พลิกอ่านจดหมายลูกเขียนถึง ‘อานนท์’ ถาม ทำไมพ่ออยู่ในคุก หนูต้องรออีก 10 ปีใช่ไหม?
https://www.matichon.co.th/politics/news_4316658
พลิกอ่านจดหมายลูกเขียนถึง ‘อานนท์’ ถาม ทำไมพ่ออยู่ในคุก หนูต้องรออีก 10 ปีใช่ไหม?
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม เฟซบุ๊ก
อานนท์ นำภา ของ นาย
อานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จากคดีอาญา มาตรา 112 เปิดเผยจดหมายจากลูกที่เขียนถึง
อานนท์
เนื้อหาจดหมายปรากฏภาพวาดเด็กผู้หญิงกอดผู้ชายใส่แว่น สวมชุดสีน้ำตาล ใส่กำไล EM พร้อมระบุข้อความ
“พ่อ ทำไมถึงอยู่ในขุก (แก้ไขข้อความเป็น คุก) แล้วพ่ออยู่ที่ให้ (แก้ไขข้อความเป็น ไหน) ของเรือนจำ แล้วหนูต้องรออีก 10 ปีใช่ไหม?”
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=24330785156536218&id=100000942179021&ref=embed_post
ผลสำรวจ ‘ลิซ่า’ คว้าอันดับ 1 ผู้ทรงอิทธิพลดันซอฟต์พาวเวอร์ไทย ‘พิธา’ ติด Top 5
https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1102066?aoj=
‘The Attraction’ เผยผลสำรวจคนไทยรู้จัก ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (Soft Power) แต่ “งงมากแม่” กับนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ ของรัฐบาล ด้าน ‘ลิซ่า’ คว้าอันดับ 1 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลในการสร้างและผลักดัน Soft Power ของประเทศไทย รองลงมาคือ บัวขาว - จา พนม - ทิม พิธา - เบลล่า ราณี
“The Attraction” (ดิ แอทแทรคชั่น) ผู้ผลิตคอนเทนต์ เพื่อนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ “
ซอฟต์พาวเวอร์” (Soft Power) ในแง่มุมที่น่าสนใจผ่านการเล่าถึงมุมมองสำคัญทางด้านอาหาร วัฒนธรรม ความบันเทิง เศรษฐกิจ การเมือง และอื่นๆ ได้เล็งเห็นความสำคัญด้านการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล ที่ทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางในสังคม จึงได้จัดทำ “
แบบสำรวจความคิดเห็นของประชาชนไทยที่มีต่อซอฟต์พาวเวอร์” กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ติดตามเพจและประชาชนทั่วไปในโลกออนไลน์ โดยคาดหวังว่าข้อมูลและสถิติที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและองค์กรต่างๆ
จากแบบสอบถามพบว่า ประชาชนกว่า 70% มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Soft Power เป็นอย่างดี อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่มองว่าแนวคิดเรื่อง Soft Power เป็นเรื่องใกล้ตัว และคำนิยามที่ประชาชนชื่นชอบ 5 อันดับแรก คือ ภูมิพลังวัฒนธรรม พลังโน้มนำ พลังเย็น อำนาจละมุน และมานานุภาพ แต่ก็มีเสียงบางส่วนบอกว่าควรใช้ทับศัพท์ไม่ต้องหาคำแปลให้ปวดหัว แต่เมื่อเจาะถึงนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS) ที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เสียงของประชาชนเกินกว่า 60% เทไปในฝั่งเดียวกันคือ ยังไม่ค่อยเข้าใจ และ “งงมากแม่” นอกจากนี้ยังพบผลสำรวจที่น่าสนใจอีกมากมาย
5 อันดับที่คนไทยนึกถึงมากที่สุดเมื่อพูดถึงเรื่อง Soft Power
ครองแชมป์อันดับที่ 1 คือ “ข้าวเหนียวมะม่วง” น่าจะเป็นผลบุญที่น้องมิลลิ (Milli-ดนุภา คณาธีรกุล) ได้นำขึ้นไปโชว์บนเวที Coachella 2022 อันดับที่ 2 คือ “ต้มยำกุ้ง” ตราตรึงอยู่ในใจคนไทยและต่างชาติมาอย่างยาวนาน อันดับที่ 3 คือ มวยไทย อันดับที่ 4 กางเกงช้าง และอันดับที่ 5 ชาไทย
บุคคลผู้ทรงอิทธิพลในการสร้างและผลักดัน Soft Power
เป็นไปตามคาดอันดับที่ 1 คือ “
ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็กระตุ้นพลัง Soft Power ของไทยไปหมด ล่าสุดสวมชุดแบรนด์ไทย Asava รับพระราชทานเครื่องราชฯ จาก คิงชาร์ลส์ที่ 3 สวยสง่าดุจเจ้าหญิงต่อสายตานานาชาติ อันดับที่ 2 คือตกเป็นของ
บัวขาว บัญชาเมฆ ที่ขยันสร้างคอนเทนต์ ให้สาวๆ ต่างชาติได้กรี๊ดและเข้ามาฝึกมวยไทยอยู่ตลอดเป็น Soft Power ฝ่ายชายที่น่าสนใจและควรได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่ง อันดับที่ 3 คือ จ
า พนม (โทนี่ จา) อันดับ 4
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และอันดับ 5 เบลล่า ราณี
อะไรที่ชาวเน็ตอยากให้ผลักดันเป็น Soft Power ของเมืองไทย
อันดับที่ 1 คือ“ด้านงานสร้างสรรค์ งานศิลปะ” ปฎิเสธไม่ได้จริงๆ เพราะประเทศไทยมีวัฒนธรรมและศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ที่ต่างชาติชื่นชอบ และล่าสุดยูเนสโก ยังประกาศว่า "เชียงราย" เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ ประจำปี 2566 และยังมีจังหวัดอื่นๆ ที่น่าผลักดันเช่นกัน อันดับที่ 2 คือ ภาพยนตร์ไทย อันดับที่ 3 คือ เฟสติวัล อันดับที่ 4 อุตสาหกรรมดนตรี อันดับที่ 5 สุราก้าวหน้า
ปัญหาและอุปสรรคของการผลักดัน Soft Power
อันดับที่ 1 คือ “นโยบายภาครัฐ” ที่บ้างครั้งก็ดู งงงง ว่าจะไปในทิศทางไหน หรือแค่ทำเป็นกระแสเท่านั้น อันดับที่ 2 คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะนอกจากการให้คำนิยามจะไปกันคนละทิศละทางแล้ว ภาษาที่ใช้สื่อสารก็ทำให้คนหลายกลุ่มเข้าถึงได้ยาก อันดับที่ 3 คือ งบประมาณ ที่จะสนับสนุน อันดับที่ 4 การประชาสัมพันธ์ อันดับที่ 5 การต่อยอด ที่ยังถือว่าน้อยมาก
องค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Soft Power
เป็นที่น่าเสียดายที่ THACCA ไม่ติดท็อปไฟว์ อาจเป็นเพราะเพิ่งโปรโมทมาไม่ถึงปีก็เป็นได้ ทำให้ อันดับที่ 1 ตกเป็นของ “กระทรวงวัฒนธรรม” ได้รับความชื่นชมไปเต็มๆ อันดับที่ 2 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อันดับที่ 3 CEA สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อันดับที่ 4 TCDC ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบประเทศไทย อันดับที่ 5 Content Thailand กองภาพยนตร์ และวีดิทัศน์
แบรนด์ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Soft Power ของประเทศ
อันดับที่ 1 คือ “KING POWER” อันดับที่ 2 สิงห์ อันดับที่ 3 ช้าง อันดับที่ 4 PTT อันดับที่ 5 กระทิงแดง ทั้ง 5 แบรนด์เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศอยู่แล้ว ถือว่าเป็นอีกช่องทางที่จะช่วยประชาสัมพันธ์ Soft Power ของไทยที่ดีอีกช่องทาง
The Attraction หวังว่าผลการสำรวจนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อน Soft Power ของประเทศไทยให้ไปสู่ผลสัมฤทธิ์ตามแนวคิดของรัฐบาลที่ตั้งไว้ ถึงแม้ประชาชนบ้างกลุ่มยังเข้าไม่ถึง แต่ก็เต็มใจช่วยผลักดัน เพราะเชื่อว่าประเทศไทยมีต้นทุนที่ดี สามารถต่อยอดได้มากมาย แต่ก็ยังมีบางแนวคิดที่ต้องการให้รัฐบาลช่วย “
ให้ทุนสนับสนุน” หรือ “
ช่วยเป็นตัวกลางในการประสานงาน” ไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาว
กมธ.ไล่บี้ข้อมูล สร้างฝายเอลนีโญ งบ 2 พันล้าน ใช้เวลาแค่ 29 วันจบ ตั้งโครงการยันอนุมัติ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4317023
กมธ.ไล่บี้ข้อมูล สร้างฝายเอลนีโญ งบ 2 พันล้าน ใช้เวลาแค่ 29 วันจบ ตั้งโครงการยันอนุมัติ
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2566 นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้โพสต์ข้อเขียน ผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง [
หึ่ง งบมท. ฝายเอลนีโญ 2 พันล้าน ลงอบต. ทต. 4 พันแห่ง ชงขอ-อนุมัติ จบใน 29 วัน ] โดยมีเนื้อหาดังนี้
การประชุมกมธ.ครั้งล่าสุด (30 พ.ย.) ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาในวาระพิจารณา โครงการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ (Soil Cement) เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง อันเนื่องมาจากสถานการณ์เอลนีโญ ของอปท. (อบต. ทต.) ที่ขอผ่าน สถ. ซึ่งมีข้อสังเกตที่น่าช่วยกันจับตาอย่างยิ่ง
1. กระบวนการในการเสนอคำขอ พิจารณาคำขอ และยื่นคำขอ เกิดขึ้นในเวลาที่สั้นมาก โครงการเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 66 โดยในวันที่ 8 พฤศจิกายน 66 ทาง สถ.ได้ทำหนังสือไปยัง อบต. และเทศบาลตำบล และให้ส่งคำขอกลับมายัง สถ. ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 66 ซึ่งต่อมาได้ขยายให้ส่งคำขอได้ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 66 (มีเวลาให้ อบต. และ ทต. พิจารณาทำคำขอเพียง 13 วัน) และ สำนักงบประมาณ พิจารณาคำขอส่งไปยัง ครม. ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 66 ที่ผ่านมา
2. งบประมาณเฉลี่ยต่อฝายหนึ่งแห่ง อยู่ที่ไม่เกินราว ๆ 5 แสนบาท ซึ่งไม่จำเป็นต้องผ่าน e-Bidding ในการจัดซื้อจัดจ้าง
3. สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) และ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ชี้แจงว่า ทั้งสองหน่วยงาน ไม่ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาโครงการนี้ แม้จะเป็นหน่วยงานที่ควรต้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างฝายก็ตาม พร้อมทั้งได้ให้ความเห็นในที่ประชุมว่า ฝายทำหน้าที่ยกระดับน้ำ ไม่ได้มีหน้าที่เก็บน้ำในปริมาณมากๆ และการแก้ปัญหาภัยแล้งในแต่ละพื้นที่ ย่อมใช้วิธีการที่แตกต่างกัน ทั้งสองหน่วยงานไม่สามารถให้ความเห็นในที่ประชุมได้ว่า ฝาย 4 พันกว่าแห่งที่ถูกอนุมัติผ่านโครงการนี้ มีความเหมาะสม เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง และจะไม่เป็นการทำลายแหล่งน้ำหรือไม่ เพราะไม่ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาโครงการดังกล่าว
4. โครงการนี้ไม่ได้เป็นโครงการที่ถูกเสนอในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ‘67 ของรัฐบาลชุดก่อน แต่เป็นโครงการที่เพิ่งถูกเสนอขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 66 และอนุมัติจบใน 1 เดือนในรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ปัจจุบัน งบประมาณโครงการนี้ได้รับการอนุมัติโดย ครม. แล้ว สิ่งที่ กมธ.จะพิจารณาต่อ คือ การขอข้อมูลคำขอ และการจัดสรรงบประมาณในโครงการนี้ว่า ไปลงในพื้นที่ใดบ้าง มีการกระจุก/กระจายตัวอย่างไร เพื่อจะได้ตั้งข้อสังเกตส่งให้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณางบประมาณของคณะกรรมาธิการวิสามัญต่อไปครับ
https://www.facebook.com/natthaphong.ruengpanyawut/posts/pfbid07ezkFwKsdEjXc9knS3MBm4wJ6xd9ALmBtp7zm349i9bvbZbfdGf4Aw4qjxKbzz47l
กกร. วอนรัฐตรึงค่าไฟ 3.99 บ. ปรับโครงสร้างพลังงาน ชี้ ขึ้น 4.68 บ. ทุบ 45 กลุ่มอุตฯแน่
https://www.matichon.co.th/economy/news_4316703
กกร. วอนรัฐตรึงค่าไฟ 3.99 บ.-ปรับโครงสร้างพลังงาน ชี้ ขึ้น 4.68 บ. ทุบ 45 กลุ่มอุตฯแน่
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม นาย
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันที่ 6 ธันวาคมนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะหารือเร่งด่วนเกี่ยวกับผลกระทบจากกรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดมกราคม-เมษายน 2567 ที่ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟทุกประเภทอยู่ที่เฉลี่ย 4.68 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นถึง 17% นับเป็นเรื่องที่จะกระทบต่อทุกภาคส่วนต้อนรับปี 2567
“
เป็นเรื่องที่ช็อกความรู้สึกของเอกชนรับปีใหม่ สร้างความวิตกกังวล สวนทางกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการลดค่าครองชีพประชาชน ที่ผ่านมา กกร.ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขอให้เร่งรัดจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน หรือ กรอ.ด้านพลังงาน มาดูแลทั้งโครงสร้าง ดังนั้นค่าไฟฟ้างวดใหม่ควรพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้ง ควรจะตรึงที่ 3.99 บาทต่อหน่วยไปก่อน เพื่อรอการปรับโครงสร้างที่หากเร่งดำเนินการก็จะได้ข้อสรุปไม่ช้า” นาย
เกรียงไกรกล่าว
นาย
เกรียงไกรกล่าวว่า ส.อ.ท.มี 45 กลุ่มอุตสาหกรรม เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่ยังเปราะบางสูง การขึ้นค่าไฟฟ้าจะยิ่งซ้ำเติม อาจนำไปสู่การปรับขึ้นราคาสินค้า นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติต่างสอบถามเข้ามาว่าเหตุใดประเทศไทยจึงมีค่าไฟที่สูงอย่างมากเมื่อเทียบกับประเทศที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้มีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนซึ่งจะบั่นทอนต่อขีดความสามารถของประเทศ
JJNY : 5in1 พลิกอ่านจดหมายลูก│ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ‘พิธา’ ติดTop 5│กมธ.ไล่บี้ข้อมูล│กกร.วอนตรึงค่าไฟ│ยึดรถแตะ 30,000 คัน/ด.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4316658
พลิกอ่านจดหมายลูกเขียนถึง ‘อานนท์’ ถาม ทำไมพ่ออยู่ในคุก หนูต้องรออีก 10 ปีใช่ไหม?
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม เฟซบุ๊ก อานนท์ นำภา ของ นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จากคดีอาญา มาตรา 112 เปิดเผยจดหมายจากลูกที่เขียนถึงอานนท์
เนื้อหาจดหมายปรากฏภาพวาดเด็กผู้หญิงกอดผู้ชายใส่แว่น สวมชุดสีน้ำตาล ใส่กำไล EM พร้อมระบุข้อความ
“พ่อ ทำไมถึงอยู่ในขุก (แก้ไขข้อความเป็น คุก) แล้วพ่ออยู่ที่ให้ (แก้ไขข้อความเป็น ไหน) ของเรือนจำ แล้วหนูต้องรออีก 10 ปีใช่ไหม?”
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=24330785156536218&id=100000942179021&ref=embed_post
ผลสำรวจ ‘ลิซ่า’ คว้าอันดับ 1 ผู้ทรงอิทธิพลดันซอฟต์พาวเวอร์ไทย ‘พิธา’ ติด Top 5
https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1102066?aoj=
‘The Attraction’ เผยผลสำรวจคนไทยรู้จัก ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (Soft Power) แต่ “งงมากแม่” กับนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ ของรัฐบาล ด้าน ‘ลิซ่า’ คว้าอันดับ 1 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลในการสร้างและผลักดัน Soft Power ของประเทศไทย รองลงมาคือ บัวขาว - จา พนม - ทิม พิธา - เบลล่า ราณี
“The Attraction” (ดิ แอทแทรคชั่น) ผู้ผลิตคอนเทนต์ เพื่อนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ “ซอฟต์พาวเวอร์” (Soft Power) ในแง่มุมที่น่าสนใจผ่านการเล่าถึงมุมมองสำคัญทางด้านอาหาร วัฒนธรรม ความบันเทิง เศรษฐกิจ การเมือง และอื่นๆ ได้เล็งเห็นความสำคัญด้านการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล ที่ทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางในสังคม จึงได้จัดทำ “แบบสำรวจความคิดเห็นของประชาชนไทยที่มีต่อซอฟต์พาวเวอร์” กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ติดตามเพจและประชาชนทั่วไปในโลกออนไลน์ โดยคาดหวังว่าข้อมูลและสถิติที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและองค์กรต่างๆ
จากแบบสอบถามพบว่า ประชาชนกว่า 70% มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Soft Power เป็นอย่างดี อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่มองว่าแนวคิดเรื่อง Soft Power เป็นเรื่องใกล้ตัว และคำนิยามที่ประชาชนชื่นชอบ 5 อันดับแรก คือ ภูมิพลังวัฒนธรรม พลังโน้มนำ พลังเย็น อำนาจละมุน และมานานุภาพ แต่ก็มีเสียงบางส่วนบอกว่าควรใช้ทับศัพท์ไม่ต้องหาคำแปลให้ปวดหัว แต่เมื่อเจาะถึงนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS) ที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เสียงของประชาชนเกินกว่า 60% เทไปในฝั่งเดียวกันคือ ยังไม่ค่อยเข้าใจ และ “งงมากแม่” นอกจากนี้ยังพบผลสำรวจที่น่าสนใจอีกมากมาย
5 อันดับที่คนไทยนึกถึงมากที่สุดเมื่อพูดถึงเรื่อง Soft Power
ครองแชมป์อันดับที่ 1 คือ “ข้าวเหนียวมะม่วง” น่าจะเป็นผลบุญที่น้องมิลลิ (Milli-ดนุภา คณาธีรกุล) ได้นำขึ้นไปโชว์บนเวที Coachella 2022 อันดับที่ 2 คือ “ต้มยำกุ้ง” ตราตรึงอยู่ในใจคนไทยและต่างชาติมาอย่างยาวนาน อันดับที่ 3 คือ มวยไทย อันดับที่ 4 กางเกงช้าง และอันดับที่ 5 ชาไทย
บุคคลผู้ทรงอิทธิพลในการสร้างและผลักดัน Soft Power
เป็นไปตามคาดอันดับที่ 1 คือ “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็กระตุ้นพลัง Soft Power ของไทยไปหมด ล่าสุดสวมชุดแบรนด์ไทย Asava รับพระราชทานเครื่องราชฯ จาก คิงชาร์ลส์ที่ 3 สวยสง่าดุจเจ้าหญิงต่อสายตานานาชาติ อันดับที่ 2 คือตกเป็นของ บัวขาว บัญชาเมฆ ที่ขยันสร้างคอนเทนต์ ให้สาวๆ ต่างชาติได้กรี๊ดและเข้ามาฝึกมวยไทยอยู่ตลอดเป็น Soft Power ฝ่ายชายที่น่าสนใจและควรได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่ง อันดับที่ 3 คือ จา พนม (โทนี่ จา) อันดับ 4 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และอันดับ 5 เบลล่า ราณี
อะไรที่ชาวเน็ตอยากให้ผลักดันเป็น Soft Power ของเมืองไทย
อันดับที่ 1 คือ“ด้านงานสร้างสรรค์ งานศิลปะ” ปฎิเสธไม่ได้จริงๆ เพราะประเทศไทยมีวัฒนธรรมและศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ที่ต่างชาติชื่นชอบ และล่าสุดยูเนสโก ยังประกาศว่า "เชียงราย" เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ ประจำปี 2566 และยังมีจังหวัดอื่นๆ ที่น่าผลักดันเช่นกัน อันดับที่ 2 คือ ภาพยนตร์ไทย อันดับที่ 3 คือ เฟสติวัล อันดับที่ 4 อุตสาหกรรมดนตรี อันดับที่ 5 สุราก้าวหน้า
ปัญหาและอุปสรรคของการผลักดัน Soft Power
อันดับที่ 1 คือ “นโยบายภาครัฐ” ที่บ้างครั้งก็ดู งงงง ว่าจะไปในทิศทางไหน หรือแค่ทำเป็นกระแสเท่านั้น อันดับที่ 2 คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะนอกจากการให้คำนิยามจะไปกันคนละทิศละทางแล้ว ภาษาที่ใช้สื่อสารก็ทำให้คนหลายกลุ่มเข้าถึงได้ยาก อันดับที่ 3 คือ งบประมาณ ที่จะสนับสนุน อันดับที่ 4 การประชาสัมพันธ์ อันดับที่ 5 การต่อยอด ที่ยังถือว่าน้อยมาก
องค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Soft Power
เป็นที่น่าเสียดายที่ THACCA ไม่ติดท็อปไฟว์ อาจเป็นเพราะเพิ่งโปรโมทมาไม่ถึงปีก็เป็นได้ ทำให้ อันดับที่ 1 ตกเป็นของ “กระทรวงวัฒนธรรม” ได้รับความชื่นชมไปเต็มๆ อันดับที่ 2 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อันดับที่ 3 CEA สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อันดับที่ 4 TCDC ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบประเทศไทย อันดับที่ 5 Content Thailand กองภาพยนตร์ และวีดิทัศน์
แบรนด์ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Soft Power ของประเทศ
อันดับที่ 1 คือ “KING POWER” อันดับที่ 2 สิงห์ อันดับที่ 3 ช้าง อันดับที่ 4 PTT อันดับที่ 5 กระทิงแดง ทั้ง 5 แบรนด์เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศอยู่แล้ว ถือว่าเป็นอีกช่องทางที่จะช่วยประชาสัมพันธ์ Soft Power ของไทยที่ดีอีกช่องทาง
The Attraction หวังว่าผลการสำรวจนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อน Soft Power ของประเทศไทยให้ไปสู่ผลสัมฤทธิ์ตามแนวคิดของรัฐบาลที่ตั้งไว้ ถึงแม้ประชาชนบ้างกลุ่มยังเข้าไม่ถึง แต่ก็เต็มใจช่วยผลักดัน เพราะเชื่อว่าประเทศไทยมีต้นทุนที่ดี สามารถต่อยอดได้มากมาย แต่ก็ยังมีบางแนวคิดที่ต้องการให้รัฐบาลช่วย “ให้ทุนสนับสนุน” หรือ “ช่วยเป็นตัวกลางในการประสานงาน” ไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาว
กมธ.ไล่บี้ข้อมูล สร้างฝายเอลนีโญ งบ 2 พันล้าน ใช้เวลาแค่ 29 วันจบ ตั้งโครงการยันอนุมัติ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4317023
กมธ.ไล่บี้ข้อมูล สร้างฝายเอลนีโญ งบ 2 พันล้าน ใช้เวลาแค่ 29 วันจบ ตั้งโครงการยันอนุมัติ
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2566 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้โพสต์ข้อเขียน ผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง [ หึ่ง งบมท. ฝายเอลนีโญ 2 พันล้าน ลงอบต. ทต. 4 พันแห่ง ชงขอ-อนุมัติ จบใน 29 วัน ] โดยมีเนื้อหาดังนี้
การประชุมกมธ.ครั้งล่าสุด (30 พ.ย.) ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาในวาระพิจารณา โครงการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ (Soil Cement) เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง อันเนื่องมาจากสถานการณ์เอลนีโญ ของอปท. (อบต. ทต.) ที่ขอผ่าน สถ. ซึ่งมีข้อสังเกตที่น่าช่วยกันจับตาอย่างยิ่ง
1. กระบวนการในการเสนอคำขอ พิจารณาคำขอ และยื่นคำขอ เกิดขึ้นในเวลาที่สั้นมาก โครงการเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 66 โดยในวันที่ 8 พฤศจิกายน 66 ทาง สถ.ได้ทำหนังสือไปยัง อบต. และเทศบาลตำบล และให้ส่งคำขอกลับมายัง สถ. ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 66 ซึ่งต่อมาได้ขยายให้ส่งคำขอได้ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 66 (มีเวลาให้ อบต. และ ทต. พิจารณาทำคำขอเพียง 13 วัน) และ สำนักงบประมาณ พิจารณาคำขอส่งไปยัง ครม. ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 66 ที่ผ่านมา
2. งบประมาณเฉลี่ยต่อฝายหนึ่งแห่ง อยู่ที่ไม่เกินราว ๆ 5 แสนบาท ซึ่งไม่จำเป็นต้องผ่าน e-Bidding ในการจัดซื้อจัดจ้าง
3. สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) และ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ชี้แจงว่า ทั้งสองหน่วยงาน ไม่ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาโครงการนี้ แม้จะเป็นหน่วยงานที่ควรต้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างฝายก็ตาม พร้อมทั้งได้ให้ความเห็นในที่ประชุมว่า ฝายทำหน้าที่ยกระดับน้ำ ไม่ได้มีหน้าที่เก็บน้ำในปริมาณมากๆ และการแก้ปัญหาภัยแล้งในแต่ละพื้นที่ ย่อมใช้วิธีการที่แตกต่างกัน ทั้งสองหน่วยงานไม่สามารถให้ความเห็นในที่ประชุมได้ว่า ฝาย 4 พันกว่าแห่งที่ถูกอนุมัติผ่านโครงการนี้ มีความเหมาะสม เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง และจะไม่เป็นการทำลายแหล่งน้ำหรือไม่ เพราะไม่ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาโครงการดังกล่าว
4. โครงการนี้ไม่ได้เป็นโครงการที่ถูกเสนอในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ‘67 ของรัฐบาลชุดก่อน แต่เป็นโครงการที่เพิ่งถูกเสนอขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 66 และอนุมัติจบใน 1 เดือนในรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ปัจจุบัน งบประมาณโครงการนี้ได้รับการอนุมัติโดย ครม. แล้ว สิ่งที่ กมธ.จะพิจารณาต่อ คือ การขอข้อมูลคำขอ และการจัดสรรงบประมาณในโครงการนี้ว่า ไปลงในพื้นที่ใดบ้าง มีการกระจุก/กระจายตัวอย่างไร เพื่อจะได้ตั้งข้อสังเกตส่งให้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณางบประมาณของคณะกรรมาธิการวิสามัญต่อไปครับ
https://www.facebook.com/natthaphong.ruengpanyawut/posts/pfbid07ezkFwKsdEjXc9knS3MBm4wJ6xd9ALmBtp7zm349i9bvbZbfdGf4Aw4qjxKbzz47l
กกร. วอนรัฐตรึงค่าไฟ 3.99 บ. ปรับโครงสร้างพลังงาน ชี้ ขึ้น 4.68 บ. ทุบ 45 กลุ่มอุตฯแน่
https://www.matichon.co.th/economy/news_4316703
กกร. วอนรัฐตรึงค่าไฟ 3.99 บ.-ปรับโครงสร้างพลังงาน ชี้ ขึ้น 4.68 บ. ทุบ 45 กลุ่มอุตฯแน่
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันที่ 6 ธันวาคมนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะหารือเร่งด่วนเกี่ยวกับผลกระทบจากกรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดมกราคม-เมษายน 2567 ที่ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟทุกประเภทอยู่ที่เฉลี่ย 4.68 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นถึง 17% นับเป็นเรื่องที่จะกระทบต่อทุกภาคส่วนต้อนรับปี 2567
“เป็นเรื่องที่ช็อกความรู้สึกของเอกชนรับปีใหม่ สร้างความวิตกกังวล สวนทางกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการลดค่าครองชีพประชาชน ที่ผ่านมา กกร.ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขอให้เร่งรัดจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน หรือ กรอ.ด้านพลังงาน มาดูแลทั้งโครงสร้าง ดังนั้นค่าไฟฟ้างวดใหม่ควรพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้ง ควรจะตรึงที่ 3.99 บาทต่อหน่วยไปก่อน เพื่อรอการปรับโครงสร้างที่หากเร่งดำเนินการก็จะได้ข้อสรุปไม่ช้า” นายเกรียงไกรกล่าว
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ส.อ.ท.มี 45 กลุ่มอุตสาหกรรม เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่ยังเปราะบางสูง การขึ้นค่าไฟฟ้าจะยิ่งซ้ำเติม อาจนำไปสู่การปรับขึ้นราคาสินค้า นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติต่างสอบถามเข้ามาว่าเหตุใดประเทศไทยจึงมีค่าไฟที่สูงอย่างมากเมื่อเทียบกับประเทศที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้มีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนซึ่งจะบั่นทอนต่อขีดความสามารถของประเทศ