเพื่อรับการรักษาจนกลับมาปกติ
ผลพวงจากเด็กดื้อ: ปี 2557 เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ร่วมกับไกลาศ สัตยาธี จากการต่อสู้เพื่อการศึกษาของเด็ก มาลาลาเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลที่อายุน้อยที่สุด ด้วยวัย 17 ปี ต่อมาเธอออกหนังสืออัตชีวประวัติเล่มแรกชื่อ I Am Malala และเรียนจบจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในปี 2563 เธอได้รับการศึกษาสูงสุดสมดังความตั้งใจ จากการเคลื่อนไหวอันยาวนานของเธอทำให้ความช่วยเหลือจากองค์กรสากลต่างๆ เข้าไปดูแลและมอบทุนการศึกษาแก่เด็กๆ ในสวัต มีอาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือ สหรัฐส่งกองกำลังไปคุ้มครอง ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือการต่อสู้ของเด็กหญิงคนหนึ่งจนโลกมองเห็นและเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เธอเกือบต้องแลกด้วยชีวิต
ที่เกิดเหตุ: สวีเดน
แอคชั่น: เด็กหญิงวัย 16 ปี ผู้ถูกวินิจฉัยว่ามีอาการของแอสเพอร์เกอร์ (Asperger Syndrome) อาการในกลุ่มออทิสติก ที่มักมีพฤติกรรมจดจ่อกับเรื่องเดิมซ้ำๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่เกรต้าถูกโจมตีจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เธอทำเมื่อปี 2018 คือ การออกไปเรียกร้องเพื่ออนาคตของโลกใบนี้ โดยการ “โดดเรียนเพื่อโลก” ซึ่งไม่มีเพื่อนคนไหนเอาด้วยกับเธอ ดังนั้นเกรต้าเลยไปคนเดียวและใช้เวลานั่งอยู่หน้ารัฐสภาสวีเดน พร้อมชูป้ายที่เขียนด้วยลายมือตัวเองว่า “ไม่ไปเรียนหนังสือเพื่อประท้วงโลกร้อน” พร้อมทำใบปลิวอธิบายความน่ากลัวของภาวะโลกร้อน แจกผู้คนที่ผ่านไปมา เป้าหมายคือเรียกร้องให้รัฐบาลสวีเดนดำเนินการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เธอโดดเรียนประท้วงในทุกวันศุกร์ติดต่อกันนาน 3 สัปดาห์ จนเกิดกระแส #Fridaysforfuture (วันศุกร์เพื่ออนาคต) แพร่หลายในทวิตเตอร์ กระทั่งมีเด็กนักเรียนมาเข้าร่วมประท้วงด้วยจนค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
เหตุการณ์สำคัญ: จากแฮชแท็กวันศุกร์เพื่ออนาคต เกรต้าเปิดเว็บไซต์ Fridays for Future เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเรื่องโลกร้อน ต่อมาในวันศุกร์ที่ 20 ก.ย. 2019 เด็กวัยรุ่นนัดรวมตัวพร้อมกันใน 170 ประเทศทั่วโลก จำนวนมากกว่า 4 ล้านคน เป็นการโดดเรียนครั้งประวัติศาสตร์เพื่อแสดงจุดยืนเรื่องโลกร้อน จนก่อผลสะเทือนไปทั้งโลก ต่อมาในวันที่ 23 ก.ย. ปีเดียวกัน เกรต้าก็ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีสหประชาชาติ
ผลพวงจากเด็กดื้อ: เกรต้ากลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับปัญหาสภาวะโลกร้อน และเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจเรื่องมลภาวะ เธอได้รับฉายาจากสื่อว่า “Climate Icon” และได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ ประจำปี 2019 เกรต้าขึ้นปก Time พร้อมข้อความยกย่องว่า “พลังแห่งเยาวชน” (Greta Thunberg – The Power Of Youth) ในที่สุด 2 ปีต่อมา นานาชาติได้มีการจัดประชุมเพื่อทำข้อตกลงโดยมี 120 ประเทศทั่วโลก ให้คำมั่นสัญญาต่อ UN ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ในวันที่ 1 พ.ย. 2021
แอคชั่น: หว่องและเพื่อนได้ก่อตั้งกลุ่ม “Scholarism” ซึ่งรวมนักเรียนนักศึกษาเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆ ในสังคม จากที่มีสมาชิกแค่หลักสิบคนก็เริ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีจำนวนกว่า 120,000 คนในปี 2555 จนในปี 2557 หว่องในวัย 15 ปี เป็นผู้นำการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ขณะที่สื่อจีนนำเสนอภาพหว่องในฐานะกลุ่มวัยรุ่นหัวรุนแรงก่อกวนเมือง ทำให้เขาตกเป็นเป้าของทางการจีน ก่อนที่จะถูกควบคุมตัวและดำเนินคดีหลายข้อหา เขาต้องรับโทษเข้าๆ ออกๆ เรือนจำหลายครั้ง
เหตุการณ์สำคัญ: หว่องมีบทบาทสำคัญในขบวนการร่ม (Umbrella Movement) ที่ชาวฮ่องกงจำนวนมากร่วมกันแสดงพลังต่อต้านการแผ่ขยายอิทธิพลของรัฐบาลจีน ครั้งนั้นผู้ชุมนุมปักหลักประท้วงในย่านเซ็นทรัลของฮ่องกงเป็นเวลาร่วม 3 เดือน
ผลพวงจากเด็กดื้อ: นิตยสารไทม์ (Time) ยกย่องเขาเป็นหนึ่งใน ‘วัยรุ่นที่ทรงอิทธิพลที่สุด’ (Most Influential Teens) แห่งปี 2557 และเสนอชื่อเขาเป็นบุคคลแห่งปีของไทม์ (Time Person of the Year) ประจำปี 2557 ด้วย นอกจากนี้ ใน ปี 2558 นิตยสาร ฟอร์จูน (Fortune) เรียกขานเขาว่า เป็นหนึ่งใน “ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก” (world’s greatest leaders)
ที่เกิดเหตุ: ประเทศไทย
แอคชั่น: เนติวิทย์หรือ “แฟรงก์” เป็นผู้ก่อตั้งสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย และกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิรูปการศึกษาไทย โดยการเคลื่อนไหวช่วงแรกๆ มุ่งเน้นไปที่เรื่องทรงผมนักเรียน การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษา รวมถึงวิจารณ์พิธีกรรมหน้าเสาธงในโรงเรียน และการยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร แม้การเคลื่อนไหวของเขาจะถูกฝ่ายอนุรักษ์ขวาจัดโจมตีอย่างหนักหน่วงก็ตาม
เหตุการณ์สำคัญ: เขาเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลเผด็จการทหาร ช่วงปี 2563–2565 ก่อนหน้านั้นในปี 2560 เนติวิทย์กับเพื่อนสมาชิกสภานิสิตฯ อีก 7 คน ได้เดินออกจากพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ 2 รัชกาล ทำให้จุฬาฯสั่งตัดคะแนนความประพฤติของเขาและเพื่อน เป็นเหตุให้เนติวิทย์ขาดโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมหรือลงสมัครในตำแหน่งต่างๆ ของมหาวิทยาลัย และส่งผลให้เขาพ้นจากตำแหน่งประธานสภานิสิตฯ
ผลพวงจากเด็กดื้อ: คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเคยเสนอ “รางวัลสิทธิมนุษยชน” ประเภทเด็กและเยาวชน จากบทบาทการรณรงค์เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนให้เขา แต่เขาปฏิเสธรางวัลนี้ ต่อมาในปี 2561 สำนักข่าวสเตรทไทม์ส (Straits Times) ของสิงคโปร์ ยกย่องเนติวิทย์ เป็น 1 ใน 50 บุคคลชาวเอเชียที่น่าจับตามองแห่งปี (50 Asians to Watch) สาขาบุคคลสาธารณะผู้เคลื่อนไหวสังคม ประจำปี 2018 เขาได้รับเชิญให้เป็น 1 ในผู้ปาฐกถา ในงาน Oslo Freedom Forum ประจำปี 2018 เวทีระดับโลกที่พูดถึงประเด็นสิทธิมนุษยชน
(มีต่อ 5-6)
เรียบเรียงข้อมูลจาก:
https://www.goodgoodgood.co/articles/teen-activists ,https://worldschildrensprize.org/iqbal-masih , itgetsbetter.org , https://time.com/4832521/thailand-demoracy-activist-netiwit-chotiphatphaisal/