ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 13
เรียกผมมาตอบแล้ว ถ้าอย่างไรก็ตอบกลับด้วยก็ดีครับ จะได้เป็นการแลกเปลี่ยนกัน
ตามหลักฐานชั้นต้นของดัตช์และฝรั่งเศสกล่าวถึง "พระคลัง" คือเสนาบดีกรมพระคลังชาวจีนเข้าข้างเจ้าฟ้าอภัย เจ้าฟ้าปรเมศวร์ในศึกชิงอำนาจ แต่เมื่อเจ้าฟ้าอภัยพ่ายแพ้จึงหนีไปบวช ก่อนจะถูกจับตัวกลับมาประหารในภายหลัง
อ้างอิงรายงานของปีเตอร์ ไซเอ็น (Pieter Sijen) หัวหน้าสถานีการค้า (opperhoofd) บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ประจำสยามในเวลานั้น ถึงเมืองปัตตาเวีย ใน ค.ศ. 1633 และรายงานของชาวดัตช์ชื่อ วิลเลิม เดอ ไค (Willem de Ghij) ใน ค.ศ. 1634 (พ.ศ. 2277) ระบุว่าตอนแรกพระคลังชาวจีนได้รับการไว้ชีวิตเนื่องจากมีผ้าเหลืองคุ้มกายอยู่ แต่กล่าวกันว่าสาเหตุหนึ่งเพราะยังมีเครือข่ายอิทธิพลในราชสำนัก พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศต้องการจะสังหารพระคลังชาวจีนแต่เพราะทรงถูกกดดันจึงโปรดให้คุมขังไว้ในวัดแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นไม่กี่เดือนพระคลังชาวจีนผู้นี้ถูกลากตัวออกมาจากวัดและถูกชาวมลายูสองคนสังหารทิ้ง โดยดัตช์ได้ยินว่าพระโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร) เป็นผู้ออกคำสั่ง แต่เชื่อกันว่าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงรู้เห็นด้วยแต่ทรงเกรงว่าจะทำให้เหล่าพระสงฆ์ไม่พอใจที่สังหารพระ ภายหลังจากถวายพระเพลิงพระเจ้าท้ายสระแล้ว พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้พระราชทานอภัยโทษให้ข้าราชการชาวมลายูสองคนที่สังหารพระคลังชาวจีน
หลายแห่งอ้างว่าพระคลังชาวจีนที่ถูกประหารทั้งผ้าเหลืองคนนี้คือ “พระยาโกษาธิบดีจีน” ที่เป็นแม่ทัพเรือไปทำสงครามในเขมรช่วง ค.ศ. 1717-1718 (พ.ศ. 2260-2261) แต่จดหมายเหตุเรื่องการกดขี่มิชชันนารีในสยามใน ค.ศ. 1730 (พ.ศ. 2273) ของสังฆราชฌ็อง-ฌัก เตสซีเย เดอ เกราแล (Jean-Jacques Tessier de Quéralay) ประมุขมิสซังสยามในรัชกาลพระเจ้าท้ายสระถึงพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้บันทึกถึงเสนาบดีกรมพระคลังในช่วงปลายรัชกาลว่า “พระคลังเป็นคนอายุน้อย ไม่คุ้นเคยเรื่องในอดีต” (Le barcalon qui est jeune et peu courant des affaires passées) ในขณะที่จดหมายเหตุของโอมงต์ระบุว่าสังฆราชเตสซีเย เดอ เกราแล ได้ไปเข้าร่วมในที่ประชุมเรื่องคริสต์ศาสนาที่มีพระเจ้าท้ายสระ พระมหาอุปราช จักรี (สมุหนายก) และพระคลัง เจ้านายเชื้อพระวงศ์เก่าองค์หนึ่ง และข้าราชการอื่นๆ โดยระบุว่า “พระคลังเป็นคนที่หนุ่มที่สุด” (Le barcalon étant le plus jeune) ในที่ประชุม
พิจารณาจากอายุของพระคลังคนนี้ที่ยังหนุ่ม อายุน้อยกว่าทั้งพระเจ้าท้ายสระและพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จึงไม่ควรเป็นบุคคลเดียวกับ "พระยาโกษาธิบดีจีน" ที่หลักฐานของมิชชันนารีฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1714 (พ.ศ. 2257) รายงานว่าเป็นขุนนางที่ทรงอิทธิพลมากและได้รับการโปรดปรานนับถือมาตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าเสือ และพระเจ้าท้ายสระก็ทรงโปรดปรานนับถือเช่นเดียวกัน
เมื่อเปรียบเทียบกับพระราชพงศาวดาร กล่าวถึงขุนนางฝ่ายเจ้าฟ้าอภัย 2 คนที่หนีไปบวชและถูกแขกจามแทงตายในวัดทั้งผ้าเหลืองเช่นเดียวกัน แต่ระบุชื่อว่า พระยาพิชัยราชา (เสม) กับพระยายมราช (พูน) (พระยาพิชัยราชาเอกสารบางฉบับเรียกว่า ‘พระยาอภัยราชา’ คำว่า ‘พิชัย’ กับ ‘อภัย’ มักสะกดสลับกันในเอกสารสมัยอยุทธยาและต้นรัตนโกสินทร์)
“เสม พิชัยราชา พูน ยมราช หนีไปบวช จับมาได้ ณ เมืองสุพรรณ เอามาคุมไว้ที่วัดฝาง สังข์ ราชาบริบาล หนีไปบวช เป็นเถร จับได้ณแขวงเมืองบ่อชุม เจ้าทั้งสองพระองค์นั้นให้ประหารเสียด้วยท่อนจันทน์ เสม พิชัยราชา พูน ยมราช นั้น แขกจามแทงเสียนอกประตูวัดฝาง สังข์ ราชาบริบาล สึกออกเอาไปล้างเสีย ณ ตะแลงแกงนั้น” – พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
“ส่วนนายเสมพญาพิไชยราชา แลนายพูนพญายมราช คนทังสองนี้ ครั้นเจ้าหนีไปแล้ว ก็ภากันหนีไปบวดเปนภิกษุอยู่ในแขวงเมืองสุพรรณบูรีย ข้าหลวงทังหลายติดตามไปได้ตัวภิกษุทั้งสองนั้นมา ให้รักษาคุมตัวไว้ในวัดฝาง นายสังราชาบริบาล หนีไปบวดอยู่แขวงเมืองบัวชุม ข้าหลวงติดตามไปได้ตัวมา ศึกออกแล้วให้ประหารชีวิตรเสียที่หัวตะแลงแกง พระมะหาอุปราชให้แขกจามมาแทงภิกขุสองรูปอันอยู่ที่วัดฝางนั้นตายเพลากลางคืน” – พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน
“อันพระยาอภัยราชา กับพระยายมราชหนีไปบวชเป็นสงฆ์ เป็นกรรมที่จักตายนั้น จึ่งแต่งแขกอาสาออกไป ครั้นเวลาค่ำแขกอาสาจึ่งเข้าไปแทงเสียทั้งสองคน อันพระยาอภัยกับพระยายมราชก็ถึงแก่ความตาย” – ความแทรก "คำให้การ" เกี่ยวกับสมัยพระนครศรีอยุธยาตอนปลาย ในเอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดประดู่ทรงธรรม
พระยายมราชเป็นตำแหน่งเสนาบดีกรมพระนครบาล ส่วนตำแหน่ง “พิชัยราชา” หรือ “อภัยราชา” ไม่ปรากฏในทำเนียบขุนนางในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนหรือนาทหารหัวเมืองสมัยอยุทธยา แต่ปรากฏในเอกสารคำให้การชาวกรุงเก่าว่า “พระยาอภัยราชา” เป็นตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดี ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายว่าราชทินนาม “พิชัยราชา” ในสมัยอยุทธยาใช้เป็นตำแหน่งผู้ช่วยราชการในกรมพระคลัง (ไม่ทราบแน่ชัดว่าอ้างอิงจากหลักฐานใด) ในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศมีชาวจีนคนหนึ่งเป็น “หลวงพิชัยราชา” ซึ่งได้ติดตามพระยาตาก (สิน) ฝ่าทัพพม่าออกจากพระนคร ในสมัยธนบุรีได้เป็นเจ้าพระยาพิชัยราชา เจ้าเมืองสวรรคโลก
หากสันนิษฐานตำแหน่งราชการพิจารณาเทียบกับหลักฐานชั้นต้นของดัตช์และฝรั่งเศส มีความเป็นไปได้ว่าพระยาพิชัยราชา (เสม) (ถ้าเชื่อว่าเป็นตำแหน่งผู้ช่วยราชการในกรมพระคลัง) อาจเป็นบุคคลเดียวกับ “พระคลังชาวจีน” ในหลักฐานฝรั่งเศสและดัตช์ที่ถูกแขกสังหารในผ้าเหลืองเหมือนกัน โดยขุนนางผู้นี้อาจได้ว่าราชการเป็นที่ “พระยาพระคลัง” หรือ “โกษาธิบดี” อยู่ในเวลานั้น จึงทำให้ชาวต่างประเทศเรียกว่า “พระคลัง” (barcalon) เพราะบ่อยครั้งที่หลักฐานยุโรปมักเรียกขุนนางที่มีอำนาจตัวจริงในกรมพระคลังว่า "พระคลัง" แม้ว่าจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นโกษาธิบดีเสนาบดีกรมพระคลังโดยตรงก็ตาม
แต่ทั้งนี้ไม่ว่า "พระคลังชาวจีน" ช่วงปลายรัชกาลพระเจ้าท้ายสระคนนี้จะเป็นคนเดียวกับพระยาพิชัยราชา (เสม) หรือไม่ จากข้อมูลเท่าที่ปรากฏคือมีอิทธิพลเครือข่ายมากพอสมควร ยังมีอายุน้อยแต่ดำรงตำแหน่งเป็นที่เสนาบดีแล้ว และกดขี่ศาสนาคริสต์กับมิชชันนารีในสยามมาก พระคลังคนนี้เคยจับเด็กชาวจีนที่เป็นคริสต์ที่มิชชันนารีจากเมืองจีนส่งมาสยามไปให้ขุนนางจีนคุมตัวไว้ บังคับให้เข้าวัดจีนและกราบรูปเคารพ เมื่อไม่กราบก็ทรมานต่างๆ และให้ขุนนางจีนคุมขังไว้อย่างนักโทษ จนมิชชันนารีถึงกับบันทึกว่าพระคลังคนนี้เตรียมจะจัดการฆ่าล้างมิชชันนารีให้หมดเมื่อเจ้าฟ้าอภัยชนะศึก แต่เผอิญพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศชนะทำให้พระคลังถูกกำจัด
ไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า "พระคลังชาวจีน" เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับพระยาโกษาธิบดีจีนที่ไปรบที่เขมร แต่เป็นไปได้จะอยู่ในเครือข่ายอิทธิพลของโกษาธิบดีจีนที่สนับสนุนชาวจีนให้มาดำรงตำแหน่งสำคัญจำนวนมาก และพิจารณาจากการได้เป็นที่เสนาบดีพระคลังตั้งแต่อายุน้อย ก็มีโอกาสที่จะเป็นคนในครอบครัวที่อาศัยบารมีของโกษาธิบดีจีนจนเป็นใหญ่ก็เป็นได้
มีการสันนิษฐานว่าโกษาธิบดีจีนที่ไปรบที่เขมรเป็นจีนฮกเกี้ยน เนื่องจากถูกกล่าวถึงในบันทึกรายวันที่ฟอร์ตเซนต์จอร์จ (Fort St. George) เมืองมัทราส (Madras) ในอินเดียว่ามีญาติเป็นขุนนางเมืองเซี่ยเหมินในฮกเกี้ยน
"พระคลังชาวจีน" คนนี้มีแนวโน้มจะเป็นจีนฮกเกี้ยนเหมือนกัน เพราะหลังจากที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศครองราชย์ไม่นาน ใน ค.ศ. 1634 (พ.ศ. 2277) เกิดกบฏของชาวจีนชุมชนนายก่าย ชุมชนจีนฮกเกี้ยนที่ใหญ่ที่สุดในกรุงศรีอยุทธยาจำนวนกว่า 300 คน พยายามบุกยึดพระราชวังหลวงระหว่างที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จไปล้อมช้างที่แขวงเมืองลพบุรี โดยมีจุดประสงค์ในการตั้งพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ที่จะให้คุณแก่พวกตนมากขึ้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์มีการวิเคราะห์ว่าการก่อกบฏของจีนนายก่ายอาจเป็นผลจากความไม่พอใจที่ "พระคลังชาวจีน" ถูกประหาร หรือเพราะชาวจีนได้รับผลกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ทำให้ขุนนางจีนสมัยพระเจ้าท้ายสระหลายคนถูกกำจัด
ตามหลักฐานชั้นต้นของดัตช์และฝรั่งเศสกล่าวถึง "พระคลัง" คือเสนาบดีกรมพระคลังชาวจีนเข้าข้างเจ้าฟ้าอภัย เจ้าฟ้าปรเมศวร์ในศึกชิงอำนาจ แต่เมื่อเจ้าฟ้าอภัยพ่ายแพ้จึงหนีไปบวช ก่อนจะถูกจับตัวกลับมาประหารในภายหลัง
อ้างอิงรายงานของปีเตอร์ ไซเอ็น (Pieter Sijen) หัวหน้าสถานีการค้า (opperhoofd) บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ประจำสยามในเวลานั้น ถึงเมืองปัตตาเวีย ใน ค.ศ. 1633 และรายงานของชาวดัตช์ชื่อ วิลเลิม เดอ ไค (Willem de Ghij) ใน ค.ศ. 1634 (พ.ศ. 2277) ระบุว่าตอนแรกพระคลังชาวจีนได้รับการไว้ชีวิตเนื่องจากมีผ้าเหลืองคุ้มกายอยู่ แต่กล่าวกันว่าสาเหตุหนึ่งเพราะยังมีเครือข่ายอิทธิพลในราชสำนัก พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศต้องการจะสังหารพระคลังชาวจีนแต่เพราะทรงถูกกดดันจึงโปรดให้คุมขังไว้ในวัดแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นไม่กี่เดือนพระคลังชาวจีนผู้นี้ถูกลากตัวออกมาจากวัดและถูกชาวมลายูสองคนสังหารทิ้ง โดยดัตช์ได้ยินว่าพระโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร) เป็นผู้ออกคำสั่ง แต่เชื่อกันว่าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงรู้เห็นด้วยแต่ทรงเกรงว่าจะทำให้เหล่าพระสงฆ์ไม่พอใจที่สังหารพระ ภายหลังจากถวายพระเพลิงพระเจ้าท้ายสระแล้ว พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้พระราชทานอภัยโทษให้ข้าราชการชาวมลายูสองคนที่สังหารพระคลังชาวจีน
หลายแห่งอ้างว่าพระคลังชาวจีนที่ถูกประหารทั้งผ้าเหลืองคนนี้คือ “พระยาโกษาธิบดีจีน” ที่เป็นแม่ทัพเรือไปทำสงครามในเขมรช่วง ค.ศ. 1717-1718 (พ.ศ. 2260-2261) แต่จดหมายเหตุเรื่องการกดขี่มิชชันนารีในสยามใน ค.ศ. 1730 (พ.ศ. 2273) ของสังฆราชฌ็อง-ฌัก เตสซีเย เดอ เกราแล (Jean-Jacques Tessier de Quéralay) ประมุขมิสซังสยามในรัชกาลพระเจ้าท้ายสระถึงพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้บันทึกถึงเสนาบดีกรมพระคลังในช่วงปลายรัชกาลว่า “พระคลังเป็นคนอายุน้อย ไม่คุ้นเคยเรื่องในอดีต” (Le barcalon qui est jeune et peu courant des affaires passées) ในขณะที่จดหมายเหตุของโอมงต์ระบุว่าสังฆราชเตสซีเย เดอ เกราแล ได้ไปเข้าร่วมในที่ประชุมเรื่องคริสต์ศาสนาที่มีพระเจ้าท้ายสระ พระมหาอุปราช จักรี (สมุหนายก) และพระคลัง เจ้านายเชื้อพระวงศ์เก่าองค์หนึ่ง และข้าราชการอื่นๆ โดยระบุว่า “พระคลังเป็นคนที่หนุ่มที่สุด” (Le barcalon étant le plus jeune) ในที่ประชุม
พิจารณาจากอายุของพระคลังคนนี้ที่ยังหนุ่ม อายุน้อยกว่าทั้งพระเจ้าท้ายสระและพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จึงไม่ควรเป็นบุคคลเดียวกับ "พระยาโกษาธิบดีจีน" ที่หลักฐานของมิชชันนารีฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1714 (พ.ศ. 2257) รายงานว่าเป็นขุนนางที่ทรงอิทธิพลมากและได้รับการโปรดปรานนับถือมาตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าเสือ และพระเจ้าท้ายสระก็ทรงโปรดปรานนับถือเช่นเดียวกัน
เมื่อเปรียบเทียบกับพระราชพงศาวดาร กล่าวถึงขุนนางฝ่ายเจ้าฟ้าอภัย 2 คนที่หนีไปบวชและถูกแขกจามแทงตายในวัดทั้งผ้าเหลืองเช่นเดียวกัน แต่ระบุชื่อว่า พระยาพิชัยราชา (เสม) กับพระยายมราช (พูน) (พระยาพิชัยราชาเอกสารบางฉบับเรียกว่า ‘พระยาอภัยราชา’ คำว่า ‘พิชัย’ กับ ‘อภัย’ มักสะกดสลับกันในเอกสารสมัยอยุทธยาและต้นรัตนโกสินทร์)
“เสม พิชัยราชา พูน ยมราช หนีไปบวช จับมาได้ ณ เมืองสุพรรณ เอามาคุมไว้ที่วัดฝาง สังข์ ราชาบริบาล หนีไปบวช เป็นเถร จับได้ณแขวงเมืองบ่อชุม เจ้าทั้งสองพระองค์นั้นให้ประหารเสียด้วยท่อนจันทน์ เสม พิชัยราชา พูน ยมราช นั้น แขกจามแทงเสียนอกประตูวัดฝาง สังข์ ราชาบริบาล สึกออกเอาไปล้างเสีย ณ ตะแลงแกงนั้น” – พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
“ส่วนนายเสมพญาพิไชยราชา แลนายพูนพญายมราช คนทังสองนี้ ครั้นเจ้าหนีไปแล้ว ก็ภากันหนีไปบวดเปนภิกษุอยู่ในแขวงเมืองสุพรรณบูรีย ข้าหลวงทังหลายติดตามไปได้ตัวภิกษุทั้งสองนั้นมา ให้รักษาคุมตัวไว้ในวัดฝาง นายสังราชาบริบาล หนีไปบวดอยู่แขวงเมืองบัวชุม ข้าหลวงติดตามไปได้ตัวมา ศึกออกแล้วให้ประหารชีวิตรเสียที่หัวตะแลงแกง พระมะหาอุปราชให้แขกจามมาแทงภิกขุสองรูปอันอยู่ที่วัดฝางนั้นตายเพลากลางคืน” – พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน
“อันพระยาอภัยราชา กับพระยายมราชหนีไปบวชเป็นสงฆ์ เป็นกรรมที่จักตายนั้น จึ่งแต่งแขกอาสาออกไป ครั้นเวลาค่ำแขกอาสาจึ่งเข้าไปแทงเสียทั้งสองคน อันพระยาอภัยกับพระยายมราชก็ถึงแก่ความตาย” – ความแทรก "คำให้การ" เกี่ยวกับสมัยพระนครศรีอยุธยาตอนปลาย ในเอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดประดู่ทรงธรรม
พระยายมราชเป็นตำแหน่งเสนาบดีกรมพระนครบาล ส่วนตำแหน่ง “พิชัยราชา” หรือ “อภัยราชา” ไม่ปรากฏในทำเนียบขุนนางในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนหรือนาทหารหัวเมืองสมัยอยุทธยา แต่ปรากฏในเอกสารคำให้การชาวกรุงเก่าว่า “พระยาอภัยราชา” เป็นตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดี ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายว่าราชทินนาม “พิชัยราชา” ในสมัยอยุทธยาใช้เป็นตำแหน่งผู้ช่วยราชการในกรมพระคลัง (ไม่ทราบแน่ชัดว่าอ้างอิงจากหลักฐานใด) ในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศมีชาวจีนคนหนึ่งเป็น “หลวงพิชัยราชา” ซึ่งได้ติดตามพระยาตาก (สิน) ฝ่าทัพพม่าออกจากพระนคร ในสมัยธนบุรีได้เป็นเจ้าพระยาพิชัยราชา เจ้าเมืองสวรรคโลก
หากสันนิษฐานตำแหน่งราชการพิจารณาเทียบกับหลักฐานชั้นต้นของดัตช์และฝรั่งเศส มีความเป็นไปได้ว่าพระยาพิชัยราชา (เสม) (ถ้าเชื่อว่าเป็นตำแหน่งผู้ช่วยราชการในกรมพระคลัง) อาจเป็นบุคคลเดียวกับ “พระคลังชาวจีน” ในหลักฐานฝรั่งเศสและดัตช์ที่ถูกแขกสังหารในผ้าเหลืองเหมือนกัน โดยขุนนางผู้นี้อาจได้ว่าราชการเป็นที่ “พระยาพระคลัง” หรือ “โกษาธิบดี” อยู่ในเวลานั้น จึงทำให้ชาวต่างประเทศเรียกว่า “พระคลัง” (barcalon) เพราะบ่อยครั้งที่หลักฐานยุโรปมักเรียกขุนนางที่มีอำนาจตัวจริงในกรมพระคลังว่า "พระคลัง" แม้ว่าจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นโกษาธิบดีเสนาบดีกรมพระคลังโดยตรงก็ตาม
แต่ทั้งนี้ไม่ว่า "พระคลังชาวจีน" ช่วงปลายรัชกาลพระเจ้าท้ายสระคนนี้จะเป็นคนเดียวกับพระยาพิชัยราชา (เสม) หรือไม่ จากข้อมูลเท่าที่ปรากฏคือมีอิทธิพลเครือข่ายมากพอสมควร ยังมีอายุน้อยแต่ดำรงตำแหน่งเป็นที่เสนาบดีแล้ว และกดขี่ศาสนาคริสต์กับมิชชันนารีในสยามมาก พระคลังคนนี้เคยจับเด็กชาวจีนที่เป็นคริสต์ที่มิชชันนารีจากเมืองจีนส่งมาสยามไปให้ขุนนางจีนคุมตัวไว้ บังคับให้เข้าวัดจีนและกราบรูปเคารพ เมื่อไม่กราบก็ทรมานต่างๆ และให้ขุนนางจีนคุมขังไว้อย่างนักโทษ จนมิชชันนารีถึงกับบันทึกว่าพระคลังคนนี้เตรียมจะจัดการฆ่าล้างมิชชันนารีให้หมดเมื่อเจ้าฟ้าอภัยชนะศึก แต่เผอิญพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศชนะทำให้พระคลังถูกกำจัด
ไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า "พระคลังชาวจีน" เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับพระยาโกษาธิบดีจีนที่ไปรบที่เขมร แต่เป็นไปได้จะอยู่ในเครือข่ายอิทธิพลของโกษาธิบดีจีนที่สนับสนุนชาวจีนให้มาดำรงตำแหน่งสำคัญจำนวนมาก และพิจารณาจากการได้เป็นที่เสนาบดีพระคลังตั้งแต่อายุน้อย ก็มีโอกาสที่จะเป็นคนในครอบครัวที่อาศัยบารมีของโกษาธิบดีจีนจนเป็นใหญ่ก็เป็นได้
มีการสันนิษฐานว่าโกษาธิบดีจีนที่ไปรบที่เขมรเป็นจีนฮกเกี้ยน เนื่องจากถูกกล่าวถึงในบันทึกรายวันที่ฟอร์ตเซนต์จอร์จ (Fort St. George) เมืองมัทราส (Madras) ในอินเดียว่ามีญาติเป็นขุนนางเมืองเซี่ยเหมินในฮกเกี้ยน
"พระคลังชาวจีน" คนนี้มีแนวโน้มจะเป็นจีนฮกเกี้ยนเหมือนกัน เพราะหลังจากที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศครองราชย์ไม่นาน ใน ค.ศ. 1634 (พ.ศ. 2277) เกิดกบฏของชาวจีนชุมชนนายก่าย ชุมชนจีนฮกเกี้ยนที่ใหญ่ที่สุดในกรุงศรีอยุทธยาจำนวนกว่า 300 คน พยายามบุกยึดพระราชวังหลวงระหว่างที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จไปล้อมช้างที่แขวงเมืองลพบุรี โดยมีจุดประสงค์ในการตั้งพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ที่จะให้คุณแก่พวกตนมากขึ้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์มีการวิเคราะห์ว่าการก่อกบฏของจีนนายก่ายอาจเป็นผลจากความไม่พอใจที่ "พระคลังชาวจีน" ถูกประหาร หรือเพราะชาวจีนได้รับผลกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ทำให้ขุนนางจีนสมัยพระเจ้าท้ายสระหลายคนถูกกำจัด
แสดงความคิดเห็น
พ่ออินอาจจะเป็นคนที่ถูกประหาร เพราะตามประวัติศาสตร์ออกญาโกษาจีนที่โดนประหารช่วงเปลี่ยนรัชสมัย คือคนละคนกับบทที่ชายเล่น
สุดท้าย เจ้าฟ้าพรก็ผ่านพิภพขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง แล้วจึงสำเร็จโทษหลานชายตัวเอง รวมไปถึงขุนนางที่สนับสนุนหลานชาย โดยมีบุคคลสำคัญที่โดนประหารไปด้วยในครั้งนี้ก็คือออกญาโกษาธิบดีจีน
ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว ในสมัยพระเจ้าท้ายสระมีออกญาโกษาธิบดีจีนขึ้นมาดำรงตำแหน่งถึง 2 คน
คนแรก คาดว่าน่าจะเป็นออกญาโกษาธิบดีจีนที่ดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ยุคพระเจ้าเสือสืบต่อมาจนถึงต้นรัชสมัยของพระเจ้าท้ายสระ แล้วจึงถึงแก่อนิจกรรมหรือเกษียณจากตำแหน่ง
ดังนั้นช่วงปลายสมัยของพระเจ้าท้ายสระ จึงมีออกญาโกษาธิบดีจีนอีก 1 คนขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นบุตรชายของออกญาโกษาธิบดีจีนคนแรกนั่นเอง (ในบทละครก็มีพูดอยู่ว่า ออกญาโกษาธิบดีจีนผู้เป็นพ่อจะทูลขุนหลวงท้ายสระให้ยกตำแหน่งนี้ส่งต่อแก่ลูกชายของตัวเองนั่นก็คือพ่ออินหรือลูกเขยของการะเกดผัวของแม่ปรางนั่นเอง แถมยังเป็นมหาดเล็กคนสนิทของพระเจ้าท้ายสระด้วย มีโอกาสเป็นอย่างยิ่งที่พ่ออินจะสนับสนุนการตัดสินพระหฤทัยของพระเจ้าท้ายสระที่จะสนับสนุนเจ้าฟ้าอภัยกับเจ้าฟ้าปรเมศ)
ดังนั้นในละครพรหมลิขิต พ่ออิน มีโอกาสมากกว่า 80% ที่จะดำรงตำแหน่งออกญาโกษาอธิบดีติดต่อจากพ่อ ถ้าเช่นนั้นแล้วพ่ออินเนี่ยแหละจะเป็นคนโดนประหารชีวิตเพราะสนับสนุนพระราชโอรสพระเจ้าท้ายสระ 2 พระองค์จนต้องหนีไปบวชแต่สุดท้ายก็ตายอยู่ดี
ตอนแรกก็กังวลนะว่าปลายรัชสมัย ออกญาโกษาธิบดีจีนต้องถูกประหาร แล้วแม่ปรางลูกคุณหญิงการะเกดของเราที่ดันไปดองกับครอบครัวนั้นจะเจอราชภัยอะไรไหม แต่คุณรอมแพงเองก็ชี้แจงออกมาว่ารอด เพราะในนิยายเขียนแล้ว ว่าคุณหญิงการะเกดให้ลูกหลานลาออกจากราชการก่อนเปลี่ยนผ่านรัชสมัยแล้วยกครัวย้ายกันไปอยู่ที่อื่นเพื่อรอการเสียกรุง
แต่ถึงคุณหญิงการะเกดจะมาจากอนาคตก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์หรือสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้โกสษาธิบดีจีนต้องตายอยู่ดี แล้วถ้าตามประวัติศาสตร์แล้วออกญาโกษาธิบดีจีนที่ต้องตาย ก็คาดว่า น่าจะเป็นลูกของออกญาโกษาธิบดีจีนช่วงต้นรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระนั่นก็หมายถึงพ่ออินนั่นเอง แบบนี้แม่ปรางจะยิ่งซวยหนักกว่าเดิม เป็นลูกสะใภ้ยังพอมีโอกาสรอดแต่นี่เป็นถึงเมียผู้ต้องโทษประหารน่าจะหนักหนาสาหัสอยู่
คิดเห็นยังไงลองมาวิเคราะห์กันดูครับ
แต่คิดว่าบทละครอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยเพราะว่าตามประวัติศาสตร์ก็แค่วิเคราะห์กันว่าออกญาโกษาธิบดีจีนที่โดนประหาร น่าจะเป็นลูกของออกญาโกษาจีนคนแรก แต่ก็อาจจะไม่ใช่ลูกก็ได้ เพราะว่าในบทละคร ออกญาจีนอาจจะเสนอตำแหน่งนี้ให้แก่พรรคพวกที่เป็นคนจีนด้วยกันคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกชายตัวเองก็ได้เพราะตามประวัติศาสตร์เขาก็แค่วิเคราะห์กันว่า อาจจะเป็นคนลูกที่โดนประหารแต่ก็ไม่รู้ว่าคนแรกกับคนที่ 2 เป็นพ่อลูกกันจริงหรือเปล่า