JJNY : อิสราเอลตกลงพักรบ 4 วัน│“โรม”จี้“เศรษฐา” อย่าหนีตรวจสอบ│สภาผู้บริโภคค้านขึ้นค่าไฟ│ค่าบาทขยับกรอบ ระวังผันผวน

อิสราเอลตกลงพักรบ 4 วันในกาซา ฮามาสปล่อยตัวประกัน 50 คน
https://www.dailynews.co.th/news/2923680/

เงื่อนไขหลักของข้อตกลงที่กาตาร์เป็นคนกลาง คือการที่อิสราเอลพักรบเป็นเวลา 4 วันในฉนวนกาซา และจะปล่อยนักโทษปาเลสไตน์บางส่วน ขณะที่กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกัน 50 คน ตลอดช่วงเวลาของการหยุดยิง
 
 
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ว่ารัฐบาลอิสราเอลออกแถลงการณ์ ว่าได้ตอบกลับไปยังกาตาร์ ซึ่งทำหน้าที่คนกลาง ในการเจรจาระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับรอง ข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวแลกเปลี่ยนตัวประกัน และการปล่อยนักโทษ

ทั้งนี้ กลุ่มฮามาสจะปล่อยตัวประกัน 50 คน จากทั้งหมดราว 240 คน เน้นเด็กและผู้หญิง โดยจะแบ่งปล่อยเป็นกลุ่ม วันละ 12-13 คน จนกว่าจะครบระยะเวลาของข้อตกลงรอบนี้ ซึ่งจะกินเวลา “อย่างน้อย 4 วัน

ขณะที่อิสราเอลจะปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์ ซึ่งคาดว่าจะเน้นผู้หญิงและเด็กเช่นกัน จนครบจำนวนประมาณ 150 คน แต่สื่อบางแห่งรายงานว่า นักโทษชาวปาเลสไตน์อาจได้รับการปล่อยตัวมากถึง 300 คน

นอกจากนี้ อิสราเอลจะเปิดทาง ให้มีการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่ฉนวนกาซาเพิ่มเติม รวมถึงการลำเลียงเชื้อเพลิง
 
ด้านแหล่งข่าวในรัฐบาลอิสราเอลเปิดเผยด้วยว่า หากกลุ่มฮามาสแสดงความพร้อมปล่อยตัวประกันมากกว่านี้ อิสราเอลพร้อมขยายระยะเวลาของการพักรบ

อนึ่ง ข้อตกลงดังกล่าวซึ่งมีกาตาร์ทำหน้าที่คนกลาง และใช้เวลานานหลายสัปดาห์ในการเจรจา น่าจะมีผลภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง เมื่อมีการประกาศอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล เน้นย้ำว่า ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซาจะกลับมาเดินหน้าต่อ เมื่อครบกำหนดการหยุดยิง และเป้าหมายสูงสุดของสงครามครั้งนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ การกวาดล้างกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก และตัวประกันได้รับการปล่อยตัวจนครบทุกคน



“โรม” จี้ “เศรษฐา” อย่าหนีตรวจสอบ “ฝากผู้กำกับ” ใครบ้างได้ “ตั๋ว สร.1”
https://www.thairath.co.th/news/politic/2742501

ตีเหล็ก ต้องตีตอนร้อน! “โรม” ก้าวไกล ชี้ “ฝากผู้กำกับ” ผิดทั้งรัฐธรรมนูญ-จริยธรรมนักการเมือง-พ.ร.บ.ตำรวจ ทำไม “นายกฯ เศรษฐา” ทำเหมือนเรื่องปกติ จี้ อย่าหนีการตรวจสอบ เอาความจริงมาพูด ใครบ้างได้ “ตั๋ว สร.1”
 
วันที่ 22 พ.ย. จากกรณีตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวช่วงหนึ่งในการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 21 พ.ย. สรุปใจความได้ว่า มีการขอตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจนั้น
 
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ทวีตเตอร์ Rangsiman Rome ผ่าน X แสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า เรื่องตั๋วตำรวจที่นายกฯ เศรษฐา พูดออกมาในทำนองว่า มี สส.พรรคเพื่อไทยฝากกันมาเยอะ เป็นเรื่องที่ผิดทั้งรัฐธรรมนูญ ผิดจริยธรรมนักการเมือง และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ เหตุใดเป็นถึงนายกฯ กลับทำเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ทั้งๆ ที่เป็นการใช้เส้นสายและผิดกฎหมาย ยังไม่นับว่าตำรวจอีกมากที่ไม่ใช้เส้นสาย จะช้ำใจและเสียใจมากขนาดไหน ครอบครัวของเขาอีกหลายคนที่ได้รับผลกระทบ 
 
“รัฐบาลนี้เริ่มต้นไม่ทันไร ก็ทำให้ระบบเส้นสายเติบโตเสียแล้ว ไม่แปลกที่เราถึงได้เห็นองค์กรตำรวจเป็นแบบนี้ นี่ใช่ไหมถึงไม่อยากใช้คำว่าปฏิรูป นี่ใช่ไหมถึงไม่กล้ามาตอบกระทู้ในสภา น่าผิดหวังมาก ผิดหวังแทนตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่มีเส้นสาย รังสิมันต์ ระบุ
 
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้จะต้องตรวจสอบกันอย่างแน่นอน นายกฯ เศรษฐา อย่าได้หนีการตรวจสอบ และเอาความจริงมาพูดว่า ตกลงฝากใครไปบ้าง ผู้กำกับคนไหนได้ตั๋ว สร.1 หรือตั๋วนายกฯ หรือตั๋วเพื่อไทย และตนขอเรียกร้องไปยังพี่น้องตำรวจช่วยกันส่งเรื่องนี้มาให้ ยืนยันจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้นิ่งเงียบเด็ดขาด
 
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ช่วงปลายเดือนกันยายน ซึ่งกำลังมีการคัดเลือก ผบ.ตร. คนใหม่ เกิดข่าวคราวความไม่โปร่งใสในวงการตำรวจจำนวนมาก มีเสียงสะท้อนจากประชาชนต้องการให้เกิดการสังคายนาตำรวจอย่างจริงจัง แต่ ณ เวลานั้น นายกฯ เศรษฐา กลับบอกว่า ไม่ควรใช้คำว่าสังคายนา เพราะตำรวจเป็นองค์กรที่มีเกียรติ 
 
ขณะที่ นายรังสิมันต์ เห็นว่าการสังคายนาตำรวจมีความจำเป็นมาก ไม่ใช่การลดเกียรติตำรวจ แต่เป็นการทำให้ตำรวจที่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา  สามารถทำหน้าที่อย่างมีศักดิ์ศรีได้ มีที่อยู่ที่ยืนในองค์กรตำรวจได้ ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อองค์กรตำรวจ การปล่อยสถานการณ์ไว้เป็นแบบปัจจุบัน มีแต่ทำให้องค์กรตำรวจถูกกลืนกินด้วยอำนาจมืด ผู้ที่เป็นนายกฯ จะไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบใดๆ ต่อความล้มเหลวในการปฏิรูปตำรวจได้เลย 
จึงเรียกร้องต่อนายกฯ เศรษฐา ให้เร่งปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจัง และในอนาคตเมื่อมีการเลือก ผบ.ตร. อีกครั้ง ก็ควรใช้วิธีดังต่อไปนี้ โดยอาศัย พ.ร.บ.ตำรวจปัจจุบันเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจของนายกฯ
 
(1) รอง ผบ.ตร. ที่ประสงค์จะเป็น ผบ.ตร. ให้ยื่นความจำนงต่อกรรมการที่นายกฯ ตั้งขึ้น พร้อมพอร์ตโฟลิโอผลงานต่างๆ 
 
(2) ให้มีการแสดงวิสัยทัศน์สาธารณะ ให้ประชาชนได้เห็นว่าคุณมีวิสัยทัศน์อะไร ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ที่จะเป็น ผบ.ตร. มีแผนพัฒนาตำรวจอย่างไร โดยเฉพาะภายใต้กรอบระยะเวลาที่ตนเองเหลืออยู่ 
 
(3) ทำแพลตฟอร์มออนไลน์ให้พี่น้องตำรวจสามารถลงทะเบียนเพื่อโหวตเลือก ผบ.ตร. ได้ เพื่อให้นายกฯ ทราบว่า ตำรวจส่วนใหญ่อยากให้ใครเป็น ผบ.ตร. โดยแพลตฟอร์มจะไม่สามารถระบุตัวตนตำรวจที่โหวต รู้แค่ว่าเป็นตำรวจ ซึ่งสามารถทำได้ในปัจจุบัน 
 
ทั้ง 3 ข้อนี้ จะนำไปสู่การติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง ให้ ผบ.ตร. รวมถึงตำรวจทุกตำแหน่ง ไม่ได้มาจากเส้นสาย ไม่ได้มาจากตั๋ว ไม่ได้มาจากการซื้อ เพื่อปูทางสู่การสร้างตำรวจที่จะต่อสู้กับอำนาจมืดทุกรูปแบบ.
 
https://twitter.com/rangsimanrome/status/1726998430910918753
 


สภาผู้บริโภคค้านขึ้นค่าไฟจี้กกพ.ทบทวนการคิดค่า Ftใหม่
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_644106/
 
สภาผู้บริโภค ค้านขึ้นค่าไฟ แนะ กกพ. ทบทวนข้อมูลการคิดค่า Ft ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชน
 
นายประสาท มีแต้ม ประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า การรับฟังความคิดเห็น ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) งวดเดือนมกราคม ถึง เมษายน 2567 โดยมีการประมาณการค่า Ft อยู่ที่ 216.42 สตางค์ต่อหน่วยและจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย ปรับขึ้น เป็น 5.95 บาทต่อหน่วย จาก 3.99 บาทต่อหน่วยในปัจจุบัน การประมาณการดังกล่าว อาจเป็นการประมาณการที่สูงกว่าความเป็นจริง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.ควรทบทวนข้อมูลใหม่ เพราะที่คาดการณ์ว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2567
 
จะมีการผลิตไฟฟ้าโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)และซื้อไฟฟ้าจากเอกชน มากถึง 70,219 ล้านหน่วยนั้น น่าจะเป็นการคาดการณ์ที่สูงเกินจริงไปมาก เนื่องจาก กกพ.คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟในเดือนมกราคมถึงเมษายน เพียง 62,913 ล้านหน่วยเท่านั้น การจัดหาไฟฟ้าที่มากเกินไปดังกล่าวทำให้เป็นการจัดหาพลังงานไฟฟ้าที่มากกว่าความต้องการใช้ถึง 7,306 ล้านหน่วย หรือเป็นค่าไฟฟ้าถึง 21,187 ล้านบาท
 
นอกจากนี้ นายประสาท ยังเห็นว่า การประมาณการราคาเนื้อก๊าซธรรมชาติ ที่สูงนั้นมีเหตุมาจากการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าถึง 35.83 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 1 เดือนย้อนหลังก่อนการประมาณการ จึงไม่เหมาะสมเพราะค่า Ft เป็นการประมาณการค่าใช้จ่ายรอบบิลค่าไฟฟ้า 4 เดือนจึงควรใช้อัตราแลกเปลี่ยนย้อนหลัง 4เดือนเช่นกัน

ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นและทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงต่ำลง อีกทั้งราคาค่าเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าที่ใช้ฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเท่ากับ 93.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลนั้น ก็ไม่มีคำชี้แจงแหล่งที่มาของราคาน้ำมันดิบมีเพียงการอ้างแนวโน้มที่เกิดขึ้นจากสงครามอิสราเอล กับกลุ่มฮามาส และสงครามรัสเซีย ยูเครน ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างที่เชื่อถือไม่ได้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในอนาคตเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก กกพ.จึงควรใช้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 4 เดือนย้อนหลังก่อนทำประมาณการมาเป็นฐานประมาณการต้นทุนราคาเชื้อเพลิงและก๊าชธรรมชาติ ซึ่งหากคิดเฉลี่ย 4 เดือนในช่วงเดือน มิถุนายน ถึงกันยายน

ราคาน้ำมันดิบจะเฉลี่ยอยู่ที่ 83.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเท่านั้น นอกจากนี้ในการประมาณการต้นทุนก๊าซ LNG ที่ ปตท.อ้างว่าในเดือนพฤศจิกายน 2566 ราคา LNG ตลาดร่วม แต่จัดหาได้มีราคาฉลี่ยเท่ากับ 16.61 เหรียญสหรัฐล้านบีทียูนั้น สภาผู้บริโภคเห็นว่า เป็นราคาที่กกพ. ควรต้องมีการทบทวนตรวจสอบใหม่ เพราะมีข้อมูลปรากฏว่า ณ ปัจจุบัน ราคา LNG

ส่งออกของสหรัฐฯ ที่ประเทศไทยนำเข้าตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมาปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 12-13 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู และยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าราคา LNG ส่งออกของสหรัฐอเมริกาลงมาอยู่ที่ 6.45 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียูในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หากพิจารณาเปรียบเทียบราคา LNG ญี่ปุ่นในเดือนตุลาคม 2566 ก็อยู่ที่ระดับราคาประมาณ 12 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียูเท่านั้น ซึ่งการอ้างของ ปตท.ว่าจัดหา LNG ได้จริง ก็เป็นเรื่องที่ กกพ. ควรได้ดำเนินการตรวจสอบเช่นกัน
 
ทั้งนี้ ปัจจุบันระบบผลิตไฟฟ้าของประเทศ อยู่ในภาวะมีกำลังผลิตไฟฟ้าล้นเกินความต้องการ และมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ไม่ได้เดินเครื่องเลยหรือมีการเดินเครื่องเพียงเล็กน้อย แต่ กฟผ. ต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า ไม่น้อยกว่า 8 โรงไฟฟ้าจากทั้งหมด 12 โรงไฟฟ้ามาหลายงวด Ft แล้ว กฟผ. จึงย่อมมีอำนาจในการเจรจาต่อรองการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนทั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPPs) และโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPPs) ที่จะไม่ควรรับซื้อไฟฟ้าในอัตราที่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย มิใช่ผลักภาระทั้งหมดมาเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายให้ประชาชนต้องรับผิดชอบแทนทั้งหมดเช่นนี้
 
สภาองค์กรของผู้บริโภค จึงไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการปรับขึ้นค่า Ft จากที่เก็บอยู่ในปัจจุบัน และขอให้กระทรวงพลังงานและ กกพ. ทบทวนข้อมูลการคิดค่า Ft ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชน พิจารณาลดต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ใช้ผลิตไฟฟ้า รัฐบาลควรใช้หลักการจัดสรรก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยซึ่งมีราคาถูกกว่าราคาก๊าซนำเข้า โดยนําราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยที่โรงแยกก๊าซและปิโตรเคมีนำมาใช้คิดถัวเฉลี่ยรวมด้วย จะทำให้ราคาก๊าซที่ใช้ผลิตไฟฟ้าโดยรวมมีราคาถูกลง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่