สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ไม่รู้ว่าเจ้าของกระทู้ รู้จักคำว่า "เจว็ด" หรือเปล่า?
เวลา มุสลิม พูดถึง "เจว็ด" ... พวกเขาให้ความเคารพยกย่องคนที่นับถือ"เจว็ด" หรือเปล่า?
หรือมีแต่มีความรังเกียจ เหยียดหยาม ดูแคลน สามารถพบทั้งในพันทิพ หรือในสื่อโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ก็มีให้พบเห็นกันอยู่เกลื่อนกลาดๆ
เจว็ด ก็คือ เทวรูป หรือ รูปเคารพ ภาษาอังกฤษเรียกว่า idol ที่พวกนับถือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ทั้งหลายได้สร้างสรรค์ ปั้นแต่ง เพื่อเอาไว้เคารพบูชานั่นเอง
พระพุทธรูป ก็เป็นเจว็ดประเภทหนึ่ง ช่วงระหว่างสงคราม อิสราเอล-ฮามาส คิดว่า คุณคงจะเคยเห็นมุสลิมตามโซเลียลมีเดีย ออกมาเหยียดหยาม พระพุทธรูป ว่าเป็นแค่ปูนซิเมนต์ ไม่ได้มีอำนาจ หรือศักดิ์สิทธิ์อะไร แค่เอาของแข็งมาทุบก็แหลกสลายกลายเป็นเศษ ปูน หิน ดิน ทราย แล้ว สู้อัลเลาะห์ พระเจ้าของเขา ซึ่งไม่มีตัวตน ที่ไม่มีใครสามารถทำลายล้างได้
เมื่อไม่นานมานี้ มีคนถามนักร้องที่เคยชื่อดังคนหนึ่งว่า "“ทำไมอิสลามถึงไม่มีรูปปั้น เหมือนชาวพุทธไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ” ........... แล้วเขาก็ตอบว่า “ในฐานะผู้ศรัทธา ผมจะไม่กราบสิ่งใดที่ต่ำเท่าผม หรือต่ำกว่าผม จะไหว้ทำไมสิ่งไม่มีชีวิต"
หรือ เมื่อมีบริษัทแห่งหนึ่งต้องการสร้าง "“เจ้าแม่กวนอิม” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่บริเวณที่ดินของเอกชนเอง ในจังหวัดชายแดนใต้ ก็มีมุสลิมรวมตัวกันประท้วงคัดค้าน จนโครงการเงียบหายไป
ก่อนหน้านั้นก็มีคัดค้านการสร้าง "พุทธมณฑล" ที่ปัตตานีจนสร้างไม่ได้
พวกตอเลบัน ในอัฟกานิสถานได้ระเบิดทำลายพระพุทธรูปใหญ่ที่บามิยันทิ้ง บรรดาพระพุทธรูปในดินแดนบริเวณเส้นทางสายไหมที่ถูกมุสลิมยึดได้ ถ้าถูกพบเห็นก็ถูกทำลาย หรือถ้าใหญ่โตสุดวิสัยจะทำลายทั้งหมดได้ ก็ทำลายดวงตา ปาก จมูก อวัยวะต่าง ๆ ให้พิกลการ เสียรูปทรง พระพุทธรูปที่เห็นสมบูรณ์ก็คือพวกที่จมหายในกองดิน กองทราย แล้วถูกขุดพบในตอนหลังโดยคนที่ไม่นับถืออิสลามเท่านั้น
บรรดาเทวรูปในอียิปต์โบราณก็ถูกทำลายในลักษณะนี้เช่นกัน ที่หลงเหลือมาให้เห็นในปัจจุบันก็เป็นพวกที่ใหญ่โตเกินไปที่จะทำลายได้หมด ก็จะทำลายไปแค่บางส่วน อย่างเช่น มหาสฟิงซ์ ในอียิปต์ , บุโรพุทโธ ในอินโดนีเซีย ก็เข้าข่ายลักษณะนี้
พระพุทธรูปใหญ่แห่งบามิยัน ก่อนหน้านั้นก็เข้าข่ายแบบนี้ ที่ยังทำลายในสมัยก่อนไม่ได้เพราะเกินกำลังคนสมัยโบราณ แต่สุดท้ายแล้วก็ถูกทำลายในที่สุดเมื่อมุสลิมได้รู้จักอาวุธที่ทำลายที่ทรงอานุภาพมากขึ้น เพราะมันเป็น เจว็ด หรือ Idol
คาบสมุทรอาระเบีย ก่อนการเกิดศาสนาอิสลาม คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น มีการนับถือเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หลากหลายมากมาย แต่ละชนเผ่ามักจะมีเทพเจ้าประจำเผ่าของตนเองและมีเทวรูป หรือ รูปเคารพในลักษณะต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของคนเผ่านั้น ๆ บางครั้งก็มีการนำเทวรูป หรือ เจว็ด จากดินแดนส่วนอื่น ๆ เข้ามาในคาบสมุทรอาระเบีย อยู่ที่ว่าใครจะเห็นว่า เทพ องค์ใดศักดิ์สิทธิ์
เมืองเมกกะ เป็นเมืองที่อยู่ในเส้นทางการค้าของกองคาราวาน เป็นที่รวมชุมนุมของบรรดาชนเผ่าทั้งหลายที่ไปมาหาสู่ เดินทางค้าขายกัน เป็นที่รวมของคนที่นับถือเทพเจ้าหลากหลายได้เข้ามาบรรจบพบปะกัน แล้วในเมืองเมกกะ ก็มีที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็น ศาสนสถานให้คนจากชนเผ่าทั้งหลายนำเทวรุป หรือ เจว็ด ที่ตัวเองนับถือบูชา มาประดิษฐานไว้
บริเวณที่นั้นคือ วิหารกะบะฮ์ สถานศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม ที่มุสลิมที่ไปทำพิธีฮัจย์ , อุมเราะห์ ต้องไปทำกิจกรรม รวมทั้งเดินรอบในบริเวณนี้
ก่อนการก่อกำเนิดศาสนาอิสลาม บริเวณแห่งนี้มี เทวรูป รูปเคารพ เจว็ด idol อยู่มากมายหลายร้อยองค์
นบีมูฮัมหมัด เป็นชาวเมืองเมกกะ เผ่ากุเรซ และตระกูลของนบีมูฮัมหมัด ก็เป็นคนที่ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ด้วย
ชาวเมืองเมกกะในยุคต้นของการก่อตั้งศาสนาอิสลามนั้น มีการนับถือเทพเจ้ามากมายหลายองค์ แต่เทพที่ได้รับความนับถือมากที่สุด ชื่อ ฮุบัล (เทพองค์นี้ไม่ได้ถูกกล่าวถึงซักแห่งเดียวในอัลกรุอ่าน)
โดยเทพองค์นี้ตามประวัตินั้น เป็นเทพที่ถูกอัญเชิญมาจากดินแดนบริเวณประเทศซีเรียในปัจจุบัน เพราะได้รับความเคารพศรัทธานับถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก เป็นเทพสูงสุดในบรรดาเหล่าทวยเทพทั้งหลายในเมืองเมกกะ ถ้าเทียบกับศาสนาฮินดู ก็คล้ายกับพระพรหม อะไรแบบนั้น
เมื่อนบีมูฮัมหมัด ประกาศศาสนาอิสลาม ที่มีหลักการให้นับถือ อัลเลาะห์ เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และมีนบีมูฮัมหมัด ก็เป็น “นบี” หรือเป็นผู้ที่ติดต่อกับอัลเลาะห์ ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
หลักความเชื่อแบบนี้ มันขัดกับหลักความเชื่อของชาวเมืองเมกกะ ที่มีอิสระ เสรี ในการเลือกนับถือเทพเจ้าที่ตนเองนับถือ ใครจะนับถือเทพเจ้าองค์ใดก็ได้ จะสร้างเทวรูป หรือ เจว็ด หรือ idol รูปแบบตามจินตนาการอย่างไรมานับถือก็ได้
มุสลิม จะเรียกพวกที่นับถือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ว่า มุชริก ,มุชริกีน ,ผู้ปฏิเสธศรัทธา หรือพวกบูชาเจว็ด ..... การนับถือองค์อื่นเรียกว่า "ชริก" หรือแปลเป็นไทยว่า "การตั้งภาคี"
หลักการนับถือ "อัลเลาะห์" เป็นเทพเจ้าองค์เดียวของอิสลามนี่แหละ ทำให้ไปอยู่ที่ไหนก็อยู่อย่างสงบสุขกับคนอื่น ๆ ไม่ได้ มีปัญหากับคนอื่นตลอด
ในขณะที่มุสลิมยังมีอ่อนแอ มีจำนวนน้อยอยู่นั้น มุสลิมจะมีความอดทน อดกลั้น ยึดคำสอนในอัลกรุอ่าน ซูเราะฮ์ อัลกาฟิรูน 109:6 "สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน" โดยที่มุสลิมก็จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับพิธี ความเชื่อ ของเทพเจ้าของคนอื่น ๆ เพื่อรักษาหลักการนับถืออัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวเอาไว้
แต่เมื่อจำนวนมุสลิมมีมากขึ้น พวกเขาจะไม่อดทนกับสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่ขัดกับหลักความเชื่อทางศาสนาของเขา
อิสลามไม่สามารถทนได้ ที่ต้องอยู่ร่วมกับพวกที่นับถือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ คนอื่นจะกินเหล้า กินหมู เลี้ยงหมา บูชาเทวรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ สตรีมิสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมชาย ตนเองก็ทนไม่ได้ พวกเขาอยากไปอยู่ในโลกยุคเมื่อ 1,400 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นโลกในยุคอุดมคติของเขา เขาอยากให้มีการปกครองด้วยกฎหมายศาสนาเหมือนในยุคนั้น
เมื่อใดที่มีจำนวนผู้รับอิสลามเพิ่มขึ้น มุสลิมจะเริ่มแผ่อำนาจอิทธิพลของตนเอง ล้ำเส้น เข้าไประราน ดูหมิ่น ดูแคลน เหยียดหยาม ความเชื่อของคนอื่น ๆ
ช่วงแรกนี้ยังเพียงแค่การทำร้ายด้วยปาก เริ่มระรานความเชื่อเทพเจ้าของคนอื่น ๆ แทนที่จะต่างคนต่างอยู่เหมือนสมัยที่ยังอ่อนแออยู่
ในช่วงการต่อตั้งศาสนาอิสลามนั้น มีโองการของอัลกรุอ่าน ซูเราะฮ์ 53 ที่ไปโจมตีเทพเจ้าที่ชาวเมกกะและชาวอาระเบียนับถือ คือ อัลลาต(Allat) ,อัลอุซซา(Al'Uzah) ,และ มะนาต(Manat)
ถ้ายังไม่เข้าใจ ให้ลองทบทวนนึกถึงคำพูดของนักร้องไทย คนหนึ่ง ที่ได้กล่าวถึงพระพุทธตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
จุดนี้เป็นมูลเหตุ นำไปสู่การทำร้ายกัน ซึ่งมุสลิมมองว่า การโต้ตอบ ล้างแค้น ที่ฝ่ายตรงข้ามกระทำกับตนเองนั้น เป็นการกดขี่ ข่มเหง รังแก ตนเอง และเป็นมูลเหตุสร้างความชอบธรรมให้นำไปสู่สงครามศาสนา หรือ ญิฮาด ต่อไปในอนาคต โดยอ้างว่า ตนเองนั้น ถูกกดขี่ ข่มเหง รังแก
ลักกษณะอย่างนี้ เกิดในทุกที่ ๆ มุสลิมเข้าไปอยู่ เพราะเมื่อมีจำนวนมุสลิมมากขึ้น มุสลิมจะทนไม่ได้ที่มีผู้ที่ไม่นับถืออัลเลาะห์ อยู่ร่วมด้วยกับตนเอง พวกมุสลิมอพยพที่เข้าไปสร้างปัญหาในยุโรปแทบทุกประเทศในขณะนี้ ก็มีเป็นปัญหาลักษณะอย่างนี้ คือจะเอากฎของพระเจ้าของตนเองไปบังคับให้คนอื่นปฏิบัติตามด้วย ถ้าคนอื่นไม่ปฏิบัติตามก็เป็นความผิดของคนอื่น ๆ
นี่คือ มูลเหตุที่มุสลิมไปอยู่กับใครก็ไม่ได้ ไม่ว่าคนอื่น ๆ นั้นจะนับถือศาสนาใดก็ตาม
เพราะการนับถือเทพเจ้าองค์เดียว และต้องการให้เทพเจ้าของตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ที่คนอื่น ๆ ต้องหมุนตาม ต้องปฏิบัติตามความเชื่อของตนเอง ต้องการนำกฎหมายอิสลามเข้าไปบังคับใช้ในชุมชนนั้น ๆ ตามหลักการนับถืออัลเลาะห์เป็นเทพเจ้าองค์เดียว
พวกผู้ก่อการร้ายมุสลิมที่ก่อการร้ายในดินแดนต่าง ๆ มีวัตถุประสงค์เหมือน ๆ กัน ก็เพื่อต้องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อที่จะได้นำกฎหมายอิสลามาปกครองในดินแดนนั้น ๆ นั่นเอง ให้ดินแดนแห่งนั้นเป็น “ดารุสซาลาม” หมายถึงนครแห่งสันติสุข
ทั้ง ๆ ที่พวกนี้ก็เดือดร้อน จากการสู้รบ จนต้องอพยพหลบหนีมาจากตะวันออกกลาง อัฟริกา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นดินแดนปกครองด้วยกฎหมายอิสลามอยู่แล้ว
ภาคใต้ฟิลิปปินส์ ขณะนี้ก็มีการลงประชามติ เป็นเขตปกครองตนเองด้วยกฎหมายชาริอะห์ ภายใต้การนำและการปกครองของกลุ่มก่อร้ายที่ใหญ่ที่สุดและทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนี้ คือ กลุ่ม MILF
แต่ว่าภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ก็ยังไม่สงบสุขสันติ แต่อย่างใดทั้ง ๆ ที่ได้ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามแล้วตามต้องการ เพราะยังมีกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มอื่น ๆ อีกนับ 10 กลุ่ม ที่ต้องการแยกดินแดนให้เป็นเอกราช ไม่ใช่เป็นเขตปกครองตนเองแต่ยังอยู่ภายใต้ฟิลิปปินส์ดังเช่นทุกวันนี้
กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ก็ยังมีการก่อการร้ายอยู่เสมอ ภายใต้ดินแดนที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม ที่ปกครองด้วยกลุ่มก่อการร้าย MILF ยังไม่เห็นทีท่าว่า การก่อการร้ายในภาคใต้ของฟิลิปปินส์จะหมดไปแต่อย่างใด เหมือนดั่งความเชื่อที่ว่าเมื่อได้ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามแล้ว การก่อการร้ายจะหมดไป ปัญหาหนักกว่าภาคใต้ของประเทศไทยอีก
สำหรับภาคใต้ของไทยก็เหมือนกัน มีความต้องการแบ่งแยกดินไปปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม เป็น “ปาตานีดารุสซาลาม”
ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอของกลุ่มก่อการร้าย BRN ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายใหญ่ที่สุดที่เคลื่อนไหวในยุคปัจจุบัน ได้เสนอต่อรัฐบาลไทยในการเจรจาครั้งล่าสุด ที่ประเทศมาเลเซีย
และข้อเสนอนี้ก็มีการรับลูกจากพรรคการเมืองที่รับการเลือกตั้งคะแนนเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ต้องการให้มีการลงประชามติดินแดนแถบนี้เป็นเขตปกครองตนเอง มีการจัดสัมมนาไปแล้วด้วยตั้งแต่เลือกตั้งเสร็จสิ้นใหม่ ๆ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับคำถามของเจ้าของกระทู้ที่ถามเรื่องมีข้อความในคัมภีร์ข้อไหน ที่มีคำสอนเรื่องการตัดศีรษะ ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าของเขาได้ นั้นได้แก่
อัลกรุอ่าน ซูเราะห์ อัล อัมฟาล (8:12) จงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าประทานโองการแก่มลาอิกะฮฺ ว่า แท้จริงข้านั้นร่วมอยู่กับพวกเจ้าด้วย ดังนั้นพวกเจ้าจงทำให้บรรดาผู้ศรัทธามั่นคงเถิด ข้าจะโยนความกลัวเข้าไปในหัวใจของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา แล้วพวกเจ้าจงฟันลงบนก้านคอ แล้วจงฟันทุก ๆ ส่วนปลายของนิ้วมือจากพวกเขา
อัลกรุอ่าน ซูเราะห์ มุฮัมมัด (47:4) และเมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ก็จงฟันที่คอ (จงฆ่าเสีย) จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้ว ก็จงจับพวกเขาเป็นเชลย หลังจากนั้นจะปล่อยเป็นไทหรือจะเรียกเอาค่าไถ่ก็ได้ จนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการวางอาวุธ เช่นนั้นแหละ และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แน่นอน พระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขา แต่ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคน ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลลอฮฺ พระองค์จะไม่ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นเด็ดขาด
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เวลา มุสลิม พูดถึง "เจว็ด" ... พวกเขาให้ความเคารพยกย่องคนที่นับถือ"เจว็ด" หรือเปล่า?
หรือมีแต่มีความรังเกียจ เหยียดหยาม ดูแคลน สามารถพบทั้งในพันทิพ หรือในสื่อโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ก็มีให้พบเห็นกันอยู่เกลื่อนกลาดๆ
เจว็ด ก็คือ เทวรูป หรือ รูปเคารพ ภาษาอังกฤษเรียกว่า idol ที่พวกนับถือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ทั้งหลายได้สร้างสรรค์ ปั้นแต่ง เพื่อเอาไว้เคารพบูชานั่นเอง
พระพุทธรูป ก็เป็นเจว็ดประเภทหนึ่ง ช่วงระหว่างสงคราม อิสราเอล-ฮามาส คิดว่า คุณคงจะเคยเห็นมุสลิมตามโซเลียลมีเดีย ออกมาเหยียดหยาม พระพุทธรูป ว่าเป็นแค่ปูนซิเมนต์ ไม่ได้มีอำนาจ หรือศักดิ์สิทธิ์อะไร แค่เอาของแข็งมาทุบก็แหลกสลายกลายเป็นเศษ ปูน หิน ดิน ทราย แล้ว สู้อัลเลาะห์ พระเจ้าของเขา ซึ่งไม่มีตัวตน ที่ไม่มีใครสามารถทำลายล้างได้
เมื่อไม่นานมานี้ มีคนถามนักร้องที่เคยชื่อดังคนหนึ่งว่า "“ทำไมอิสลามถึงไม่มีรูปปั้น เหมือนชาวพุทธไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ” ........... แล้วเขาก็ตอบว่า “ในฐานะผู้ศรัทธา ผมจะไม่กราบสิ่งใดที่ต่ำเท่าผม หรือต่ำกว่าผม จะไหว้ทำไมสิ่งไม่มีชีวิต"
หรือ เมื่อมีบริษัทแห่งหนึ่งต้องการสร้าง "“เจ้าแม่กวนอิม” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่บริเวณที่ดินของเอกชนเอง ในจังหวัดชายแดนใต้ ก็มีมุสลิมรวมตัวกันประท้วงคัดค้าน จนโครงการเงียบหายไป
ก่อนหน้านั้นก็มีคัดค้านการสร้าง "พุทธมณฑล" ที่ปัตตานีจนสร้างไม่ได้
พวกตอเลบัน ในอัฟกานิสถานได้ระเบิดทำลายพระพุทธรูปใหญ่ที่บามิยันทิ้ง บรรดาพระพุทธรูปในดินแดนบริเวณเส้นทางสายไหมที่ถูกมุสลิมยึดได้ ถ้าถูกพบเห็นก็ถูกทำลาย หรือถ้าใหญ่โตสุดวิสัยจะทำลายทั้งหมดได้ ก็ทำลายดวงตา ปาก จมูก อวัยวะต่าง ๆ ให้พิกลการ เสียรูปทรง พระพุทธรูปที่เห็นสมบูรณ์ก็คือพวกที่จมหายในกองดิน กองทราย แล้วถูกขุดพบในตอนหลังโดยคนที่ไม่นับถืออิสลามเท่านั้น
บรรดาเทวรูปในอียิปต์โบราณก็ถูกทำลายในลักษณะนี้เช่นกัน ที่หลงเหลือมาให้เห็นในปัจจุบันก็เป็นพวกที่ใหญ่โตเกินไปที่จะทำลายได้หมด ก็จะทำลายไปแค่บางส่วน อย่างเช่น มหาสฟิงซ์ ในอียิปต์ , บุโรพุทโธ ในอินโดนีเซีย ก็เข้าข่ายลักษณะนี้
พระพุทธรูปใหญ่แห่งบามิยัน ก่อนหน้านั้นก็เข้าข่ายแบบนี้ ที่ยังทำลายในสมัยก่อนไม่ได้เพราะเกินกำลังคนสมัยโบราณ แต่สุดท้ายแล้วก็ถูกทำลายในที่สุดเมื่อมุสลิมได้รู้จักอาวุธที่ทำลายที่ทรงอานุภาพมากขึ้น เพราะมันเป็น เจว็ด หรือ Idol
คาบสมุทรอาระเบีย ก่อนการเกิดศาสนาอิสลาม คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น มีการนับถือเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หลากหลายมากมาย แต่ละชนเผ่ามักจะมีเทพเจ้าประจำเผ่าของตนเองและมีเทวรูป หรือ รูปเคารพในลักษณะต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของคนเผ่านั้น ๆ บางครั้งก็มีการนำเทวรูป หรือ เจว็ด จากดินแดนส่วนอื่น ๆ เข้ามาในคาบสมุทรอาระเบีย อยู่ที่ว่าใครจะเห็นว่า เทพ องค์ใดศักดิ์สิทธิ์
เมืองเมกกะ เป็นเมืองที่อยู่ในเส้นทางการค้าของกองคาราวาน เป็นที่รวมชุมนุมของบรรดาชนเผ่าทั้งหลายที่ไปมาหาสู่ เดินทางค้าขายกัน เป็นที่รวมของคนที่นับถือเทพเจ้าหลากหลายได้เข้ามาบรรจบพบปะกัน แล้วในเมืองเมกกะ ก็มีที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็น ศาสนสถานให้คนจากชนเผ่าทั้งหลายนำเทวรุป หรือ เจว็ด ที่ตัวเองนับถือบูชา มาประดิษฐานไว้
บริเวณที่นั้นคือ วิหารกะบะฮ์ สถานศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม ที่มุสลิมที่ไปทำพิธีฮัจย์ , อุมเราะห์ ต้องไปทำกิจกรรม รวมทั้งเดินรอบในบริเวณนี้
ก่อนการก่อกำเนิดศาสนาอิสลาม บริเวณแห่งนี้มี เทวรูป รูปเคารพ เจว็ด idol อยู่มากมายหลายร้อยองค์
นบีมูฮัมหมัด เป็นชาวเมืองเมกกะ เผ่ากุเรซ และตระกูลของนบีมูฮัมหมัด ก็เป็นคนที่ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ด้วย
ชาวเมืองเมกกะในยุคต้นของการก่อตั้งศาสนาอิสลามนั้น มีการนับถือเทพเจ้ามากมายหลายองค์ แต่เทพที่ได้รับความนับถือมากที่สุด ชื่อ ฮุบัล (เทพองค์นี้ไม่ได้ถูกกล่าวถึงซักแห่งเดียวในอัลกรุอ่าน)
โดยเทพองค์นี้ตามประวัตินั้น เป็นเทพที่ถูกอัญเชิญมาจากดินแดนบริเวณประเทศซีเรียในปัจจุบัน เพราะได้รับความเคารพศรัทธานับถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก เป็นเทพสูงสุดในบรรดาเหล่าทวยเทพทั้งหลายในเมืองเมกกะ ถ้าเทียบกับศาสนาฮินดู ก็คล้ายกับพระพรหม อะไรแบบนั้น
เมื่อนบีมูฮัมหมัด ประกาศศาสนาอิสลาม ที่มีหลักการให้นับถือ อัลเลาะห์ เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และมีนบีมูฮัมหมัด ก็เป็น “นบี” หรือเป็นผู้ที่ติดต่อกับอัลเลาะห์ ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
หลักความเชื่อแบบนี้ มันขัดกับหลักความเชื่อของชาวเมืองเมกกะ ที่มีอิสระ เสรี ในการเลือกนับถือเทพเจ้าที่ตนเองนับถือ ใครจะนับถือเทพเจ้าองค์ใดก็ได้ จะสร้างเทวรูป หรือ เจว็ด หรือ idol รูปแบบตามจินตนาการอย่างไรมานับถือก็ได้
มุสลิม จะเรียกพวกที่นับถือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ว่า มุชริก ,มุชริกีน ,ผู้ปฏิเสธศรัทธา หรือพวกบูชาเจว็ด ..... การนับถือองค์อื่นเรียกว่า "ชริก" หรือแปลเป็นไทยว่า "การตั้งภาคี"
หลักการนับถือ "อัลเลาะห์" เป็นเทพเจ้าองค์เดียวของอิสลามนี่แหละ ทำให้ไปอยู่ที่ไหนก็อยู่อย่างสงบสุขกับคนอื่น ๆ ไม่ได้ มีปัญหากับคนอื่นตลอด
ในขณะที่มุสลิมยังมีอ่อนแอ มีจำนวนน้อยอยู่นั้น มุสลิมจะมีความอดทน อดกลั้น ยึดคำสอนในอัลกรุอ่าน ซูเราะฮ์ อัลกาฟิรูน 109:6 "สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน" โดยที่มุสลิมก็จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับพิธี ความเชื่อ ของเทพเจ้าของคนอื่น ๆ เพื่อรักษาหลักการนับถืออัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวเอาไว้
แต่เมื่อจำนวนมุสลิมมีมากขึ้น พวกเขาจะไม่อดทนกับสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่ขัดกับหลักความเชื่อทางศาสนาของเขา
อิสลามไม่สามารถทนได้ ที่ต้องอยู่ร่วมกับพวกที่นับถือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ คนอื่นจะกินเหล้า กินหมู เลี้ยงหมา บูชาเทวรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ สตรีมิสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมชาย ตนเองก็ทนไม่ได้ พวกเขาอยากไปอยู่ในโลกยุคเมื่อ 1,400 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นโลกในยุคอุดมคติของเขา เขาอยากให้มีการปกครองด้วยกฎหมายศาสนาเหมือนในยุคนั้น
เมื่อใดที่มีจำนวนผู้รับอิสลามเพิ่มขึ้น มุสลิมจะเริ่มแผ่อำนาจอิทธิพลของตนเอง ล้ำเส้น เข้าไประราน ดูหมิ่น ดูแคลน เหยียดหยาม ความเชื่อของคนอื่น ๆ
ช่วงแรกนี้ยังเพียงแค่การทำร้ายด้วยปาก เริ่มระรานความเชื่อเทพเจ้าของคนอื่น ๆ แทนที่จะต่างคนต่างอยู่เหมือนสมัยที่ยังอ่อนแออยู่
ในช่วงการต่อตั้งศาสนาอิสลามนั้น มีโองการของอัลกรุอ่าน ซูเราะฮ์ 53 ที่ไปโจมตีเทพเจ้าที่ชาวเมกกะและชาวอาระเบียนับถือ คือ อัลลาต(Allat) ,อัลอุซซา(Al'Uzah) ,และ มะนาต(Manat)
ถ้ายังไม่เข้าใจ ให้ลองทบทวนนึกถึงคำพูดของนักร้องไทย คนหนึ่ง ที่ได้กล่าวถึงพระพุทธตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
จุดนี้เป็นมูลเหตุ นำไปสู่การทำร้ายกัน ซึ่งมุสลิมมองว่า การโต้ตอบ ล้างแค้น ที่ฝ่ายตรงข้ามกระทำกับตนเองนั้น เป็นการกดขี่ ข่มเหง รังแก ตนเอง และเป็นมูลเหตุสร้างความชอบธรรมให้นำไปสู่สงครามศาสนา หรือ ญิฮาด ต่อไปในอนาคต โดยอ้างว่า ตนเองนั้น ถูกกดขี่ ข่มเหง รังแก
ลักกษณะอย่างนี้ เกิดในทุกที่ ๆ มุสลิมเข้าไปอยู่ เพราะเมื่อมีจำนวนมุสลิมมากขึ้น มุสลิมจะทนไม่ได้ที่มีผู้ที่ไม่นับถืออัลเลาะห์ อยู่ร่วมด้วยกับตนเอง พวกมุสลิมอพยพที่เข้าไปสร้างปัญหาในยุโรปแทบทุกประเทศในขณะนี้ ก็มีเป็นปัญหาลักษณะอย่างนี้ คือจะเอากฎของพระเจ้าของตนเองไปบังคับให้คนอื่นปฏิบัติตามด้วย ถ้าคนอื่นไม่ปฏิบัติตามก็เป็นความผิดของคนอื่น ๆ
นี่คือ มูลเหตุที่มุสลิมไปอยู่กับใครก็ไม่ได้ ไม่ว่าคนอื่น ๆ นั้นจะนับถือศาสนาใดก็ตาม
เพราะการนับถือเทพเจ้าองค์เดียว และต้องการให้เทพเจ้าของตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ที่คนอื่น ๆ ต้องหมุนตาม ต้องปฏิบัติตามความเชื่อของตนเอง ต้องการนำกฎหมายอิสลามเข้าไปบังคับใช้ในชุมชนนั้น ๆ ตามหลักการนับถืออัลเลาะห์เป็นเทพเจ้าองค์เดียว
พวกผู้ก่อการร้ายมุสลิมที่ก่อการร้ายในดินแดนต่าง ๆ มีวัตถุประสงค์เหมือน ๆ กัน ก็เพื่อต้องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อที่จะได้นำกฎหมายอิสลามาปกครองในดินแดนนั้น ๆ นั่นเอง ให้ดินแดนแห่งนั้นเป็น “ดารุสซาลาม” หมายถึงนครแห่งสันติสุข
ทั้ง ๆ ที่พวกนี้ก็เดือดร้อน จากการสู้รบ จนต้องอพยพหลบหนีมาจากตะวันออกกลาง อัฟริกา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นดินแดนปกครองด้วยกฎหมายอิสลามอยู่แล้ว
ภาคใต้ฟิลิปปินส์ ขณะนี้ก็มีการลงประชามติ เป็นเขตปกครองตนเองด้วยกฎหมายชาริอะห์ ภายใต้การนำและการปกครองของกลุ่มก่อร้ายที่ใหญ่ที่สุดและทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนี้ คือ กลุ่ม MILF
แต่ว่าภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ก็ยังไม่สงบสุขสันติ แต่อย่างใดทั้ง ๆ ที่ได้ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามแล้วตามต้องการ เพราะยังมีกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มอื่น ๆ อีกนับ 10 กลุ่ม ที่ต้องการแยกดินแดนให้เป็นเอกราช ไม่ใช่เป็นเขตปกครองตนเองแต่ยังอยู่ภายใต้ฟิลิปปินส์ดังเช่นทุกวันนี้
กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ก็ยังมีการก่อการร้ายอยู่เสมอ ภายใต้ดินแดนที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม ที่ปกครองด้วยกลุ่มก่อการร้าย MILF ยังไม่เห็นทีท่าว่า การก่อการร้ายในภาคใต้ของฟิลิปปินส์จะหมดไปแต่อย่างใด เหมือนดั่งความเชื่อที่ว่าเมื่อได้ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามแล้ว การก่อการร้ายจะหมดไป ปัญหาหนักกว่าภาคใต้ของประเทศไทยอีก
สำหรับภาคใต้ของไทยก็เหมือนกัน มีความต้องการแบ่งแยกดินไปปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม เป็น “ปาตานีดารุสซาลาม”
ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอของกลุ่มก่อการร้าย BRN ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายใหญ่ที่สุดที่เคลื่อนไหวในยุคปัจจุบัน ได้เสนอต่อรัฐบาลไทยในการเจรจาครั้งล่าสุด ที่ประเทศมาเลเซีย
และข้อเสนอนี้ก็มีการรับลูกจากพรรคการเมืองที่รับการเลือกตั้งคะแนนเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ต้องการให้มีการลงประชามติดินแดนแถบนี้เป็นเขตปกครองตนเอง มีการจัดสัมมนาไปแล้วด้วยตั้งแต่เลือกตั้งเสร็จสิ้นใหม่ ๆ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับคำถามของเจ้าของกระทู้ที่ถามเรื่องมีข้อความในคัมภีร์ข้อไหน ที่มีคำสอนเรื่องการตัดศีรษะ ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าของเขาได้ นั้นได้แก่
อัลกรุอ่าน ซูเราะห์ อัล อัมฟาล (8:12) จงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าประทานโองการแก่มลาอิกะฮฺ ว่า แท้จริงข้านั้นร่วมอยู่กับพวกเจ้าด้วย ดังนั้นพวกเจ้าจงทำให้บรรดาผู้ศรัทธามั่นคงเถิด ข้าจะโยนความกลัวเข้าไปในหัวใจของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา แล้วพวกเจ้าจงฟันลงบนก้านคอ แล้วจงฟันทุก ๆ ส่วนปลายของนิ้วมือจากพวกเขา
อัลกรุอ่าน ซูเราะห์ มุฮัมมัด (47:4) และเมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ก็จงฟันที่คอ (จงฆ่าเสีย) จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้ว ก็จงจับพวกเขาเป็นเชลย หลังจากนั้นจะปล่อยเป็นไทหรือจะเรียกเอาค่าไถ่ก็ได้ จนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการวางอาวุธ เช่นนั้นแหละ และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แน่นอน พระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขา แต่ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคน ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลลอฮฺ พระองค์จะไม่ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นเด็ดขาด
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น
ทำไมกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ส่วนใหญ่จึงเป็น **ผู้ที่อ้างตัวว่า เป็น ‘มุสลิม‘
- ภาคใต้ของฟิลิปปินส์
-ภาคใต้ของไทย
-แคว้นแคชเมียร์ อินเดีย-ปากีสถาน
-มุสลิมอุยกูร์ ในจีน
-ในรัสเซีย
-กลุ่มก่อการร้ายหลายกลุ่มในตะวันออกกลาง
-โรฮิญญา พม่า
-เลบานอน ความขัดแย้งกลุ่มศาสนา
-ในอัฟกานิสถาน
อยากทราบมีคัมภีร์ข้อไหน ที่ทำให้เกิดการนำมาใช้ที่ผิด จนทำให้มีคนคลั่งศาสนา ขนาดนี้ครับ
เห็นบางคนบอกว่า สามารถตัดศีรษะ ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าของเขาได้ โดยไม่บาปด้วยเหรอครับ