คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ภิกษุผู้เลี้ยงมารดา
ในสมัยพุทธกาล บุตรของครอบครัวมีอันจะกินผู้หนึ่งเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า
บวชแล้วก็จากบ้านเกิดเมืองนอนไปปฏิบัติธรรมในป่าเป็นเวลา 5 ปี หารู้ไม่ว่าครอบครัวของตนเกิดวิกฤติ ทรัพย์สินร่อยหรอลงไป บิดาตายพี่น้องแยกย้ายกันไป เหลือแต่โยมมารดาคนเดียว ต้องอยู่อย่างแร้นแค้น
ภิกษุหนุ่มทราบภายหลัง มีความวิตกกังวลถึงแม่ ตนเองปลีกเอาตัวรอดคนเดียวนั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง
ยิ่งคิดมาก การปฏิบัติธรรมก็ไม่ก้าวหน้า จึงตัดสินใจจะสึกเพื่อดูแลแม่ ก่อนไปหาแม่ได้เข้ากราบทูลลาพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า
การเลี้ยงดูบิดามารดานั้น เป็นพระภิกษุก็เลี้ยงได้ไม่จำเป็นต้องลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์
ภิกษุหนุ่มดีใจที่ไม่ต้องสึก เวลาไปบิณฑบาต ได้ข้าวปลาอาหารที่มีผู้ใส่บาตร ท่านก็เอาไปให้มารดาแล้วก็กลับวัด
วันไหนได้ข้าวมาก็ให้โยมแม่มาก และตนเอาแต่น้อย แต่วันไหนได้น้อย ก็ให้โยมแม่หมด ตนเองก็อดฉัน
ได้ผ้าที่เขาถวายมา ก็นำไปให้โยมแม่เย็บทำผ้านุ่งผ้าห่ม ส่วนตนเองก็ใช้จีวรเก่าขาด จนกระทั่งร่างกายซูบผอมไป
พระภิกษุทั้งหลายเห็นท่านซูบผอม ผิวพรรณไม่ผ่องใส จึงถามว่าเป็นอะไร ท่านก็เล่าให้ฟัง
แทนที่ท่านเหล่านั้นจะยินดีด้วยกลับติเตียนท่านต่างๆ นานา หาว่าทำลายศรัทธาของชาวบ้าน
ชาวบ้านเขาใส่บาตรให้พระฉัน กลับเอาไปให้แม่กินจึงพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลให้ทรงทราบ
พระพุทธเจ้ารับสั่งให้ภิกษุหนุ่มมาเฝ้า ตรัสถามว่า เธอบิณฑบาตเอาข้าวไปเลี้ยงมารดาหรือ
ภิกษุหนุ่มกราบทูลว่า พระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ประทานสาธุการ 3 ครั้งว่า
"สาธุ สาธุ สาธุ"
แล้วตรัสให้ได้ยินโดยทั่วกันว่า
"ดีแล้ว ภิกษุเธอได้ดำเนินตามมรรคที่ถูกต้องแล้ว ภิกษุทั้งหลาย
การเลี้ยงมารดาบิดาเป็น "วงศ์" (ธรรมเนียมที่พึงปฏิบัติ)ของบัณฑิตทั้งหลาย
ในสมัยพุทธกาล บุตรของครอบครัวมีอันจะกินผู้หนึ่งเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า
บวชแล้วก็จากบ้านเกิดเมืองนอนไปปฏิบัติธรรมในป่าเป็นเวลา 5 ปี หารู้ไม่ว่าครอบครัวของตนเกิดวิกฤติ ทรัพย์สินร่อยหรอลงไป บิดาตายพี่น้องแยกย้ายกันไป เหลือแต่โยมมารดาคนเดียว ต้องอยู่อย่างแร้นแค้น
ภิกษุหนุ่มทราบภายหลัง มีความวิตกกังวลถึงแม่ ตนเองปลีกเอาตัวรอดคนเดียวนั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง
ยิ่งคิดมาก การปฏิบัติธรรมก็ไม่ก้าวหน้า จึงตัดสินใจจะสึกเพื่อดูแลแม่ ก่อนไปหาแม่ได้เข้ากราบทูลลาพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า
การเลี้ยงดูบิดามารดานั้น เป็นพระภิกษุก็เลี้ยงได้ไม่จำเป็นต้องลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์
ภิกษุหนุ่มดีใจที่ไม่ต้องสึก เวลาไปบิณฑบาต ได้ข้าวปลาอาหารที่มีผู้ใส่บาตร ท่านก็เอาไปให้มารดาแล้วก็กลับวัด
วันไหนได้ข้าวมาก็ให้โยมแม่มาก และตนเอาแต่น้อย แต่วันไหนได้น้อย ก็ให้โยมแม่หมด ตนเองก็อดฉัน
ได้ผ้าที่เขาถวายมา ก็นำไปให้โยมแม่เย็บทำผ้านุ่งผ้าห่ม ส่วนตนเองก็ใช้จีวรเก่าขาด จนกระทั่งร่างกายซูบผอมไป
พระภิกษุทั้งหลายเห็นท่านซูบผอม ผิวพรรณไม่ผ่องใส จึงถามว่าเป็นอะไร ท่านก็เล่าให้ฟัง
แทนที่ท่านเหล่านั้นจะยินดีด้วยกลับติเตียนท่านต่างๆ นานา หาว่าทำลายศรัทธาของชาวบ้าน
ชาวบ้านเขาใส่บาตรให้พระฉัน กลับเอาไปให้แม่กินจึงพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลให้ทรงทราบ
พระพุทธเจ้ารับสั่งให้ภิกษุหนุ่มมาเฝ้า ตรัสถามว่า เธอบิณฑบาตเอาข้าวไปเลี้ยงมารดาหรือ
ภิกษุหนุ่มกราบทูลว่า พระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ประทานสาธุการ 3 ครั้งว่า
"สาธุ สาธุ สาธุ"
แล้วตรัสให้ได้ยินโดยทั่วกันว่า
"ดีแล้ว ภิกษุเธอได้ดำเนินตามมรรคที่ถูกต้องแล้ว ภิกษุทั้งหลาย
การเลี้ยงมารดาบิดาเป็น "วงศ์" (ธรรมเนียมที่พึงปฏิบัติ)ของบัณฑิตทั้งหลาย
แสดงความคิดเห็น
พระสงฆ์ เปลี่ยน แพมเพิดให้แม่ ป่วยติดเตียงผิดพระวินัยไหม
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ภายในวัดสุทธาวาส ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังรับทราบ
เรื่องราวของพระมหากิตติพงษ์ วิสารโท อายุ 22 ปี พระลูกวัดสุทธาวาส
ที่กตัญญูดูแลโยม แม่นางวันเพ็ญ เกตุชัย อายุ 62 ปี ที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่ภายในกุฎิ
ไม่รับรู้และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ มากว่า 2 ปี
พระมหากิตติพงษ์ วิสารโท เล่าว่า ก่อนหน้านี้จำพรรษาอยู่อำเภอเมืองชลบุรี ก่อนมาจำพรรษาที่วัดสุทธาวาส
บวชมาแล้ว 3 พรรษา บวชตั้งแต่สมเณร และบุตรคนเดียว โยมพ่อเสียชีวิตก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่ง
โยมแม่ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรก คือภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง
เลยต้องรับโยมแม่มาอยู่ด้วยเนื่องจากไม่มีใครดูแล
โดยช่วงแรกเช่าห้องพักให้โยมแม่อยู่ใกล้ๆวัด เพื่อจะได้คอยดูแล
หลังออกบิณฑบาตทุกวันก็แบ่งอาหารที่ได้มาให้โยมแม่รับประทาน
เพื่อประทังชีวิตไปวันๆ ระยะแรกพูดคุยได้ ตนพาโยมแม่นั่งวิลแชร์มาวัดพบญาติโยมที่มาปฎิบัติธรรมเป็นประจำเพื่อให้โยมแม่คลายเหงา
กระทั่ง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ขาไม่มีแรง ไม่มีกำลังไปเฉยๆ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ตนเลยขอเจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส พระมหาฐาวร ฐานวโร เจ้าคณะอำเภอบางละมุง ขอนำโยมแม่มาอยู่ที่วัด ท่านก็เมตตาให้มาพักในกุฎิชั้นล่าง เพื่อง่ายต่อการดูแล ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างห้องเช่า กับ วัด อีกทั้งเป็นการลดค่าใช้จ่าย ค่าเช่าบ้าน-ค่าน้ำ-ไฟ คงเหลือรายจ่ายสิ้นเปลือง เช่น ค่าแพมเพิร์ส ค่าอาหารเหลว สำหรับผู้ป่วยที่เป็นรายจ่ายประจำเท่านั้น
พระมหากิตติพงษ์ วิสารโท ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า
แต่ละวันหลังเสร็จจากกิจสงฆ์หรือไม่ได้ออกไปสอนธรรมให้เด็กนักเรียน
ก็จะแวะเวียนมาดูแลโยมแม่ทุก 2 ชั่วโมง
คอยให้อาหารเหลว น้ำ ยา เช็ดตัว
และเปลี่ยนแพมเพิร์ส พลิกตัวทุก ๆ 2 ชั่วโมง
ซึ่งเจ้าอาวาส รวมทั้งพระรูปอื่นๆ ท่านเข้าใจความเป็นลูก
พระมหากิตติพงษ์ วิสารโท
ยังกล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับการดูแลโยมแม่
เหมือนมีคนเคยสงสัยโยมแม่เป็นผู้หญิง
ตนเองเป็นพระมันจะดีหรือ
ซึ่งตนเองคิดว่า แม่ก็เปรียบเสมือนพระอรหันต์
ตนเองเป็นพระธรรมดาจะดูแลพระอรหันต์ไม่ได้หรือ
ซึ่งในปัจุบันได้รับการช่วยเหลือจากทางเจ้าอาวาสเดือนละ 4,000 บาท ซึ่งตนเองมีหน้าที่สอนพระพุทธศาสนาให้กับสามเณรรวมถึงพระรูปอื่นๆ และได้ค่าสอนจาก รร.อีกเดือนละ 2,000 บาท ส่วนกิจนิมนต์พอมีบ้าง แต่ค่าดูแลโยมแม่ตอนนี้ตกเดือนละ 7,000 บาท ซึ่งตอนนี้โยมแม่ต้องกินอาหารเสริมทางสายยาง และใช้แพมเพิร์สผู้ใหญ่ หากผู้มีจิตใจบุญจะนำอาหารเสริมหรือแพมเพิร์สสามารถนำมาให้ที่วัดได้ (-009)
https://www.naewna.com/likesara/771522