‘ธำรงศักดิ์’ เปิดผลโพล ม.ปลาย อยากให้ใครเป็นนายกฯ ทำไม ‘พิธา’ ยังนำโด่ง 76% ?
https://www.matichon.co.th/politics/news_4314375
‘ธำรงศักดิ์’ เปิดผลโพล ม.ปลาย อยากให้ใครเป็นนายกฯ ทำไม ‘พิธา’ ยังนำโด่ง 76% ?
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม รองศาสตราจารย์ ดร.
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต เปิดเผยผลงานวิจัยส่วนบุคคล โดยเก็บข้อมูลแบบสอบถามจากคน Gen Z (ช่วงอายุ 15-19 ปี) ที่กำลังศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 504 คน เกี่ยวกับทัศนคติทางการศึกษา สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เก็บแบบสอบถามระหว่าง 13 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม 2566
ข้อคำถามว่า “
ในวันนี้ ท่านปรารถนาให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีไทยมากที่สุด” โดยใช้รายชื่อที่ระบุนี้คัดสรรจากที่เสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยพรรคการเมืองในคราวเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566
ผลการวิจัยสรุปเบื้องต้น ดังนี้
1. คน Gen Z มัธยมปลาย ปรารถนาให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี มากที่สุดร้อยละ 76 (383 คน) นาย
เศรษฐา ทวีสิน ร้อยละ 3.0 (15 คน) นางสาว
แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 3.0 (15 คน) พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 1.4 (7 คน) นาย
อนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 1.0 (5 คน) และพลเอก
ประวิตร วงษ์สุวรรณ ร้อยละ 0.4 (2 คน) ส่วนที่ปรารถนาให้คนอื่นๆ ที่ไม่ปรากฏในรายชื่อแบบสอบถามนี้เป็นนายกรัฐมนตรีมีร้อยละ 2.4 (12 คน) ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 12.9 (65 คน)
2. สอดรับไปในทิศทางเดียวกันกับคน Gen Z ระดับมหาวิทยาลัย ปรารถนาให้ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี มากที่สุดร้อยละ 83.4 นางสาว
แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 8.0 นาย
เศรษฐา ทวีสิน ร้อยละ 2
3. ข้อสังเกต คน Gen Z มัธยมปลายที่ตอบแบบสอบถามนี้ราวร้อยละ 75 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
เมื่อ 14 พฤษภาคม 2566 คือยังไม่มีประสบการณ์การเลือกตั้ง แต่จากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่าคน Gen Z ที่นิยมนายพิธามีแนวโน้มสูงที่จะเผยแพร่สนับสนุนให้คนในครอบครัวเลือก ส.ส. และบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
4. คำอธิบายของคน Gen Z มัธยมปลาย ผู้ปรารถนาให้นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคำอธิบายแบบเดียวกันกับคน Gen Z ระดับมหาวิทยาลัย เช่น มีกิมมิค, มีเสน่ห์, มีวาจาไพเราะ, มีรอยยิ้มที่อ่อนหวานตลอดเวลา, วิสัยทัศน์ก้าวไกล, เก่ง, ฉลาด, ทันสมัย, มีความสามารถ, มีความเป็นผู้นำ, ทัศนคติดี, สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีมากๆๆๆ, มีคุณสมบัติการเป็นผู้นำที่เหมาะกับยุคสมัยของสังคมไทยมากที่สุด, มีความคิดที่เข้าใจคนรุ่นใหม่, มีเเนวคิดสมัยใหม่เป็นผู้สื่อสารทางคำพูดได้ยอดเยี่ยม, ประชาชนเลือกเข้ามา, มาจากคะเเนนเสียงของประชาชนอย่างถูกต้อง, มีวุฒิภาวะ, นโยบายของพรรคก้าวไกลไม่ทำขึ้นเพียงแค่โฆษณาหาเสียงอย่างแน่นอน, เข้าใจปัญหาในยุคปัจจุบัน, พร้อมอธิบายวิธีแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้เข้าใจเชื่อมั่นว่าจะไม่ผิดคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชน, ซื่อสัตย์ต่อประชาชน, ซื่อตรงต่อประชาชาชน, มีความจริงใจ, เข้าถึงได้ง่าย, เข้าใจคนสมัยใหม่, มีวิธีจัดการปัญหาแบบใหม่ๆ และมุ่งแก้ปัญหาได้ตรงจุด, มีวิสัยทัศน์ชัดเจน, เป็นคนรุ่นใหม่, อยากเห็นความเจริญของประเทศเชื่อมั่นว่ายึดมั่นในประชาธิปไตย และต่อต้านการรัฐประหาร, ไม่ทิ้งอุดมการณ์, เป็นผู้ที่อยู่ฝั่งประชาชนอยู่ฝั่งประชาธิปไตยมาโดยตลอด, มีความโปร่งใส, มีความน่าเชื่อถือเชื่อมั่นว่าเป็นผู้นำพรรคก้าวไกลที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้ไม่เหมือนเดิม, ให้ประเทศพัฒนาขึ้น, บ้านเมืองจะได้ไม่ล้าหลัง ไม่จมอยู่กับชีวิตแบบเดิมๆ, เห็นความพยายามจะแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างแท้จริง
เครือข่ายอีสาน จัดใหญ่ เปิดเวทีรับ ครม.สัญจร จี้ “หยุดทุนแย่งชิงทรัพยากรชุมชน”
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7993229
เครือข่ายอีสาน จัดใหญ่ เปิดเวทีรับ ครม.สัญจร เรียกร้องยุติโครงการผันน้ำโขงเลยชีมูน-เหมืองแร่โปแตช จี้ “หยุดทุนแย่งชิงทรัพยากรชุมชน”
วันที่ 4 ธ.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนปกป้องลุ่มน้ำโขงอีสาน จัดกิจกรรม “
มหกรรมประชาชนปกป้องลุ่มน้ำโขงอีสาน” ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีเครือข่ายชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการจัดการน้ำของรัฐ เข้าร่วมกว่า 100 คน
ซึ่งการจัดกิจกรรมครั้งนี้ มีเวทีเสวนา “
บทบาทของประชาชนในการจัดการทรัพยากรน้ำ” โดยวิทยากรได้วิพากษ์นโยบายการจัดการน้ำของทุกรัฐบาลที่ละเมิดสิทธิของชาวบ้าน และส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน ต่อทรัพยากร และข้อเสนอในการแก้ไขนโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ
ขณะที่ตัวแทนชาวบ้าน อ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้หยุดรัฐและทุนเขมือบทรัพยากรประเทศ โดยมีข้อเสนอต่อ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จะเดินทางลงพื้นที่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (จังหวัดบึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และอุดรธานี) ระหว่างวันที่ 3-5 ธันวาคม 2566 ดังนี้
1. ให้ยุติการเดินหน้าโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล
2. ให้ยุติการเดินหน้าโครงการเหมืองแร่โพแตชอุดรธานี และเหมืองแร่ในภาคอีสาน
3. ให้เร่งแก้ไขปัญหาเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร แม่น้ำชี จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร, แก้ไขปัญหาเขื่อน ราษีไศล เขื่อนหัวนา แม่น้ำมูน, แก้ไขปัญหาป่าไม้ที่ดิน, แก้ไขปัญหากรณีโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล ภาคอีสาน เป็นต้น
4. ให้รัฐสนับสนุนรูปแบบการจัดการน้ำระดับครัวเรือนที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เช่น รูปแบบแผงโซลาร์เซลในการดึงน้ำมาใช้ในการเกษตร เป็นต้น
นพ.
นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า สิทธิชุมชน เป็นสิ่งที่ทำให้คนหนุ่มสาวมีชีวิตต่อไปได้ การฮั้วกันของอำนาจเก่ากับรัฐบาลใหม่ครอบงำและทำลายอำนาจประชาชน จะต้องมีการกระจายอำนาจและโอกาสในการดูแลจัดการให้กับประชาชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
ในส่วนของการจัดการน้ำที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจนจะต้องมีการแก้ไข กฎหมาย นโยบาย รวมไปถึงโครงสร้าง สิทธิชุมชนในการจัดการจัดการน้ำจะเกิดขึ้นได้ด้วย
1. การกระจายโอกาส และอำนาจสู่ชุมชนในทุกมิติ
2. ขยายความร่วมมือของชาวบ้านเครือข่ายแต่ละชุมชน
3. การกระจายความรู้จากชุมชนเพื่อสื่อสารกับสาธารณะเพื่อยกระดับชุมชน ยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน
นาย
จำนงค์ จิตนิรัตน์ ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือพีมูฟกล่าวว่า ภัยพิบัติซ้ำซาก ความจนซ้ำซ้อน ชาวบ้านที่จังหวัดอุบลราชนีที่ได้รับผลกระทบทับซ้อนกันจากประเด็นปัญหาอุทกภัยในทุกปีส่งผลให้เกิดปัญหาความยากจนซ้ำร้ายที่ดินทำกินยังถูกประกาศให้เป็นที่สาธารณะ ชาวบ้านในชุมชนต้องลุกขึ้นมาช่วยเหลือกันเอง แม้ขอความช่วยเหลือจากรัฐไปก็ไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ สะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐล้มเหลวในการจัดการน้ำและดูแลประชาชนอย่างมาก
นาย
หาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล่าวว่า บทเรียนในการจัดการน้ำที่ผ่านมาของโครงการโขง ชี มูน ภาคอีสาน พื้นที่ชาวบ้านลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำมูน ต่างได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำ ทำให้เกิดการเรียกร้องสิทธิเพื่อให้รัฐแก้ไขปัญหาถึงปัจจุบันยังไม่เสร็จ
ด้าน นาย
นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า บทเรียนของการจัดการน้ำที่ผ่านมาเป็นเพราะแนวคิดการพัฒนาแบบเดิม ๆ ของรัฐจะต้องรื้อความคิดแบบเก่าและหนุนเสริมรูปแบบการจัดการน้ำขนาดเล็กที่ชุมชนสามารถเข้าถึงและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนจะต้องเชื่อมร้อยเครือข่ายประชาชนเพื่อยกระดับสู่การแก้ปัญหาในเชิงนโยบายต่อไป
ดร.
มาลี สิทธิเกรียงไกร อาจารย์ประจำศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาคประชาชนขาดกระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ถือว่าเป็นบทเรียนที่เราได้มาร่วมสรุปด้วยกันเพื่อออกแบบในการศึกษาและจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมของภาคประชาชนแบบคู่ขนาน
โดยต้องผสานความรู้ระหว่างนักวิชาการกับชาวบ้านในการยกระดับความรู้เพื่อสู้กับอำนาจที่ครอบงำสังคม ตลอดจนการสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูลและส่งเสริมให้ชาวบ้านตระหนักถึงการหวงแหนทรัพยากร การปกป้องชุมชนและการตรวจสอบนโยบายของรัฐ
ด้าน ผู้ใหญ่
ชุมพร เรืองศิริ เครือข่ายอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำห้วยเสนง จังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า ได้สรุปบทเรียนถึงกลไกการจัดการน้ำของภาครัฐ ภายใต้ พ.ร.บ.น้ำ ปี 2561 ที่ไม่เอื้อให้ชาวบ้านเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการน้ำ ที่มีข้อจำกัดในเรื่องของสัดส่วนคณะกรรมการลุ่มน้ำที่ให้อำนาจหน้าที่กับหน่วยงานภาครัฐเข้าไปมีบทบาทมากกว่าภาคประชาชน
โดยมีข้อเสนอต่อการแก้ปัญหาการจัดการน้ำ ให้ยึดรูปแบบการจัดการน้ำตั้งแต่ระดับชุมชน ตำบล ขึ้นไปถึงระดับนโยบาย เพื่อก่อให้เกิดการจัดการทรัพยากรน้ำแบบยั่งยืน
หลังจากนั้นเครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภาคอีสาน ได้เดินทางไปยังสะพานข้ามลำน้ำพอง เพื่อร่วมกันปล่อยป้ายที่มีข้อความว่า “
หยุดทุนแย่งชิงทรัพยากรชุมชน” “
หยุดรัฐรวมศูนย์อำนาจเขมือบประเทศ” และ “ไ
ม่เอาผันน้ำโขง เลย ชี มูน”
วันเดียวกันชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ประมาณกว่า 100 คน รวมตัวกันบริเวณหน้าสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ที่ตำบลโนนสูง อำเภอประจักศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี เพื่อแสดงออกถึงจุดยืนในการคัดค้านเหมืองแร่โปแตชที่ จังหวัดอุดรธานี ต่อ รมว.อุตสาหกรรม ที่ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการเหมืองแร่โปแตช
ทั้งนี้ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมองว่าเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนให้ผู้ได้ประทานบัตรเร่งขุดแร่ขึ้นมาขาย จึงประกาศว่า เรายึดมั่นในสิทธิชุมชนที่ปกป้องวิถีเกษตรกรรม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจชุมชนที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เราจะคัดค้านการทำเหมืองจนถึงที่สุด โดยไม่ยอมให้นายทุนหน้าไหนเข้ามาขุดเอาแร่ใต้ถุนบ้านเราไปขาย แล้วทิ้งไว้เพียงกากเกลือซึ่งจะเป็นผลกระทบไปจนชั่วลูกหลาน
ศก.ซบเซา บะหมี่กึ่งฯขายดี สต็อกไม่พอ - 'สภาอุตฯ' ชี้ต้องหามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อเพิ่ม
https://ch3plus.com/news/economy/morning/377228
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม แหล่งข่าวจากร้านค้าปลีก-ค้าส่งจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันด้วยภาวะเศรษฐกิจ และคนมีรายได้ลดลง มีผลต่อกำลังซื้อค้าปลีกไม่ค่อยคักคักมากนัก แม้แต่เบียร์ยอดขายยังทรงตัว ยกเว้นบางยี่ห้อที่มีการส่งเสริมรายการพิเศษ จะทำยอดขายได้ จากเดิมเมื่อใกล้เข้าสู่เทศกาลปีใหม่ จะมียอดขายหรือออร์เดอร์เพิ่มขึ้น แต่ปีนี้ดูเงียบๆ แต่ที่น่าแปลกใจคือเครื่องดื่มชูกำลังที่ยอดขายตกทุกยี่ห้อ จากเดิมที่ร้านเคยขายได้ 10,000 ลังต่อเดือน แต่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมายอดขายตกเหลือ 2,000 ลังต่อเดือนเท่านั้น ขณะที่มาม่ากลับขายดีขึ้น จนสต็อกไม่พอขาย ซึ่งยอดขายมาม่าน่าจะเป็นดัชนีชี้วัดภาพรวมเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดีว่าดีหรือไม่ดี
นาย
มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ขณะนี้ยอดขายที่ร้านยังทรงตัว ทุกสินค้ายอดขายนิ่ง โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟื่อย ทั้งเบียร์ เครื่องดื่มชูกำลัง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น หวังว่าหากรัฐบาลแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะช่วยทำให้กำลังซื้อคักคักขึ้นในปี 2567
“
ยอดขายเบียร์ลดลงประมาณ 30-40% ซึ่งยอดตกมาต่อเนื่องนับตั้งแต่โควิด สาเหตุน่าจะมาจากภาวะเศรษฐกิจ คนมีรายได้น้อยลง ใช้จ่ายประหยัด ไม่ซื้อของฟุ่มเฟื่อย ประกอบกับมีการจำกัดการซื้อเป็นเวลาด้วย ซึ่งภาครัฐน่าจะแก้กฎหมายให้สามารถขายได้ทุกช่วงเวลา เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ รอลุ้นปลายปีมีเทศกาลปีใหม่ จะกระเตื้องขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้มีสินค้าเกี่ยวกับคนสูงวัยที่ขายดีสวนกระแส เช่น นมเอนชัวร์” นายมิลินทร์ กล่าว
----------
JJNY : ทำไม‘พิธา’ยังนำโด่ง 76%?│เครือข่ายอีสานเปิดเวทีรับ ครม.สัญจร│ศก.ซบเซา บะหมี่กึ่งฯขายดี│ “แอกเนส โจว” ขอลี้ภัย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4314375
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม รองศาสตราจารย์ ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต เปิดเผยผลงานวิจัยส่วนบุคคล โดยเก็บข้อมูลแบบสอบถามจากคน Gen Z (ช่วงอายุ 15-19 ปี) ที่กำลังศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 504 คน เกี่ยวกับทัศนคติทางการศึกษา สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เก็บแบบสอบถามระหว่าง 13 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม 2566
ข้อคำถามว่า “ในวันนี้ ท่านปรารถนาให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีไทยมากที่สุด” โดยใช้รายชื่อที่ระบุนี้คัดสรรจากที่เสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยพรรคการเมืองในคราวเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566
ผลการวิจัยสรุปเบื้องต้น ดังนี้
1. คน Gen Z มัธยมปลาย ปรารถนาให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี มากที่สุดร้อยละ 76 (383 คน) นายเศรษฐา ทวีสิน ร้อยละ 3.0 (15 คน) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 3.0 (15 คน) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 1.4 (7 คน) นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 1.0 (5 คน) และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ร้อยละ 0.4 (2 คน) ส่วนที่ปรารถนาให้คนอื่นๆ ที่ไม่ปรากฏในรายชื่อแบบสอบถามนี้เป็นนายกรัฐมนตรีมีร้อยละ 2.4 (12 คน) ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 12.9 (65 คน)
2. สอดรับไปในทิศทางเดียวกันกับคน Gen Z ระดับมหาวิทยาลัย ปรารถนาให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี มากที่สุดร้อยละ 83.4 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 8.0 นายเศรษฐา ทวีสิน ร้อยละ 2
3. ข้อสังเกต คน Gen Z มัธยมปลายที่ตอบแบบสอบถามนี้ราวร้อยละ 75 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
เมื่อ 14 พฤษภาคม 2566 คือยังไม่มีประสบการณ์การเลือกตั้ง แต่จากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่าคน Gen Z ที่นิยมนายพิธามีแนวโน้มสูงที่จะเผยแพร่สนับสนุนให้คนในครอบครัวเลือก ส.ส. และบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
4. คำอธิบายของคน Gen Z มัธยมปลาย ผู้ปรารถนาให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคำอธิบายแบบเดียวกันกับคน Gen Z ระดับมหาวิทยาลัย เช่น มีกิมมิค, มีเสน่ห์, มีวาจาไพเราะ, มีรอยยิ้มที่อ่อนหวานตลอดเวลา, วิสัยทัศน์ก้าวไกล, เก่ง, ฉลาด, ทันสมัย, มีความสามารถ, มีความเป็นผู้นำ, ทัศนคติดี, สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีมากๆๆๆ, มีคุณสมบัติการเป็นผู้นำที่เหมาะกับยุคสมัยของสังคมไทยมากที่สุด, มีความคิดที่เข้าใจคนรุ่นใหม่, มีเเนวคิดสมัยใหม่เป็นผู้สื่อสารทางคำพูดได้ยอดเยี่ยม, ประชาชนเลือกเข้ามา, มาจากคะเเนนเสียงของประชาชนอย่างถูกต้อง, มีวุฒิภาวะ, นโยบายของพรรคก้าวไกลไม่ทำขึ้นเพียงแค่โฆษณาหาเสียงอย่างแน่นอน, เข้าใจปัญหาในยุคปัจจุบัน, พร้อมอธิบายวิธีแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้เข้าใจเชื่อมั่นว่าจะไม่ผิดคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชน, ซื่อสัตย์ต่อประชาชน, ซื่อตรงต่อประชาชาชน, มีความจริงใจ, เข้าถึงได้ง่าย, เข้าใจคนสมัยใหม่, มีวิธีจัดการปัญหาแบบใหม่ๆ และมุ่งแก้ปัญหาได้ตรงจุด, มีวิสัยทัศน์ชัดเจน, เป็นคนรุ่นใหม่, อยากเห็นความเจริญของประเทศเชื่อมั่นว่ายึดมั่นในประชาธิปไตย และต่อต้านการรัฐประหาร, ไม่ทิ้งอุดมการณ์, เป็นผู้ที่อยู่ฝั่งประชาชนอยู่ฝั่งประชาธิปไตยมาโดยตลอด, มีความโปร่งใส, มีความน่าเชื่อถือเชื่อมั่นว่าเป็นผู้นำพรรคก้าวไกลที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้ไม่เหมือนเดิม, ให้ประเทศพัฒนาขึ้น, บ้านเมืองจะได้ไม่ล้าหลัง ไม่จมอยู่กับชีวิตแบบเดิมๆ, เห็นความพยายามจะแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างแท้จริง
เครือข่ายอีสาน จัดใหญ่ เปิดเวทีรับ ครม.สัญจร จี้ “หยุดทุนแย่งชิงทรัพยากรชุมชน”
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7993229
เครือข่ายอีสาน จัดใหญ่ เปิดเวทีรับ ครม.สัญจร เรียกร้องยุติโครงการผันน้ำโขงเลยชีมูน-เหมืองแร่โปแตช จี้ “หยุดทุนแย่งชิงทรัพยากรชุมชน”
วันที่ 4 ธ.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนปกป้องลุ่มน้ำโขงอีสาน จัดกิจกรรม “มหกรรมประชาชนปกป้องลุ่มน้ำโขงอีสาน” ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีเครือข่ายชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการจัดการน้ำของรัฐ เข้าร่วมกว่า 100 คน
ซึ่งการจัดกิจกรรมครั้งนี้ มีเวทีเสวนา “บทบาทของประชาชนในการจัดการทรัพยากรน้ำ” โดยวิทยากรได้วิพากษ์นโยบายการจัดการน้ำของทุกรัฐบาลที่ละเมิดสิทธิของชาวบ้าน และส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน ต่อทรัพยากร และข้อเสนอในการแก้ไขนโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ
ขณะที่ตัวแทนชาวบ้าน อ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้หยุดรัฐและทุนเขมือบทรัพยากรประเทศ โดยมีข้อเสนอต่อ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จะเดินทางลงพื้นที่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (จังหวัดบึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และอุดรธานี) ระหว่างวันที่ 3-5 ธันวาคม 2566 ดังนี้
1. ให้ยุติการเดินหน้าโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล
2. ให้ยุติการเดินหน้าโครงการเหมืองแร่โพแตชอุดรธานี และเหมืองแร่ในภาคอีสาน
3. ให้เร่งแก้ไขปัญหาเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร แม่น้ำชี จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร, แก้ไขปัญหาเขื่อน ราษีไศล เขื่อนหัวนา แม่น้ำมูน, แก้ไขปัญหาป่าไม้ที่ดิน, แก้ไขปัญหากรณีโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล ภาคอีสาน เป็นต้น
4. ให้รัฐสนับสนุนรูปแบบการจัดการน้ำระดับครัวเรือนที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เช่น รูปแบบแผงโซลาร์เซลในการดึงน้ำมาใช้ในการเกษตร เป็นต้น
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า สิทธิชุมชน เป็นสิ่งที่ทำให้คนหนุ่มสาวมีชีวิตต่อไปได้ การฮั้วกันของอำนาจเก่ากับรัฐบาลใหม่ครอบงำและทำลายอำนาจประชาชน จะต้องมีการกระจายอำนาจและโอกาสในการดูแลจัดการให้กับประชาชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
ในส่วนของการจัดการน้ำที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจนจะต้องมีการแก้ไข กฎหมาย นโยบาย รวมไปถึงโครงสร้าง สิทธิชุมชนในการจัดการจัดการน้ำจะเกิดขึ้นได้ด้วย
1. การกระจายโอกาส และอำนาจสู่ชุมชนในทุกมิติ
2. ขยายความร่วมมือของชาวบ้านเครือข่ายแต่ละชุมชน
3. การกระจายความรู้จากชุมชนเพื่อสื่อสารกับสาธารณะเพื่อยกระดับชุมชน ยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน
นายจำนงค์ จิตนิรัตน์ ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือพีมูฟกล่าวว่า ภัยพิบัติซ้ำซาก ความจนซ้ำซ้อน ชาวบ้านที่จังหวัดอุบลราชนีที่ได้รับผลกระทบทับซ้อนกันจากประเด็นปัญหาอุทกภัยในทุกปีส่งผลให้เกิดปัญหาความยากจนซ้ำร้ายที่ดินทำกินยังถูกประกาศให้เป็นที่สาธารณะ ชาวบ้านในชุมชนต้องลุกขึ้นมาช่วยเหลือกันเอง แม้ขอความช่วยเหลือจากรัฐไปก็ไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ สะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐล้มเหลวในการจัดการน้ำและดูแลประชาชนอย่างมาก
นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล่าวว่า บทเรียนในการจัดการน้ำที่ผ่านมาของโครงการโขง ชี มูน ภาคอีสาน พื้นที่ชาวบ้านลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำมูน ต่างได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำ ทำให้เกิดการเรียกร้องสิทธิเพื่อให้รัฐแก้ไขปัญหาถึงปัจจุบันยังไม่เสร็จ
ด้าน นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า บทเรียนของการจัดการน้ำที่ผ่านมาเป็นเพราะแนวคิดการพัฒนาแบบเดิม ๆ ของรัฐจะต้องรื้อความคิดแบบเก่าและหนุนเสริมรูปแบบการจัดการน้ำขนาดเล็กที่ชุมชนสามารถเข้าถึงและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนจะต้องเชื่อมร้อยเครือข่ายประชาชนเพื่อยกระดับสู่การแก้ปัญหาในเชิงนโยบายต่อไป
ดร.มาลี สิทธิเกรียงไกร อาจารย์ประจำศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาคประชาชนขาดกระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ถือว่าเป็นบทเรียนที่เราได้มาร่วมสรุปด้วยกันเพื่อออกแบบในการศึกษาและจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมของภาคประชาชนแบบคู่ขนาน
โดยต้องผสานความรู้ระหว่างนักวิชาการกับชาวบ้านในการยกระดับความรู้เพื่อสู้กับอำนาจที่ครอบงำสังคม ตลอดจนการสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูลและส่งเสริมให้ชาวบ้านตระหนักถึงการหวงแหนทรัพยากร การปกป้องชุมชนและการตรวจสอบนโยบายของรัฐ
ด้าน ผู้ใหญ่ชุมพร เรืองศิริ เครือข่ายอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำห้วยเสนง จังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า ได้สรุปบทเรียนถึงกลไกการจัดการน้ำของภาครัฐ ภายใต้ พ.ร.บ.น้ำ ปี 2561 ที่ไม่เอื้อให้ชาวบ้านเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการน้ำ ที่มีข้อจำกัดในเรื่องของสัดส่วนคณะกรรมการลุ่มน้ำที่ให้อำนาจหน้าที่กับหน่วยงานภาครัฐเข้าไปมีบทบาทมากกว่าภาคประชาชน
โดยมีข้อเสนอต่อการแก้ปัญหาการจัดการน้ำ ให้ยึดรูปแบบการจัดการน้ำตั้งแต่ระดับชุมชน ตำบล ขึ้นไปถึงระดับนโยบาย เพื่อก่อให้เกิดการจัดการทรัพยากรน้ำแบบยั่งยืน
หลังจากนั้นเครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภาคอีสาน ได้เดินทางไปยังสะพานข้ามลำน้ำพอง เพื่อร่วมกันปล่อยป้ายที่มีข้อความว่า “หยุดทุนแย่งชิงทรัพยากรชุมชน” “หยุดรัฐรวมศูนย์อำนาจเขมือบประเทศ” และ “ไม่เอาผันน้ำโขง เลย ชี มูน”
วันเดียวกันชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ประมาณกว่า 100 คน รวมตัวกันบริเวณหน้าสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ที่ตำบลโนนสูง อำเภอประจักศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี เพื่อแสดงออกถึงจุดยืนในการคัดค้านเหมืองแร่โปแตชที่ จังหวัดอุดรธานี ต่อ รมว.อุตสาหกรรม ที่ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการเหมืองแร่โปแตช
ทั้งนี้ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมองว่าเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนให้ผู้ได้ประทานบัตรเร่งขุดแร่ขึ้นมาขาย จึงประกาศว่า เรายึดมั่นในสิทธิชุมชนที่ปกป้องวิถีเกษตรกรรม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจชุมชนที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เราจะคัดค้านการทำเหมืองจนถึงที่สุด โดยไม่ยอมให้นายทุนหน้าไหนเข้ามาขุดเอาแร่ใต้ถุนบ้านเราไปขาย แล้วทิ้งไว้เพียงกากเกลือซึ่งจะเป็นผลกระทบไปจนชั่วลูกหลาน
ศก.ซบเซา บะหมี่กึ่งฯขายดี สต็อกไม่พอ - 'สภาอุตฯ' ชี้ต้องหามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อเพิ่ม
https://ch3plus.com/news/economy/morning/377228
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม แหล่งข่าวจากร้านค้าปลีก-ค้าส่งจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันด้วยภาวะเศรษฐกิจ และคนมีรายได้ลดลง มีผลต่อกำลังซื้อค้าปลีกไม่ค่อยคักคักมากนัก แม้แต่เบียร์ยอดขายยังทรงตัว ยกเว้นบางยี่ห้อที่มีการส่งเสริมรายการพิเศษ จะทำยอดขายได้ จากเดิมเมื่อใกล้เข้าสู่เทศกาลปีใหม่ จะมียอดขายหรือออร์เดอร์เพิ่มขึ้น แต่ปีนี้ดูเงียบๆ แต่ที่น่าแปลกใจคือเครื่องดื่มชูกำลังที่ยอดขายตกทุกยี่ห้อ จากเดิมที่ร้านเคยขายได้ 10,000 ลังต่อเดือน แต่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมายอดขายตกเหลือ 2,000 ลังต่อเดือนเท่านั้น ขณะที่มาม่ากลับขายดีขึ้น จนสต็อกไม่พอขาย ซึ่งยอดขายมาม่าน่าจะเป็นดัชนีชี้วัดภาพรวมเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดีว่าดีหรือไม่ดี
นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า ขณะนี้ยอดขายที่ร้านยังทรงตัว ทุกสินค้ายอดขายนิ่ง โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟื่อย ทั้งเบียร์ เครื่องดื่มชูกำลัง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น หวังว่าหากรัฐบาลแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะช่วยทำให้กำลังซื้อคักคักขึ้นในปี 2567
“ยอดขายเบียร์ลดลงประมาณ 30-40% ซึ่งยอดตกมาต่อเนื่องนับตั้งแต่โควิด สาเหตุน่าจะมาจากภาวะเศรษฐกิจ คนมีรายได้น้อยลง ใช้จ่ายประหยัด ไม่ซื้อของฟุ่มเฟื่อย ประกอบกับมีการจำกัดการซื้อเป็นเวลาด้วย ซึ่งภาครัฐน่าจะแก้กฎหมายให้สามารถขายได้ทุกช่วงเวลา เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ รอลุ้นปลายปีมีเทศกาลปีใหม่ จะกระเตื้องขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้มีสินค้าเกี่ยวกับคนสูงวัยที่ขายดีสวนกระแส เช่น นมเอนชัวร์” นายมิลินทร์ กล่าว
----------