JJNY : อาฟเตอร์ช็อกใหญ่หลายครั้ง│‘ธนาธร’เสวนา 13 ปี พีมูฟฯ│ชี้‘กองทุนหมู่บ้าน’เวิร์กกว่าเติมเงิน│ชี้กำลังซื้อบ้านชะลอตัว

อาฟเตอร์ช็อกใหญ่หลายครั้งหลังแผ่นดินไหวใหญ่ฟิลิปปินส์
https://tna.mcot.net/world-1282284
 
อพยพผู้ป่วยบนเกาะมินดาเนาหลังแผ่นดินไหว
 
มะนิลา 3 ธ.ค.- สำนักสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐหรือยูเอสจีเอส (USGS) แจ้งว่า เกิดแรงสั่นสะเทือนหลังแผ่นดินไหวหรืออาฟเตอร์ช็อกใหญ่ 4 ครั้งหลังจากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.6 ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์เมื่อวันเสาร์
 
ยูเอสจีเอสแจ้งว่า แผ่นดินไหวครั้งแรกเกิดขึ้นนอกชายฝั่งที่ระดับความลึก 32 กิโลเมตร ห่างจากเทศบาลฮินาตวนบนเกาะมินดาเนาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 21 กิโลเมตร เมื่อเวลา 22:37 น.วันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 21:37 น.วันเสาร์ตามเวลาไทย ต่อมาในเช้าวันนี้เกิดอาฟเตอร์ช็อกขนาด 6.4, 6.2, 6.1 และ 6.0 กินเวลาห่างกันหลายชั่วโมง แผ่นดินไหวครั้งแรกทำให้มีการเตือนภัยสึนามิทั่วภูมิภาคแปซิฟิกไปจนถึงฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น ประชาชนทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะมินดาเนาพากันหนีออกจากอาคารขึ้นไปยังที่สูง ก่อนที่จะมีการยกเลิกคำเตือนสึนามิในเวลาต่อมา
ตำรวจเทศบาลฮินาตวนเผยว่า แผ่นดินไหวมีความแรงมาก แต่ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต หรือความเสียหายใหญ่ แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อเกือบ 2 สัปดาห์ก่อนเพิ่งเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.7 เขย่าเกาะมินดาเนา มีผู้เสียชีวิต 9 คน เพดานบางส่วนของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งพังถล่มลงมา.-814.-สำนักข่าวไทย



‘ธนาธร’เสวนา 13 ปี พีมูฟฯแนะปชช.จับตาปี67
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_648982/

‘ธนาธร’ ร่วมเสวนา 13 ปี พีมูฟ สู่สังคมที่เป็นธรรม แนะประชาชนจับตา ปี67 เน้นเรื่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ – นิรโทษกรรมคดีทางการเมือง – การกระจายอำนาจ และปัญหาเรื่องที่ดิน
 
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมงานเสวนา 13 ปี พีมูฟ สู่สังคมที่เป็นธรรม ในหัวข้อ “สู่อนาคตประชาธิปไตย สู่สังคมที่เป็นธรรม” โดยกล่าวถึงมุมมองสังคมที่เป็นธรรม ยอมรับว่า การเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมในทุกวันนี้ยังจำเป็น เพราะขบวนการประชาสังคมมีความเป็นอิสระ และข้อจำกัดที่น้อยกว่าพรรคการเมือง โดยบทบาทของกระบวนการประชาสังคม ยังมีเรื่องความไว้วางใจที่มากกว่าพรรคการเมือง เนื่องจากการจะเคลื่อนไหวต่างๆ ของพรรคการเมืองก็มักจะถูกถามถึงแรงจูงใจทางการเมืองที่มากก่อนสำนึกในการช่วยเหลือประชาชน

สำหรับการสะท้อนบทบาทของกลุ่มพีมูฟนั้น นายธนาธร กล่าวว่า สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 บทบาท ดังนี้
 
1. การคัดค้าน เช่นการคัดค้านโครงการ และปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ
2. การบรรเทา ซึ่งเมื่อมีการคัดค้านแล้ว จนเกิดการต่อสู้ การบรรเทาจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านในการบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้าน
3. การสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหา ให้เห็นว่าไม่ใช่ปัญหาของกลุ่มใดกลุ่มนึง แต่เป็นปัญหาของคนทั้งประเทศ
4. การผลักดันปัญหาที่มากกว่ารายประเด็น คือการผลักดันปัญหาในด้านเชิงโครงสร้าง เห็นได้จากการต่อสู้ในข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ที่ไปชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งที่ไม่ใช่ปัญหาของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่เป็นภาพรวมของประเทศ
 
นายธนาธร กล่าวต่อว่า การมีกระบวนการทางสังคม นอกจากจะช่วยเหลือชาวบ้าน แต่ยังสร้างสังคมอีกด้วย ที่เริ่มจากกลุ่มเกษตรกรก่อนจะเริ่มรวมตัวจนกลายเป็นกลุ่มต่างๆ ซึ่งตนเองก็เป็นหนึ่งในสายพานดังกล่าวที่เติบโตขึ้นมา และทำให้เกิดธนาธรในวันนี้ ที่มาจากการคลุกคลี การสัมผัสของนักต่อสู้เหล่านี้ จนเกิดเป็นสัจธรรมทางการเมือง
 
ส่วนความไม่เป็นธรรม และความเหลื่อมล้ำในสังคม ตนมองว่า โครงสร้างอำนาจ หรือผู้ที่ถืออำนาจอยู่ ที่เป็นพันมิตรกัน ระหว่างชนชั้นนำทางจารีต กับผู้นำกองทัพ และนายทุนขนาดใหญ่ในสังคมไทย พวกเขามีวาระประเทศไทยเป็นของตนเอง โดยวาระของประเทศพวกเขา “ไม่ใช่เรื่องของการพัฒนาประเทศ หรือการมีชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน วาระประเทศของพวกเขา ไม่ใช่การสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรือง วาระประเทศของพวกเขา ไม่ใช่การส่งเสริมการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม แต่วาระประเทศของพวกเขานั้นคือการรักษาระบบระเบียบปัจจุบันไว้เพื่อให้เขาเสวยสุขได้ตลอดไป เพื่อให้ครองอำนาจทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมืองได้ต่อไป
 
ฉะนั้น การแต่งตั้งโดยใช้เส้นสาย ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมของระบบ แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ระบบอยู่ได้ เพราะพวกเขาไม่ต้องการการแต่งตั้งที่ยึดโยงกับคุณธรรม หรือผลงาน อย่างไรก็ตาม กลุ่มชนชั้นนำ การจะทำเพื่อบรรลุวาระประเทศไทยของพวกเขา คือการสร้างกลไกที่ใหญ่ที่สุด หรือ ระบบรัฐราชการรวมศูนย์ เพื่อคงระบบนี้ไว้ เช่น การผลิตซ้ำวาทกรรมทางความคิดที่รับใช้โครงสร้างทางอำนาจในปัจจุบัน รวมถึงระบบค่านิยมในปัจจุบัน และการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
 
ทั้งนี้ นายธนาธร ยังได้เสนอแนะต่อกลุ่มพีมูฟ และผู้รักความเป็นธรรมในประเทศไทย ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นว่า สนามที่ต้องเจอ คือ สนามรัฐธรรมนูญ, การกระจายอำนาจ, การนิรโทษกรรม และเรื่องที่ดิน ที่จำเป็นจะต้องปักธงให้ได้ โดยประเด็นแรก เรื่องรัฐธรรมนูญ ที่ยังคงไม่ลงรอยกันอยู่ คือ หมวด 1 หมวด 2 ของรัฐธรรมนูญจะทำอย่างไร และการได้มาของ สสร. มาจากไหน โดยข้อเสนอของพรรคก้าวไกล คือการทำให้มี 3 คำถามในประชามติ เพื่อไม่ให้เกิดการล้มการสร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน สำหรับคำถามแรกคือเห็นด้วย เรื่องของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยประชาชนหรือไม่ คำถามตอบมาคือเห็นด้วยหรือไม่ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่ยกเว้น หมวดหนึ่งหมวดสอง และเห็นด้วยหรือไม่ ที่ สสร. จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
 
ประเด็นที่ 2 คือ การนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง ที่ไม่รวมกับการกระทำจนทำให้เกิดคนตาย และการทุจริต โดยประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า จะรวมคดี ม.112 ด้วยหรือไม่ ซึ่งตนขอเสนอว่าการนิรโทษกรรม ควรมีคดีที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน และการทวงคืนผืนป่าเข้าไปด้วย
 
ประเด็นต่อมา คือการกระจายอำนาจ โดยในปีหน้าจะมีการเสนอร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะต้องมีการแก้ไขประเด็นสุดท้าย คือเรื่องที่ดิน ตนคิดว่าเรื่องนี้ในรัฐบาลหลายคน มีความต้องการมากในการทำ บางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องที่ดิน โดยกลไกหลัก ที่ขัดขวางการทำเรื่องที่ดินมากที่สุดในตอนนี้ คือ รัฐราชการ
 
นายธนาธร ยังเสนอทิ้งท้ายว่า ควรจะมีการจัดประชุมและเลือกประเด็นที่ง่าย และได้รับผลกระทบเยอะ และราชการเสียน้อย เพื่อให้เกิด QuickWin และสะสมชัยชนะเล็กๆ ที่แก้ได้โดยระดับรัฐมนตรี ในขณะที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล และพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน มาขับเคลื่อนผ่านกลไกต่างๆ เช่น กรรมาธิการ ภาคประชาสังคมที่รวมตัวกัน หรือกรรมการสิทธิ์ ที่ขับเคลื่อนพร้อมกันในปี 2567



ปริญญา ชี้ ‘กองทุนหมู่บ้าน’ เวิร์กกว่าเติมเงิน ชงยุทธศาสตร์ทำน้อยได้มาก เน้นจ้างงาน อย่าลงที่วัตถุ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4312862

อ.ปริญญา แนะ ‘กองทุนหมู่บ้าน’ เวิร์กกว่าเติมเงินครั้งเดียวจบ ชง ‘ยุทธศาสตร์ทำน้อยได้มาก’ เน้นลงทุนจ้างงาน ไม่ใช่ลงที่วัตถุ
 
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) จัดกิจกรรมระดมทุน “13 ปี พีมูฟ สู่สังคมที่เป็นธรรม” ที่ดิน เสรีภาพ ประชาธิปไตย และความเป็นธรรม โดยมีกิจกรรมตลอดทั้งวัน อาทิ รำลึกวีรชน, การระดมทุนผ้าป่าสามัคคี, การเสวนาวิชาการ, ซุ้มอาหารเครื่อข่าย งานวัฒนธรรม เป็นต้น
 
เวลา 16.00 น. บรรยากาศเสวนาหัวข้อ “สู่อนาคตประชาธิปไตย สู่สังคมไทยที่เป็นธรรม” นำโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า, ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นางสาวกรกนก คำตา อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อพรรคสามัญชน, นางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์,นายพายุ บุญโสภณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง, นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิดวงประทีป และ นางสาวฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ดำเนินรายการ
 
ในตอนหนึ่งของการเสวนา ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องปัญหาเราเห็นตรงกัน เพียงแต่ว่าเราจะแก้อย่างไรให้สำเร็จ ซึ่งก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตย

เมื่อประชาเป็นเจ้าของอธิปไตย ประชาชนชนก็มีอำนาจสูงสุดของประเทศ เป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน ทุกคนมีส่วนร่วมกันไม่ว่าจะเป็นใคร เพศอะไร ชาติพันธุ์ อาชีพการงาน ทุกคนเสมอกันหมด” ผศ.ดร.ปริญญากล่าว
 
ผศ.ดร.ปริญญากล่าวอีกว่า ทีนี้ปัญหาคือเราให้ความเสมอภาคแบบนี้กับตอนหย่อนบัตรเลือกตั้งทีหนึ่ง กับ การลงประชามติทีหนึ่ง แต่พอนอกคูหาเลือกตั้ง มันเหมือนกับประมูลเลขสวยที่เจตนาดี
 
“เดิมมันอยู่ในมือของผู้มีอำนาจที่จองเลขสวยแล้วให้หมู่ พวกกันเอง บางทีก็เอาไปขาย ก็เลยให้ประมูลแล้วให้เหตุผลว่า ทุกคนมีโอกาสได้หมด แต่ปัญหาคือทุกคนมีโอกาสได้หมดจริงหรือ มันได้เพียงคนมีเงินเท่านั้นไง” ผศ.ดร.ปริญญาชี้
 
ผศ.ดร.ปริญญากล่าวต่อว่า การนำไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง เราจะพูดถึงความเสมอภาคทางการเมืองเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ หรือ ต้องมีโอกาสให้คนที่หลากหลายในสังคม
 
ยกตัวอย่าง เหมือนการตีกอล์ฟคนต้องส่งเสริมพัฒนาไง หรือ รถสาธารณะต้องมีที่นั่งให้สตรีมีครรภ์ หรือ คนป่วย ไม่ใช่ว่าเสมอภาคกันแล้วก็ไปแย่งชิงกันก็แล้วกัน แบบนี้ผู้ชายตัวใหญ่ก็เอาไปกินหมด ฉะนั้นสังคม ต้องให้โอกาสเสมอกัน แต่เรื่องทางสังคมหรือทางกายภาพ มันต้องมีการส่งเสริมโอกาส หลักเดียวกันมันต้องใช้กับทุกมิติ แต่ปรากฏว่าเรายังขาดเรื่องนี้อยู่มาก” ผศ.ดร.ปริญญาชี้
 
ผศ.ดร.ปริญญากล่าวว่า แม้กระทั่งเรื่องที่ว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ แล้วบ้านเมืองของเราจะไปข้างหน้าอย่างไร ซึ่งทุกคนมีบัตร 2 ใบเท่ากัน ใบหนึ่งเลือก ส.ส.เขต และ ใบหนึ่งเลือกส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ แล้วจบ
 
มันเหมือนประกาศ TOR ให้มีทีมงานมาบริหารประเทศ มีเงินเดือนเท่านี้มีผลตอบแทนเท่านี้ แล้วก็บริหารประเทศ 4 ปีนี้มีเงินปีละ 3.4 ล้านล้านบาทและมีทรัพยากรอย่างเท่านี้ พรรคการเมืองก็จัดทีมมา แล้วพวกเราก็คนละก็นั่งฟัง จัดทีมพร้อมนโยบาย พรรคไหนได้เสียงข้างมากก็เป็นรัฐบาลไป 4 ปีถูกไหม แล้วก็มีหน้าที่เอานโยบายที่หาเสียงไว้ เอาไปทำเป็นนโยบายประเทศงบประมาณปี หนึ่ง 3.4 ล้านล้านบาท จะใช้อย่างไรก็คือสิ่งที่เขาหาเสียงไว้ก็เอามาทำเป็นนโยบาย ขั้นตอนมันเป็นอย่างงั้น” ผศ.ดร.ปริญญากล่าว
 
ผศ.ดร.ปริญญากล่าวอีกว่า แม้กระทั้งเรื่องนี้เรายังมีปัญหา เพราะว่าเสียงข้างมากเนี่ยพูดหลักการ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคใด ซึ่งตามหลักการพรรคอันดับหนึ่ง รวมเสียงเกินครึ่งก็ต้องเป็นรัฐบาล อันนี้เรายังไม่ได้ ทำให้ปัญหาอื่นก็ยิ่งไม่ได้หนักเข้าไป

ทีนี้จะบอกว่าทำเรื่องหนึ่งเรื่องใดก่อน มันเป็นเรื่องของจังหวะ แต่ว่าในแง่ของความเป็นธรรมสังคมมันต้องสร้างพื้นที่และเปิดให้ทุกมิติได้ขับเคลื่อนสังคมไปด้วยกัน ถ้าพูดถึงในแง่ของทางแก้ปัญหา ผมคิดว่าเราต้องมาผลักดัน ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องทางประชาธิปไตยทางความเสมอภาคทางการเมือง แต่ต้องมาคิดเรื่องความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม ขยับไปพร้อมกัน” ผศ.ดร.ปริญญาชี้
 
ผศ.ดร.ปริญญากล่าวว่า ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจกับทางสังคมนั้น ต้องให้งาน ให้โอกาสให้เขาตั้งตัว ให้ทุน ให้ทรัพยากรแล้วก็ให้ไปการชดเชยตรงที่เขาที่เขาด้อยกว่า ชดเชยเข้าไปให้เขาเท่ากัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่