
- อารมณ์นั่งดูละครเวทีผสมกับละครซิทคอมที่แสดงภาพตามนิทรรศการงานศิลปะที่ไม่ได้จงใจขายมุกตลกคาเฟ่เรียกเสียงหัวเราะหรือบีบคั้นดราม่าเรียกน้ำตาขนาดนั้น แต่เสพเพื่อความสุทรียภาพในแก่นสารที่ปรากฎ ระหว่างที่ดูไปจึงมีความ Balance กับการประชดประชันผ่านวาทกรรมการจิกกัดเสียดสีสังคมผ่านมุมมองคนชนชั้นรากหญ้าในแบบที่พอดี เพราะ ความที่ตัวละครแต่ละคนคิดอย่างไรก็พูดออกมาเลยกลับทำให้ เสน่ห์ของ Dialogue ที่พรรณนามาแต่ละอย่างมันมีความหมายและจริงใจกับคนดู ถึงแม้บางประโยคจะฟังดูสำบัดสำนวนเหมือนเล่นแต่งกลอนอุปมาโวหาร แต่ยอมรับว่า Message ที่แกะออกมาได้โดนทุกดอกจนทำเอาผมทั้งขำทั้งอมยิ้มและขมขื่นจนย้อนกลับไปมองความเป็นจริงแล้วถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น

- เวลาสั้น ๆ แค่ 1 ชั่วโมง 26 นาที แบบนี้กำลังดี ไม่เวิ่นเว้อเกินความจำเป็น ทำให้การเดินเรื่องดูค่อยเป็นค่อยไปตามสไตล์หนังยุโรปในแบบที่ให้เนื้อที่มากกว่าน้ำบวกกับสกอร์ช่วยบิ๊วท์ให้เรื่องยียวนขึ้น ลื่นไหลตามไปกับความหน้านิ่งของตัวพระ-นางแต่ปากกับใจตรงกันเกินเลยทำให้ความสัมพันธ์มันพัฒนาไปอย่างไว ขณะเดียวกันดันมีอุปสรรคบางอย่างของแต่ละคนให้ต้องคลาดกันตลอดไม่ใครก็ใคร กว่าจะพบเจอกันแต่ละทีเล่นเอาลุ้นไปตามกัน ตรงนี้แหล่ะที่ผม Enjoy ไปกับความซื่อปนโบ๊ะบ๊ะของทั้งคู่ได้อย่างสบายใจไปจนจบโดยไม่ต้องหยิบมือถือดูนาฬิกามาเป็นระยะว่าผ่านไปกี่โมง เมื่อไหร่หนังจะจบ

- ผิดคาดไปหน่อยคิดว่ามันจะเป็นหนังที่ขายความเป็นหนังมากกว่านี้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำหน้าที่ใช้ตัว โรงหนัง เป็นสื่อกลางนำพาความสัมพันธ์ให้พระ-นางมันได้ขับเคลื่อนต่อไป อีกทั้งเป็นกระจกสะท้อนภาพของคนชนชั้นล่างที่ต้องต่อสู้กับวงจรวนลูปของคนทำงานราวกับเป็นฟันเฟืองชิ้นเล็ก ๆ เพื่อเป็นน้ำเลี้ยงต่อท่อให้ระบบอำนาจทุนนิยมมัน Run ต่อไปแล้วนอกจากดิ้นรนเพื่อปากท้องแล้วยังเรียกหาความเป็นธรรมในเรื่องความรักที่แม้แต่คนเป็น Introvert ก็ยังต้องโหยหาจากมัน ถึงแม้จะไม่ได้มี Scene ชวนโรแมนติกมากมายอะไรแต่นัยยะที่สื่อมันไปมันถ่ายทอดออกมาได้ละมุนกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะความแซะวงการหนังที่มีการพูดถึงผู้กำกับร่วมรุ่น อย่าง Jim Jarmusch หรือศิลปินทางฝั่งยุโรปแถมมันเชื่อมโยงไปยันโลก ศิลปะ ดนตรี ประวัติศาสตร์ และ การเมือง ที่เป็น Topic รอบ ๆ ตัวเรา มองในมุมบ้านเราถือว่าเป็นเรื่องแปลกตาไปซักหน่อยแต่สำหรับบ้านเขาเป็นเรื่องปกติที่เขาเม้ามอยกันเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ก็ไม่มีอุปสรรคต่อการดูเท่าไหร่

- ส่วนตัวไม่เคยรู้จักผู้กำกับมาก่อนว่าสไตล์การกำกับจากผลงานที่ผ่านมาของแกเป็นอย่างไร แต่พอหลังจากดูจบปุ๊ปมันถูกจริตผมทันที คือ นั่งดูไปคิดอยู่ว่านึกถึงเรื่องอะไร นึกไปนึกมานึกถึงเรื่อง La La land (2016) ขึ้นมาในหัว เพราะ การ Set บรรยากาศให้เหมือนอยู่ในช่วงยุค 60-70’s มันคือจดหมายรักมรดกตกทอดจากอิทธิพลของคนทำหนังสมัยก่อนส่งสารไปถึงคนรุ่นใหม่โดยตรงแล้วโชว์ให้เด็กมันดูว่าคนยุคนั้นเขาทำกันอย่างไรโดยที่ไม่มีเทคโนโลยีทันสมัยเหมือนในปัจจุบัน ไม่ทั้ง บ้านช่อง , เสื้อผ้า , โทรศัพท์บ้าน , วิทยุทรานซิสเตอร์ หรือ โรงหนังสแตนด์อะโลน ก็ยังคงความเป็น Vintage อยู่ไม่เสื่อมคลาย จนผมคิดกับตัวเองว่าตกลงหนังเดินอยู่ในยุคไหนกันแน่วะ ? ถึงว่าทำไมตัวละครในเรื่องไม่ค่อยมีใครใช้ Smartphone เลยซักคน

- สรุป ชอบมาก ชวนให้คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ เป็นหนังอาร์ตที่ดูง่ายตอบโจทย์คนโสดที่มีโลกส่วนตัวสูงในวัยผู้ใช้แรงงานที่ชอบการดูหนังอย่างผมเป็นอย่างมาก รู้อยู่แล้วว่าหนังไม่ได้ทำมาเพื่อขายความบันเทิงแบบหนังกระแสหลักแต่เน้นนำเสนอ Details ผ่านวาทกรรมการตั้งคำถามมาแล้วโดยนักกวีปัญญาชนไปเรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบ ถึงแม้ตัวหนังไม่ได้บอกตรง ๆ เหมือนนิทานสอนใจชายว่าโลกของคนวัยนี้ Status นี้ควรมีวิธีรับมือปัญหาวางแผนกับชีวิตอย่างไรในหนทางข้างหน้าที่มีแต่ความไม่แน่นอน ที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การเติบโตในหน้าที่การงานและทางเศรษฐกิจ ไม่ได้เอื้ออำนวยให้คนทุกชนชั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามที่กำหนดนโยบายไว้ โดยเฉพาะคนชนชั้นล่างลงมาเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดที่จะเป็นคนชายขอบ มือใครยาวสาวได้สาวเอาถึงจะอยู่รอด แต่กลับให้เราดูจากสิ่งที่เห็นแล้วนำไปตีความกันต่อเองเลยถูกใจผมเป็นพิเศษ ถ้าใครดูหนังประเภทนี้บ่อย ๆ จะรู้ Concept ได้ไม่ยาก

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.72 Fallen Leaves : เธอกับฉันและเรื่องของเรา
- อารมณ์นั่งดูละครเวทีผสมกับละครซิทคอมที่แสดงภาพตามนิทรรศการงานศิลปะที่ไม่ได้จงใจขายมุกตลกคาเฟ่เรียกเสียงหัวเราะหรือบีบคั้นดราม่าเรียกน้ำตาขนาดนั้น แต่เสพเพื่อความสุทรียภาพในแก่นสารที่ปรากฎ ระหว่างที่ดูไปจึงมีความ Balance กับการประชดประชันผ่านวาทกรรมการจิกกัดเสียดสีสังคมผ่านมุมมองคนชนชั้นรากหญ้าในแบบที่พอดี เพราะ ความที่ตัวละครแต่ละคนคิดอย่างไรก็พูดออกมาเลยกลับทำให้ เสน่ห์ของ Dialogue ที่พรรณนามาแต่ละอย่างมันมีความหมายและจริงใจกับคนดู ถึงแม้บางประโยคจะฟังดูสำบัดสำนวนเหมือนเล่นแต่งกลอนอุปมาโวหาร แต่ยอมรับว่า Message ที่แกะออกมาได้โดนทุกดอกจนทำเอาผมทั้งขำทั้งอมยิ้มและขมขื่นจนย้อนกลับไปมองความเป็นจริงแล้วถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น
- เวลาสั้น ๆ แค่ 1 ชั่วโมง 26 นาที แบบนี้กำลังดี ไม่เวิ่นเว้อเกินความจำเป็น ทำให้การเดินเรื่องดูค่อยเป็นค่อยไปตามสไตล์หนังยุโรปในแบบที่ให้เนื้อที่มากกว่าน้ำบวกกับสกอร์ช่วยบิ๊วท์ให้เรื่องยียวนขึ้น ลื่นไหลตามไปกับความหน้านิ่งของตัวพระ-นางแต่ปากกับใจตรงกันเกินเลยทำให้ความสัมพันธ์มันพัฒนาไปอย่างไว ขณะเดียวกันดันมีอุปสรรคบางอย่างของแต่ละคนให้ต้องคลาดกันตลอดไม่ใครก็ใคร กว่าจะพบเจอกันแต่ละทีเล่นเอาลุ้นไปตามกัน ตรงนี้แหล่ะที่ผม Enjoy ไปกับความซื่อปนโบ๊ะบ๊ะของทั้งคู่ได้อย่างสบายใจไปจนจบโดยไม่ต้องหยิบมือถือดูนาฬิกามาเป็นระยะว่าผ่านไปกี่โมง เมื่อไหร่หนังจะจบ
- ผิดคาดไปหน่อยคิดว่ามันจะเป็นหนังที่ขายความเป็นหนังมากกว่านี้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำหน้าที่ใช้ตัว โรงหนัง เป็นสื่อกลางนำพาความสัมพันธ์ให้พระ-นางมันได้ขับเคลื่อนต่อไป อีกทั้งเป็นกระจกสะท้อนภาพของคนชนชั้นล่างที่ต้องต่อสู้กับวงจรวนลูปของคนทำงานราวกับเป็นฟันเฟืองชิ้นเล็ก ๆ เพื่อเป็นน้ำเลี้ยงต่อท่อให้ระบบอำนาจทุนนิยมมัน Run ต่อไปแล้วนอกจากดิ้นรนเพื่อปากท้องแล้วยังเรียกหาความเป็นธรรมในเรื่องความรักที่แม้แต่คนเป็น Introvert ก็ยังต้องโหยหาจากมัน ถึงแม้จะไม่ได้มี Scene ชวนโรแมนติกมากมายอะไรแต่นัยยะที่สื่อมันไปมันถ่ายทอดออกมาได้ละมุนกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะความแซะวงการหนังที่มีการพูดถึงผู้กำกับร่วมรุ่น อย่าง Jim Jarmusch หรือศิลปินทางฝั่งยุโรปแถมมันเชื่อมโยงไปยันโลก ศิลปะ ดนตรี ประวัติศาสตร์ และ การเมือง ที่เป็น Topic รอบ ๆ ตัวเรา มองในมุมบ้านเราถือว่าเป็นเรื่องแปลกตาไปซักหน่อยแต่สำหรับบ้านเขาเป็นเรื่องปกติที่เขาเม้ามอยกันเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ก็ไม่มีอุปสรรคต่อการดูเท่าไหร่
- ส่วนตัวไม่เคยรู้จักผู้กำกับมาก่อนว่าสไตล์การกำกับจากผลงานที่ผ่านมาของแกเป็นอย่างไร แต่พอหลังจากดูจบปุ๊ปมันถูกจริตผมทันที คือ นั่งดูไปคิดอยู่ว่านึกถึงเรื่องอะไร นึกไปนึกมานึกถึงเรื่อง La La land (2016) ขึ้นมาในหัว เพราะ การ Set บรรยากาศให้เหมือนอยู่ในช่วงยุค 60-70’s มันคือจดหมายรักมรดกตกทอดจากอิทธิพลของคนทำหนังสมัยก่อนส่งสารไปถึงคนรุ่นใหม่โดยตรงแล้วโชว์ให้เด็กมันดูว่าคนยุคนั้นเขาทำกันอย่างไรโดยที่ไม่มีเทคโนโลยีทันสมัยเหมือนในปัจจุบัน ไม่ทั้ง บ้านช่อง , เสื้อผ้า , โทรศัพท์บ้าน , วิทยุทรานซิสเตอร์ หรือ โรงหนังสแตนด์อะโลน ก็ยังคงความเป็น Vintage อยู่ไม่เสื่อมคลาย จนผมคิดกับตัวเองว่าตกลงหนังเดินอยู่ในยุคไหนกันแน่วะ ? ถึงว่าทำไมตัวละครในเรื่องไม่ค่อยมีใครใช้ Smartphone เลยซักคน
- สรุป ชอบมาก ชวนให้คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ เป็นหนังอาร์ตที่ดูง่ายตอบโจทย์คนโสดที่มีโลกส่วนตัวสูงในวัยผู้ใช้แรงงานที่ชอบการดูหนังอย่างผมเป็นอย่างมาก รู้อยู่แล้วว่าหนังไม่ได้ทำมาเพื่อขายความบันเทิงแบบหนังกระแสหลักแต่เน้นนำเสนอ Details ผ่านวาทกรรมการตั้งคำถามมาแล้วโดยนักกวีปัญญาชนไปเรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบ ถึงแม้ตัวหนังไม่ได้บอกตรง ๆ เหมือนนิทานสอนใจชายว่าโลกของคนวัยนี้ Status นี้ควรมีวิธีรับมือปัญหาวางแผนกับชีวิตอย่างไรในหนทางข้างหน้าที่มีแต่ความไม่แน่นอน ที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การเติบโตในหน้าที่การงานและทางเศรษฐกิจ ไม่ได้เอื้ออำนวยให้คนทุกชนชั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามที่กำหนดนโยบายไว้ โดยเฉพาะคนชนชั้นล่างลงมาเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดที่จะเป็นคนชายขอบ มือใครยาวสาวได้สาวเอาถึงจะอยู่รอด แต่กลับให้เราดูจากสิ่งที่เห็นแล้วนำไปตีความกันต่อเองเลยถูกใจผมเป็นพิเศษ ถ้าใครดูหนังประเภทนี้บ่อย ๆ จะรู้ Concept ได้ไม่ยาก
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้