ใครเคยเป็นแบบเราบ้าง ก่อนอื่นเราต้องบอกก่อนว่าเราอายุ45 ปี มาอยู่ต่างประเทศได้ 14 ปีแล้ว เคยแต่งงานและหย่าเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้เราได้อยู่กับลูกชายตามลำพังกันสองคน มาได้ 5-6ปีแล้วโดยที่เราไม่มองผู้ชายคนไหนเลยนะ บอกได้เลยว่าเข็ดกับเรื่องความรักมาก เราไม่เคยโชคดีในเรื่องความรักเลย
เราเคยแต่งงานครั้งแรกกับคนไทยโชคดีที่ไม่ได้จดทะเบียนด้วยกัน อยู่กินกันมา 7 ปี แต่เพิ่งมารู้ในระยะเวลา2 ปีหลังที่เขาโกหก หลอกลวง และเริ่มสร้างหนี้สินมากมายโดยที่ไม่ให้เรารู้ ทั้งหลอกลวง แม่เราว่าเราไม่สบายต้องเข้าโรงพยาบาลต้องการเงิน แม่เราก็ส่งมาให้ ลืมบอกไปว่าตอนนี้เราทำงานที่นิคมอุตสาหกรรมที่ลำพูน และเราต้องทำงานเข้ากะกลางคืน ออกกะตอนเช้า แล้วเราก็นอนหลับ พอแม่โทรมาเราก็ไม่ได้รับโทรศัพท์เลยเพราะว่าเขาจะเป็นคนรับตลอด เขาไม่ได้ทำงานในสองปีหลังนี้ เพราะเขาต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ดินของแม่เขาที่ ได้เอาไปจำนองกับธนาคารในอดีตที่ผ่านมาและไม่ชำระเงินคืนและธนาคารจะทำการยึดที่ดิน ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับการที่เขาต้องสร้างหนี้สินต่างๆอีกมากมาย และปกปิดไม่ให้เรารู้ คิดง่ายๆ ว่าถ้าได้เงินมาแล้วจะเอาที่ดินออกแล้วเอาใบไปเข้าใหม่ แล้วจะเอาเงินมาคืนให้เจ้าหนี้ทั้งหลาย โดยที่จะไม่ให้เรารู้ แต่ผิดคาด พ่อเขาเอาเงินไปจ่ายธนาคารแล้วธนาคารก็ไม่ให้กู้ต่อก็แน่สินะเพราะคนเรามันเสียเครดิตไปแล้วอันนี้เข้าใจธนาคาร. แต่ว่าเราไม่เข้าใจคนที่เป็นคู่ชีวิตเวลามีปัญหาก็ต้องคุยกันต้องช่วยกันแก้ไขเวลามีความสุขก็สุขด้วยกันเวลามีความทุกข์ก็ต้องช่วยกันใช่ไหมแต่นี่เขาปิดบังไม่ให้เรารู้เรื่องอะไรเลยจนกระทั่ง 2 ปีหลังนี้เราเริ่มระแคะระคาย มีอยู่วันหนึ่งแม่โทรมาแต่เขาไม่อยู่บ้านเราจึงได้รับโทรศัพท์แล้วแม่ก็เล่าว่าแม่โอนตังค์มาให้เขา 3-4 ครั้งแล้วเพราะคิดว่าลูกสาวไม่สบาย เลยส่งเงินมาช่วยเหลือ แล้วเราก็เริ่มได้ยินมาเรื่อยๆว่าเขาติดหนี้คนนู้นคนนี้ขนาดสิ้นเดือนมา เราได้รับเงินเดือนเราก็แบ่งเงินเป็นสัดเป็นส่วน ไว้จ่ายค่าเช่าบ้านค่างวดรถค่าผ่อนตู้เย็นทีวี แล้วให้เขาเอาไปจ่ายหลังจากนั้นไม่นานมีคนมาที่บ้านมาตามทวงค่าเช่าค่าบ้านค่ารถ พอเราได้ยินแล้วเราก็เสียใจมากเราเป็นคนทำงานแล้วเราก็เอาเงินให้เขาไปจ่ายแล้วแต่เขาเอาเงินไปไหน??จนให้เขามาทวงเรานี่อายมาก คิดว่าขนาดพ่อแม่เลี้ยงดูเรามาจนเติบโตแล้วเราได้ทำงานยังไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่มากมายเท่าไหร่เลย แล้วเขาเป็นใครผู้ชายคนนี้เราแต่งงานอยู่กินกับเขาแล้วเขามาหลอกลวงเราและครอบครัวของเรา คนเราถ้าเริ่มจากศูนย์มันต้องนับ 1 2 3 ขึ้นไปใช่ไหมแต่นี่มันมีแต่ติดลบลงไปเราจึงตัดสินใจเลิกเด็ดขาด เราเลยตัดสินใจพอได้เงินเดือนก็ไปจ่ายทุกอย่างที่ค้างไว้ให้หมดแล้วบอกพ่อให้เอารถมาขนของเราจะกลับไปอยู่บ้านเราตัดขาดจริงๆ, หลังจากนั้นมาแล้วก็ตั้งสัจจะอธิษฐานในใจว่าคนต่อไปขอเป็นสามีฝรั่ง เพราะตอนนั้นเราคิดว่าฝรั่งคงจะมีความรับผิดชอบมากกว่า เราก็เลยสมัครหาคู่ในเว็บแล้วคุยกับฝรั่ง skype คุยกันทุกวันเป็นระยะเวลา 2 ปี จนทำให้เรามั่นใจแล้วฝรั่งก็บอกว่าจะย้ายมาอยู่พัทยา เราก็เลยลาออกจากงานบริษัทที่ทำแล้วก็ไปสมัครงานอยู่ที่พัทยาแต่ไม่ได้อยู่กับฝรั่งนะเราเช่าหออยู่เอง แล้วเราก็ได้ทำงานที่บิ๊กซีพัทยาเหนือไปทำครั้งแรกได้เงินเดือน 8,500 บาท ทำอยู่ได้เดือนครึ่งได้ยินโฆษณาว่าคลินิกเสริมความงามต้องการรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาทจะต้องพูดภาษาอังกฤษได้เราก็เลยลาออกแล้วไปสมัครทำงานอยู่ที่นั่นทำอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนแล้วคลินิกก็ไม่จ่ายเงินเดือนเราก็เลยออกจากงาน มาถึงตอนนี้เราก็ตัดสินใจย้ายออกจากอพาร์ทเม้นท์ไปอยู่กับฝรั่งแล้วทำงานให้เขาเราอยู่กับฝรั่ง 3 เดือนและเราก็รู้ความจริงว่าตลอดเวลานั้นเขาไม่ได้คุยกับเราแค่คนเดียว เพราะว่ามีอยู่วันหนึ่งเราได้กลับมาบ้านโดยปิดเครื่องมอเตอร์ไซค์แล้วเข้ามาโดยไม่มีเสียงและแล้วเราก็ได้เห็นว่าเขากำลังคุยแชทกับผู้หญิง 5 คนในเวลาพร้อมกันหลังๆมาเราเริ่มจับได้ว่าประมาณเที่ยงคืนตี 1 เขาก็จะลุกออกมาห้องทำงานเพื่อมาเขียนจดหมายหาสาวๆเพราะตอนนี้เขาอยู่ต่างประเทศพอเรารู้เรื่องอย่างนี้แล้วเราก็เลยตัดสินใจไปหาอพาร์ทเม้นท์แล้วย้ายของออกไปอยู่อพาร์ทเม้นท์ใหม่เลยเจ็บแต่จบไม่อยากเสียเวลายืดเยื้อกับคนไม่จริงใจ.
พอเราขนของเข้าอพาร์ทเม้นท์ใหม่เราก็จุดธูปไหว้เจ้าที่เจ้าทางอธิษฐานขอให้เจอคนที่จริงใจ พอดีวันนั้นเราเจอพี่ที่รู้จักเขาบอกว่าวันนี้แฟนเขาจะมากับน้องชายพี่เขาชวนเราไปทานข้าวด้วย เราก็เลยตัดสินใจไปเพราะไม่อยากอยู่คนเดียวก็คนเราอกหักนี่เนาะก็เลยออกไปทานข้าวและไปดื่มกับพี่เขาแล้วก็คุยกับน้องชายแฟนเขาเราก็คุยทุกเรื่องว่าเราเคยแต่งงานมาแล้วโดนผู้ชายหักหลังโกหกหลอกลวง แล้วก็คุยกับผู้ชายแค่คนเดียวในระยะเวลา 2 ปี skype หากันทุกวันแล้วฉันก็มาอยู่พัทยาก็เล่ารายละเอียดให้เขาฟังทุกเรื่องขอบคุณเราไม่ได้คิดอะไรนะมันก็เลยพูดได้ทุกอย่างเล่าไปตามความเป็นจริง แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวของเขาให้ฟังว่าเขาก็เพิ่งแยกทางกลับแฟนได้เดือนกว่า แล้วเราก็ไปดื่มด้วยกันจนถึงเช้า ดื่มจริงๆ พอตกวันรุ่งขึ้นเขาก็เลยบอกว่าเธอพาฉันไปดูอพาร์ทเม้นท์เธอหน่อยเขาอาจจะเช็คว่าเราพูดความจริงหรือเปล่าเราก็เลยพาเขาไป แล้วเขาก็เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ในกล่องยังไม่ได้แกะเลยที่นอนก็ยังปูเรียกเหมือนเดิมเพราะเพิ่งย้ายมาเมื่อวานยังไม่ได้นอนสักคืนเลย เขาก็เลยบอกให้เราขนของทั้งหมดส่งไปรษณีย์กลับบ้าน แล้วให้เราอยู่กับเขาเราก็เลยคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้วลองดูสักตั้ง เราก็เลยอยู่กับเขาแล้วไปเที่ยวกับเขาประมาณ 1 เดือนแล้วก็ขึ้นไปหาพ่อแม่เขาคุยกับพ่อแม่ว่าอยากจะพาเรามาอยู่ต่างประเทศ พ่อเขากลับแล้ว เขาให้เราอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านโดยไม่ต้องทำงานเขาส่งเงินให้ใช้เดือนละประมาณ 8,000 กว่าบาท เราก็ดีใจนะตอนนั้นไม่ต้องทำงานได้เดือนละ 8,000 กว่าบาท หลังจากนั้นไม่นานเราก็จดทะเบียนกันแล้วเราก็มาต่างประเทศอยู่กับเขา
เขาสัญญาว่าถ้าเราทำงานเราสามารถส่งเงินกลับบ้านได้เพราะก่อนจะมาเราบอกเขาว่าเรามีหนี้สินที่เราได้กู้ยืมเพื่อการศึกษาและหนี้อื่นๆ
แล้วเราก็ได้ทำงานกับเขาโดยที่เราทำทุกอย่าง ทำความสะอาดบ้าน,ทำสวน,ทำงานก่อสร้าง เราทำงานหนักมากทำ 8 โมงเลิก 5 โมงเย็น ทั้ง ขนหิน ขนกระเบื้อง ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเราท้อง แล้วเราทำงานหนักมากจนเราแท้งลูกไป1คน เราเสียใจมาก
ตอนที่เขาอยู่เมืองไทยเขาเป็นคนที่ไม่พูดมากสุขุมใจเย็นมันทำให้เรารู้สึกว่าอบอุ่นจนทำให้เราตัดสินใจจดทะเบียนแล้วมาอยู่กับเขา แต่ว่าพอเรามาอยู่ที่นี่แล้วนิสัยเขาก็เปลี่ยนไม่ค่อยฟังในสิ่งที่เราพูด เขาจะเป็นคนที่ชอบพูดแล้วให้เราฟังแล้วเราทำต้องทำตาม ถ้าเราทำตามทุกอย่างดีหมด เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่ว่าเขาไม่ใช่คนที่พูดมาก แต่ว่าเราต้องทำงานบ้านทั้งข้างนอกบ้าน และในบ้านคนเดียวทุกอย่าง ทั้งทำอาหาร ปัดกวาด เช็ดถู ล้างจาน แล้วก็จะในทุกๆเดือนสิ่งที่เราไม่ชอบก็คือเขาจะจดรายละเอียดทุกอย่างว่าเราจะต้องจ่ายค่าเช่าบ้างค่ารถค่าประกันค่าอาหารนู่นนี่นั่น แล้วพอสิ้นเดือนเขาก็จะให้เงินเรา 500 ยูโรเพื่อที่เราจะส่งกลับเมืองไทยให้แม่มาใช้หนี้ เขาจะชอบพูดเสมอว่าไม่มีใครหรอกที่ทำงานแล้วจ่ายค่านู่นนี่นั่นแล้วมีเงินเหลือขนาดนี้ เราทำงานเหนื่อยมากแต่เพราะเราก็อดทน เราอยากเรียนภาษาเราขออนุญาตเขาแล้วเขาก็บอกว่าถ้าเธอมีเงินเธอก็เรียนได้ เพราะเราบอกว่าเราอยากจะเรียนขับรถเขาก็บอกว่าถ้าเธอมีเงินเธอก็ไปเรียนสิ เราเริ่มมีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้ช่วย support อะไรเลย เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องทำด้วยตัวของเราเองทุกอย่างเราสู้อดทน หลังจากนั้น 1 ปีเราก็ได้มีลูกชาย พอเราคลอดลูกได้ปีกว่า เราก็เลยบอกเขาว่าเราจะออกมาทำงานข้างนอก แล้วเราก็ออกมาทำงานนวด แล้วเราก็ได้พบปะเพื่อนคนไทยได้แลกเปลี่ยนความรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้เปิดโลกกว้าง
ด้วยความที่ว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว อย่างเช่นเราทำงานเรามีวันหยุด 2 วันแต่เราก็ไม่ได้หยุดนะเราต้องทำงานบ้านและไปทำงานช่วยเขา และเขาชอบที่จะเชิญเพื่อนๆของเขามาที่บ้าน และเราต้องเป็นคนจัดเตรียมสถานที่ ทำอาหาร เก็บกวาดทุกอย่าง พอกินเสร็จเราก็ต้องเอามาล้าง เพราะว่าเขาไม่ช่วยอะไรเลย มันทำให้เรารู้สึกเหนื่อยและท้อใจมากขนาดคิดว่าวันนี้ไม่ดีพรุ่งนี้ก็ต้องดี แต่ว่ามันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม มันทำให้เรารู้สึกต้องคิดถึงอนาคต ต้องคิดถึงลูกให้มาก หลังจากนั้นเราเริ่มถอนความรักที่เราให้เขาเอามาใส่ไว้ที่ลูก หลังจากนั้นจนลูกประมาณ 2 ขวบครึ่งเราได้แยกทางกับสามีเราขออนุญาตเขาเอาลูกออกมาอยู่ข้างนอกเรามาเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่ในเมือง โดยที่เขาเอาเราและลูกมาส่งไว้ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งในระหว่างทางเขาก็บอกกับเราว่าไม่ให้เราไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขาหรือญาติของเขา แล้วเขาก็ช่วยเราขนของลงตรงหน้าอพาร์ทเม้นท์แล้วเขาก็กลับไปเลย คิดสภาพดูว่าลูก 2 ขวบครึ่งเราต้องขนของทั้งจูงลูกไปเองขนไปชั้น 3 ไหนจะทั้งขนของไหนจะทางอุ้มลูก แต่เราก็ทำทุกอย่างด้วยตัวของเราเองจนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แล้วเราก็พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เราได้พยายามอ่านหนังสือและสอบจนได้ใบขับขี่ของประเทศสเปนสำเร็จ เราได้เรียนภาษา และเราได้หาโรงเรียนอนุบาลให้ลูกโดยที่เขาไม่ได้ส่งเสียอะไรเลย ทุกอย่างอยู่ที่เราคนเดียว เราต้องทำงานหนักมาก แต่เราก็ทนสู้
ตอนนั้นเขาต้องมารับลูกอาทิตย์เว้นอาทิตย์โดยที่จะมารับลูกวันศุกร์ตอนเย็นแล้วเอาลูกมาส่งให้เราวันอาทิตย์ตอนเช้า ซึ่งเราได้เตรียมเสื้อผ้ายาสีฟันแปรงฟันอาหารเครื่องดื่มของลูกใส่ไว้ในกระเป๋าเป้ทั้งหมดเมื่อวันที่พ่อรับไปคือวันศุกร์ลูกใส่ชุดโรงเรียนไป พอเขาเอามาส่งตอนเช้าลูกก็ยังใส่ชุดเดิมอยู่ ฟันก็ไม่แปรงน้ำก็ไม่อาบ เสื้อผ้าเลอะเทอะเปรอะเปื้อน เราคนเป็นแม่เนาะ ทนเห็นลูกอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ได้ ตอนนั้นแยกกันอยู่ 1 ปีแล้วแต่เราคิดว่าเมื่อเห็นลูกอยู่ในสภาพแบบนี้เราจะต้องเห็นรูปอยู่ในสายตาเราตลอดเป็นห่วงลูกไงเมื่อพ่อไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้ เราจึงตัดสินใจกลับไปอยู่กับเขาเพื่อที่ลูกจะได้อยู่ในสายตาของเราตลอด ก่อนที่เราจะกลับไปเขาก็ให้สัญญาว่าจะปรับปรุงตัว แต่ก็เหมือนเดิมคนเรามันเปลี่ยนแปลงไม่ได้เนาะนิสัยเดิมของเขาเป็นแบบนั้น เราก็อดทนมาตลอดพยายามไม่พูด ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพื่อที่ลูกจะได้มีพร้อมครอบครัวไม่อยากให้ลูกขาดความอบอุ่น แต่ว่าก็เหมือนเดิมเขาไม่เคยช่วยเหลืออะไรเราทั้งสิ้น เวลาลูกไม่สบายเราก็ต้องตื่นมาดูแลลูกคนเดียว พอลูกร้องไห้ดังๆเขาก็เอาหมอนปิดหูตัวเอง ไม่ได้มาช่วยเราดูลูกเลย พอลูกอ้วก เขาก็ลุกออกจากเตียงขับรถออกไปนอนนอกบ้าน บางครั้งมันทำให้เราน้อยใจและเสียใจมากสงสารลูกที่มีพ่อแบบนี้ มีพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบ หลังจากนั้นมาเราก็อดทนเรื่อยๆจนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งเราจะออกไปทำงาน ตอนนั้นเราทำงานหนักมากทำงาน 2 กะ เราต้องไปทำงานดูแลคนป่วยตอนกลางคืนอีก มีอยู่วันหนึ่งเราขับรถออกไปถนนแคบมากเราขับช้าๆ แต่ว่ามีผู้ชายฝรั่งเศสคนหนึ่งขับรถขึ้นมาเร็วมากเพราะถึงทางโค้งเราก็หลบเขาก็เฉี่ยวตรงท้ายรถเราตรงล้อหลัง แล้วผู้ชายคนนั้นเขาก็พูดแต่ภาษาสเปนตอนนั้นเราภาษาสเปนก็ยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ และเขาก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เราจึงโทรศัพท์ไปหาพ่อของลูกว่าที่รักฉันเกิดอุบัติเหตุตรงโค้งใกล้บ้านนี้ห่างจากบ้านประมาณ 400 เมตร คุณช่วยมาหาฉันได้ไหมเพราะว่าผู้ชายคนนี้เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แทนที่เขาจะสอบถามด้วยความห่วงใยแต่ว่าพ่อของลูกก็บอกกับเราว่าเธอโทรมาหาฉันทำไม ทำไมไม่โทรหาตำรวจ แล้วเราก็เลยถามว่าเธอจะมาไหม แล้วเขาก็สบถออกมาเป็นภาษาบ้านเขา มันเป็นภาษาคำหยาบ พอเราได้ยินอย่างนี้มันทำให้เราคิดได้ว่าขนาดเรายังดี ครบ32 เขายังไม่ดูแลเราเลยถ้าวันหนึ่งเราไม่สบายเราก็คงเหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่ง หลังจากนั้นมาเราก็เริ่มไม่สนใจในตัวเขา พอวันหยุดเราเราก็พักผ่อน ไม่ไปช่วยเขาทำงานอีกแล้ว เวลาเขาต้องการมีอะไรด้วยเราก็ทำเป็นไม่สนใจนิ
ไม่ใส่ใจ หลังจากนั้นเขาก็ทนไม่ได้ ที่ว่าเราทำเหมือนไม่สนใจไม่ใส่ใจเขา เขาก็เลยว่าถ้าเธอไม่มีอะไรกับฉันเราก็ไม่ใช่ผัวเมียกันแล้วเราก็เลยบอกว่าฮือ แล้วไง เขาก็เลยบอกว่างั้นเราก็แยกกันอยู่เดี๋ยวจะมาเล่า part 2ต่อนะ
ใครเคยเป็นแบบเราบ้างที่ไม่เคยสมหวังกับความรักเลย อยากเจอคนจริงใจจะมีบ้างไหมหนอ
เราเคยแต่งงานครั้งแรกกับคนไทยโชคดีที่ไม่ได้จดทะเบียนด้วยกัน อยู่กินกันมา 7 ปี แต่เพิ่งมารู้ในระยะเวลา2 ปีหลังที่เขาโกหก หลอกลวง และเริ่มสร้างหนี้สินมากมายโดยที่ไม่ให้เรารู้ ทั้งหลอกลวง แม่เราว่าเราไม่สบายต้องเข้าโรงพยาบาลต้องการเงิน แม่เราก็ส่งมาให้ ลืมบอกไปว่าตอนนี้เราทำงานที่นิคมอุตสาหกรรมที่ลำพูน และเราต้องทำงานเข้ากะกลางคืน ออกกะตอนเช้า แล้วเราก็นอนหลับ พอแม่โทรมาเราก็ไม่ได้รับโทรศัพท์เลยเพราะว่าเขาจะเป็นคนรับตลอด เขาไม่ได้ทำงานในสองปีหลังนี้ เพราะเขาต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ดินของแม่เขาที่ ได้เอาไปจำนองกับธนาคารในอดีตที่ผ่านมาและไม่ชำระเงินคืนและธนาคารจะทำการยึดที่ดิน ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับการที่เขาต้องสร้างหนี้สินต่างๆอีกมากมาย และปกปิดไม่ให้เรารู้ คิดง่ายๆ ว่าถ้าได้เงินมาแล้วจะเอาที่ดินออกแล้วเอาใบไปเข้าใหม่ แล้วจะเอาเงินมาคืนให้เจ้าหนี้ทั้งหลาย โดยที่จะไม่ให้เรารู้ แต่ผิดคาด พ่อเขาเอาเงินไปจ่ายธนาคารแล้วธนาคารก็ไม่ให้กู้ต่อก็แน่สินะเพราะคนเรามันเสียเครดิตไปแล้วอันนี้เข้าใจธนาคาร. แต่ว่าเราไม่เข้าใจคนที่เป็นคู่ชีวิตเวลามีปัญหาก็ต้องคุยกันต้องช่วยกันแก้ไขเวลามีความสุขก็สุขด้วยกันเวลามีความทุกข์ก็ต้องช่วยกันใช่ไหมแต่นี่เขาปิดบังไม่ให้เรารู้เรื่องอะไรเลยจนกระทั่ง 2 ปีหลังนี้เราเริ่มระแคะระคาย มีอยู่วันหนึ่งแม่โทรมาแต่เขาไม่อยู่บ้านเราจึงได้รับโทรศัพท์แล้วแม่ก็เล่าว่าแม่โอนตังค์มาให้เขา 3-4 ครั้งแล้วเพราะคิดว่าลูกสาวไม่สบาย เลยส่งเงินมาช่วยเหลือ แล้วเราก็เริ่มได้ยินมาเรื่อยๆว่าเขาติดหนี้คนนู้นคนนี้ขนาดสิ้นเดือนมา เราได้รับเงินเดือนเราก็แบ่งเงินเป็นสัดเป็นส่วน ไว้จ่ายค่าเช่าบ้านค่างวดรถค่าผ่อนตู้เย็นทีวี แล้วให้เขาเอาไปจ่ายหลังจากนั้นไม่นานมีคนมาที่บ้านมาตามทวงค่าเช่าค่าบ้านค่ารถ พอเราได้ยินแล้วเราก็เสียใจมากเราเป็นคนทำงานแล้วเราก็เอาเงินให้เขาไปจ่ายแล้วแต่เขาเอาเงินไปไหน??จนให้เขามาทวงเรานี่อายมาก คิดว่าขนาดพ่อแม่เลี้ยงดูเรามาจนเติบโตแล้วเราได้ทำงานยังไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่มากมายเท่าไหร่เลย แล้วเขาเป็นใครผู้ชายคนนี้เราแต่งงานอยู่กินกับเขาแล้วเขามาหลอกลวงเราและครอบครัวของเรา คนเราถ้าเริ่มจากศูนย์มันต้องนับ 1 2 3 ขึ้นไปใช่ไหมแต่นี่มันมีแต่ติดลบลงไปเราจึงตัดสินใจเลิกเด็ดขาด เราเลยตัดสินใจพอได้เงินเดือนก็ไปจ่ายทุกอย่างที่ค้างไว้ให้หมดแล้วบอกพ่อให้เอารถมาขนของเราจะกลับไปอยู่บ้านเราตัดขาดจริงๆ, หลังจากนั้นมาแล้วก็ตั้งสัจจะอธิษฐานในใจว่าคนต่อไปขอเป็นสามีฝรั่ง เพราะตอนนั้นเราคิดว่าฝรั่งคงจะมีความรับผิดชอบมากกว่า เราก็เลยสมัครหาคู่ในเว็บแล้วคุยกับฝรั่ง skype คุยกันทุกวันเป็นระยะเวลา 2 ปี จนทำให้เรามั่นใจแล้วฝรั่งก็บอกว่าจะย้ายมาอยู่พัทยา เราก็เลยลาออกจากงานบริษัทที่ทำแล้วก็ไปสมัครงานอยู่ที่พัทยาแต่ไม่ได้อยู่กับฝรั่งนะเราเช่าหออยู่เอง แล้วเราก็ได้ทำงานที่บิ๊กซีพัทยาเหนือไปทำครั้งแรกได้เงินเดือน 8,500 บาท ทำอยู่ได้เดือนครึ่งได้ยินโฆษณาว่าคลินิกเสริมความงามต้องการรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาทจะต้องพูดภาษาอังกฤษได้เราก็เลยลาออกแล้วไปสมัครทำงานอยู่ที่นั่นทำอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนแล้วคลินิกก็ไม่จ่ายเงินเดือนเราก็เลยออกจากงาน มาถึงตอนนี้เราก็ตัดสินใจย้ายออกจากอพาร์ทเม้นท์ไปอยู่กับฝรั่งแล้วทำงานให้เขาเราอยู่กับฝรั่ง 3 เดือนและเราก็รู้ความจริงว่าตลอดเวลานั้นเขาไม่ได้คุยกับเราแค่คนเดียว เพราะว่ามีอยู่วันหนึ่งเราได้กลับมาบ้านโดยปิดเครื่องมอเตอร์ไซค์แล้วเข้ามาโดยไม่มีเสียงและแล้วเราก็ได้เห็นว่าเขากำลังคุยแชทกับผู้หญิง 5 คนในเวลาพร้อมกันหลังๆมาเราเริ่มจับได้ว่าประมาณเที่ยงคืนตี 1 เขาก็จะลุกออกมาห้องทำงานเพื่อมาเขียนจดหมายหาสาวๆเพราะตอนนี้เขาอยู่ต่างประเทศพอเรารู้เรื่องอย่างนี้แล้วเราก็เลยตัดสินใจไปหาอพาร์ทเม้นท์แล้วย้ายของออกไปอยู่อพาร์ทเม้นท์ใหม่เลยเจ็บแต่จบไม่อยากเสียเวลายืดเยื้อกับคนไม่จริงใจ.
พอเราขนของเข้าอพาร์ทเม้นท์ใหม่เราก็จุดธูปไหว้เจ้าที่เจ้าทางอธิษฐานขอให้เจอคนที่จริงใจ พอดีวันนั้นเราเจอพี่ที่รู้จักเขาบอกว่าวันนี้แฟนเขาจะมากับน้องชายพี่เขาชวนเราไปทานข้าวด้วย เราก็เลยตัดสินใจไปเพราะไม่อยากอยู่คนเดียวก็คนเราอกหักนี่เนาะก็เลยออกไปทานข้าวและไปดื่มกับพี่เขาแล้วก็คุยกับน้องชายแฟนเขาเราก็คุยทุกเรื่องว่าเราเคยแต่งงานมาแล้วโดนผู้ชายหักหลังโกหกหลอกลวง แล้วก็คุยกับผู้ชายแค่คนเดียวในระยะเวลา 2 ปี skype หากันทุกวันแล้วฉันก็มาอยู่พัทยาก็เล่ารายละเอียดให้เขาฟังทุกเรื่องขอบคุณเราไม่ได้คิดอะไรนะมันก็เลยพูดได้ทุกอย่างเล่าไปตามความเป็นจริง แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวของเขาให้ฟังว่าเขาก็เพิ่งแยกทางกลับแฟนได้เดือนกว่า แล้วเราก็ไปดื่มด้วยกันจนถึงเช้า ดื่มจริงๆ พอตกวันรุ่งขึ้นเขาก็เลยบอกว่าเธอพาฉันไปดูอพาร์ทเม้นท์เธอหน่อยเขาอาจจะเช็คว่าเราพูดความจริงหรือเปล่าเราก็เลยพาเขาไป แล้วเขาก็เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ในกล่องยังไม่ได้แกะเลยที่นอนก็ยังปูเรียกเหมือนเดิมเพราะเพิ่งย้ายมาเมื่อวานยังไม่ได้นอนสักคืนเลย เขาก็เลยบอกให้เราขนของทั้งหมดส่งไปรษณีย์กลับบ้าน แล้วให้เราอยู่กับเขาเราก็เลยคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้วลองดูสักตั้ง เราก็เลยอยู่กับเขาแล้วไปเที่ยวกับเขาประมาณ 1 เดือนแล้วก็ขึ้นไปหาพ่อแม่เขาคุยกับพ่อแม่ว่าอยากจะพาเรามาอยู่ต่างประเทศ พ่อเขากลับแล้ว เขาให้เราอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านโดยไม่ต้องทำงานเขาส่งเงินให้ใช้เดือนละประมาณ 8,000 กว่าบาท เราก็ดีใจนะตอนนั้นไม่ต้องทำงานได้เดือนละ 8,000 กว่าบาท หลังจากนั้นไม่นานเราก็จดทะเบียนกันแล้วเราก็มาต่างประเทศอยู่กับเขา
เขาสัญญาว่าถ้าเราทำงานเราสามารถส่งเงินกลับบ้านได้เพราะก่อนจะมาเราบอกเขาว่าเรามีหนี้สินที่เราได้กู้ยืมเพื่อการศึกษาและหนี้อื่นๆ
แล้วเราก็ได้ทำงานกับเขาโดยที่เราทำทุกอย่าง ทำความสะอาดบ้าน,ทำสวน,ทำงานก่อสร้าง เราทำงานหนักมากทำ 8 โมงเลิก 5 โมงเย็น ทั้ง ขนหิน ขนกระเบื้อง ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเราท้อง แล้วเราทำงานหนักมากจนเราแท้งลูกไป1คน เราเสียใจมาก
ตอนที่เขาอยู่เมืองไทยเขาเป็นคนที่ไม่พูดมากสุขุมใจเย็นมันทำให้เรารู้สึกว่าอบอุ่นจนทำให้เราตัดสินใจจดทะเบียนแล้วมาอยู่กับเขา แต่ว่าพอเรามาอยู่ที่นี่แล้วนิสัยเขาก็เปลี่ยนไม่ค่อยฟังในสิ่งที่เราพูด เขาจะเป็นคนที่ชอบพูดแล้วให้เราฟังแล้วเราทำต้องทำตาม ถ้าเราทำตามทุกอย่างดีหมด เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่ว่าเขาไม่ใช่คนที่พูดมาก แต่ว่าเราต้องทำงานบ้านทั้งข้างนอกบ้าน และในบ้านคนเดียวทุกอย่าง ทั้งทำอาหาร ปัดกวาด เช็ดถู ล้างจาน แล้วก็จะในทุกๆเดือนสิ่งที่เราไม่ชอบก็คือเขาจะจดรายละเอียดทุกอย่างว่าเราจะต้องจ่ายค่าเช่าบ้างค่ารถค่าประกันค่าอาหารนู่นนี่นั่น แล้วพอสิ้นเดือนเขาก็จะให้เงินเรา 500 ยูโรเพื่อที่เราจะส่งกลับเมืองไทยให้แม่มาใช้หนี้ เขาจะชอบพูดเสมอว่าไม่มีใครหรอกที่ทำงานแล้วจ่ายค่านู่นนี่นั่นแล้วมีเงินเหลือขนาดนี้ เราทำงานเหนื่อยมากแต่เพราะเราก็อดทน เราอยากเรียนภาษาเราขออนุญาตเขาแล้วเขาก็บอกว่าถ้าเธอมีเงินเธอก็เรียนได้ เพราะเราบอกว่าเราอยากจะเรียนขับรถเขาก็บอกว่าถ้าเธอมีเงินเธอก็ไปเรียนสิ เราเริ่มมีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้ช่วย support อะไรเลย เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องทำด้วยตัวของเราเองทุกอย่างเราสู้อดทน หลังจากนั้น 1 ปีเราก็ได้มีลูกชาย พอเราคลอดลูกได้ปีกว่า เราก็เลยบอกเขาว่าเราจะออกมาทำงานข้างนอก แล้วเราก็ออกมาทำงานนวด แล้วเราก็ได้พบปะเพื่อนคนไทยได้แลกเปลี่ยนความรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้เปิดโลกกว้าง
ด้วยความที่ว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว อย่างเช่นเราทำงานเรามีวันหยุด 2 วันแต่เราก็ไม่ได้หยุดนะเราต้องทำงานบ้านและไปทำงานช่วยเขา และเขาชอบที่จะเชิญเพื่อนๆของเขามาที่บ้าน และเราต้องเป็นคนจัดเตรียมสถานที่ ทำอาหาร เก็บกวาดทุกอย่าง พอกินเสร็จเราก็ต้องเอามาล้าง เพราะว่าเขาไม่ช่วยอะไรเลย มันทำให้เรารู้สึกเหนื่อยและท้อใจมากขนาดคิดว่าวันนี้ไม่ดีพรุ่งนี้ก็ต้องดี แต่ว่ามันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม มันทำให้เรารู้สึกต้องคิดถึงอนาคต ต้องคิดถึงลูกให้มาก หลังจากนั้นเราเริ่มถอนความรักที่เราให้เขาเอามาใส่ไว้ที่ลูก หลังจากนั้นจนลูกประมาณ 2 ขวบครึ่งเราได้แยกทางกับสามีเราขออนุญาตเขาเอาลูกออกมาอยู่ข้างนอกเรามาเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่ในเมือง โดยที่เขาเอาเราและลูกมาส่งไว้ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งในระหว่างทางเขาก็บอกกับเราว่าไม่ให้เราไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขาหรือญาติของเขา แล้วเขาก็ช่วยเราขนของลงตรงหน้าอพาร์ทเม้นท์แล้วเขาก็กลับไปเลย คิดสภาพดูว่าลูก 2 ขวบครึ่งเราต้องขนของทั้งจูงลูกไปเองขนไปชั้น 3 ไหนจะทั้งขนของไหนจะทางอุ้มลูก แต่เราก็ทำทุกอย่างด้วยตัวของเราเองจนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แล้วเราก็พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เราได้พยายามอ่านหนังสือและสอบจนได้ใบขับขี่ของประเทศสเปนสำเร็จ เราได้เรียนภาษา และเราได้หาโรงเรียนอนุบาลให้ลูกโดยที่เขาไม่ได้ส่งเสียอะไรเลย ทุกอย่างอยู่ที่เราคนเดียว เราต้องทำงานหนักมาก แต่เราก็ทนสู้
ตอนนั้นเขาต้องมารับลูกอาทิตย์เว้นอาทิตย์โดยที่จะมารับลูกวันศุกร์ตอนเย็นแล้วเอาลูกมาส่งให้เราวันอาทิตย์ตอนเช้า ซึ่งเราได้เตรียมเสื้อผ้ายาสีฟันแปรงฟันอาหารเครื่องดื่มของลูกใส่ไว้ในกระเป๋าเป้ทั้งหมดเมื่อวันที่พ่อรับไปคือวันศุกร์ลูกใส่ชุดโรงเรียนไป พอเขาเอามาส่งตอนเช้าลูกก็ยังใส่ชุดเดิมอยู่ ฟันก็ไม่แปรงน้ำก็ไม่อาบ เสื้อผ้าเลอะเทอะเปรอะเปื้อน เราคนเป็นแม่เนาะ ทนเห็นลูกอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ได้ ตอนนั้นแยกกันอยู่ 1 ปีแล้วแต่เราคิดว่าเมื่อเห็นลูกอยู่ในสภาพแบบนี้เราจะต้องเห็นรูปอยู่ในสายตาเราตลอดเป็นห่วงลูกไงเมื่อพ่อไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้ เราจึงตัดสินใจกลับไปอยู่กับเขาเพื่อที่ลูกจะได้อยู่ในสายตาของเราตลอด ก่อนที่เราจะกลับไปเขาก็ให้สัญญาว่าจะปรับปรุงตัว แต่ก็เหมือนเดิมคนเรามันเปลี่ยนแปลงไม่ได้เนาะนิสัยเดิมของเขาเป็นแบบนั้น เราก็อดทนมาตลอดพยายามไม่พูด ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพื่อที่ลูกจะได้มีพร้อมครอบครัวไม่อยากให้ลูกขาดความอบอุ่น แต่ว่าก็เหมือนเดิมเขาไม่เคยช่วยเหลืออะไรเราทั้งสิ้น เวลาลูกไม่สบายเราก็ต้องตื่นมาดูแลลูกคนเดียว พอลูกร้องไห้ดังๆเขาก็เอาหมอนปิดหูตัวเอง ไม่ได้มาช่วยเราดูลูกเลย พอลูกอ้วก เขาก็ลุกออกจากเตียงขับรถออกไปนอนนอกบ้าน บางครั้งมันทำให้เราน้อยใจและเสียใจมากสงสารลูกที่มีพ่อแบบนี้ มีพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบ หลังจากนั้นมาเราก็อดทนเรื่อยๆจนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งเราจะออกไปทำงาน ตอนนั้นเราทำงานหนักมากทำงาน 2 กะ เราต้องไปทำงานดูแลคนป่วยตอนกลางคืนอีก มีอยู่วันหนึ่งเราขับรถออกไปถนนแคบมากเราขับช้าๆ แต่ว่ามีผู้ชายฝรั่งเศสคนหนึ่งขับรถขึ้นมาเร็วมากเพราะถึงทางโค้งเราก็หลบเขาก็เฉี่ยวตรงท้ายรถเราตรงล้อหลัง แล้วผู้ชายคนนั้นเขาก็พูดแต่ภาษาสเปนตอนนั้นเราภาษาสเปนก็ยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ และเขาก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เราจึงโทรศัพท์ไปหาพ่อของลูกว่าที่รักฉันเกิดอุบัติเหตุตรงโค้งใกล้บ้านนี้ห่างจากบ้านประมาณ 400 เมตร คุณช่วยมาหาฉันได้ไหมเพราะว่าผู้ชายคนนี้เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แทนที่เขาจะสอบถามด้วยความห่วงใยแต่ว่าพ่อของลูกก็บอกกับเราว่าเธอโทรมาหาฉันทำไม ทำไมไม่โทรหาตำรวจ แล้วเราก็เลยถามว่าเธอจะมาไหม แล้วเขาก็สบถออกมาเป็นภาษาบ้านเขา มันเป็นภาษาคำหยาบ พอเราได้ยินอย่างนี้มันทำให้เราคิดได้ว่าขนาดเรายังดี ครบ32 เขายังไม่ดูแลเราเลยถ้าวันหนึ่งเราไม่สบายเราก็คงเหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่ง หลังจากนั้นมาเราก็เริ่มไม่สนใจในตัวเขา พอวันหยุดเราเราก็พักผ่อน ไม่ไปช่วยเขาทำงานอีกแล้ว เวลาเขาต้องการมีอะไรด้วยเราก็ทำเป็นไม่สนใจนิ
ไม่ใส่ใจ หลังจากนั้นเขาก็ทนไม่ได้ ที่ว่าเราทำเหมือนไม่สนใจไม่ใส่ใจเขา เขาก็เลยว่าถ้าเธอไม่มีอะไรกับฉันเราก็ไม่ใช่ผัวเมียกันแล้วเราก็เลยบอกว่าฮือ แล้วไง เขาก็เลยบอกว่างั้นเราก็แยกกันอยู่เดี๋ยวจะมาเล่า part 2ต่อนะ