JJNY : 5in1 อิสราเอลยังคงรุกหนัก│วิโรจน์เย้ย ‘สุทิน’อ่านรธน.ไม่แตก│‘วิโรจน์’ร้องดีเอสไอ│ศก.ยังไม่วิกฤต│ร้องสอบมูลค่าหุ้น

อิสราเอลยังคงรุกหนักภาคเหนือกาซา แม้ฮามาสส่งสัญญาณใกล้หยุดยิง
https://www.dailynews.co.th/news/2922990/
 
กองทัพอิสราเอลยังคงโจมตีภาคเหนือของฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หัวหน้ากลุ่มฮามาสส่งสัญญาณว่า การบรรลุข้อตกลงเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน "กำลังจะเกิดขึ้น"
  
 
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ว่ากองทัพอิสราเอลออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับการปิดกั้นเมืองจาบาลิยา ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตของปฏิบัติการภาคพื้นดิน ออกจากเมืองกาซาซิตี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในพื้นที่ ขณะที่กองทัพอากาศปฏิบัติการโจมตีอุโมงค์ของกลุ่มฮามาสอย่างน้อย 3 แห่งในเมืองจาบาลิยา

ด้านกระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์รายงานว่า โรงพยาบาลทุกแห่งในภาคเหนือของฉนวนกาซาไม่สามารถให้บริการประชาชนได้อีก โดยโรงพยาบาลอัล-ชีฟา ซึ่งเป็นสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุด และทหารอิสราเอลเข้ามาปฏิบัติการตั้งแต่กลางสัปดาห์ที่แล้ว และโรงพยาบาลอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่รองลงมา กำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกองทัพอิสราเอล
 
ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติ สำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ ( ยูเอ็นอาร์ดับเบิลยูเอ ) ระบุว่า จากจำนวนผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซามากกว่า 13,000 ราย นับตั้งแต่สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสปะทุ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา เกือบ 75% เป็นเด็ก ผู้หญิง และคนชรา ส่วนสถิติผู้ไร้ที่อยู่อาศัยและต้องพลัดถิ่น เพิ่มเป็นมากกว่า 1.7 ล้านคน

สถานการณ์สู้รบในฉนวนกาซาที่ยังคงรุนแรง เกิดขึ้นท่ามกลางการเจรจา เพื่อช่วยเหลือตัวประกันราว 240 คน ซึ่งมีกาตาร์ทำหน้าที่คนกลาง และมีการเปิดเผยเมื่อวันอังคารว่า “อยู่ในขั้นตอนสุดท้าย” ซึ่งเป็นการเจรจาที่คืบหน้าที่สุด นับตั้งแต่สงครามปะทุ หลังนายอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำสูงสุดฝ่ายการเมืองของกลุ่มฮามาส ยืนยันการตอบกลับเกี่ยวกับท่าทีของกลุ่มฮามาส ให้กาตาร์รับทราบแล้ว โดยยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม.

https://twitter.com/idfonline/status/1726858238749278490


 
วิโรจน์ เย้ย ‘สุทิน’ อ่านรธน.ไม่แตก ไล่เคลียร์ผบ.ทร. จะเปลี่ยนเรือดำน้ำเป็นฟริเกตไหม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4293472

“วิโรจน์” ไล่ “ผบ.ทร.-รมว.กลาโหม” ไปเคลียร์กันก่อน ปมเปลี่ยนเรือดำน้ำ เป็นเรือฟริเกต เย้ย “บิ๊กทิน” อ่าน รธน.ไม่แตก จี้ “นายกฯ” เคลียร์ด่วน
 
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 21 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิสร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) แถลงเรื่องจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนที่ยังมีปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ไม่เป็นไปตามสัญญา โดยยืนยันรัฐบาลให้เงิน ทร.ซื้อเรือดำน้ำ ทาง ทร.ก็ทำหน้าที่ซื้อเรือดำน้ำ ไม่มีหน้าที่ไปจะมาบอกให้เปลี่ยนเป็นเรือประเภทอื่นว่า เป็นไปตามที่ กมธ.การทหาร ทราบมาก่อนแล้ว เคยเชิญผู้แทน ทร.กับกระทรวงกลาโหม (กห.) เข้าชี้แจงปมเปลี่ยนเรือดำน้ำ เป็นเรือฟริเกต ได้ยินมาตลอด ว่าทร. ไม่ประสงค์เปลี่ยนเป็นเรือฟริเกต แต่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันตลอดว่า ทร.ต้องการ ซึ่งเมื่อวาน (20 พฤศจิกายน) ชัดแล้ว ทร.ไม่ต้องการ ซึ่งทาง รมว.กลาโหม กับ ผบ.ทร.ต้องเคลียร์กัน
 
นายวิโรจน์กล่าวว่า นายสุทินทำการบ้านมาน้อยเกินไป กมธ.เคยทำหนังสือถึงนายสุทิน เนื่องจากเป็นเรื่องของสัญญาระหว่างประเทศ แต่นายสุทินจะอ้างว่าไม่ใช่สัญญาระหว่างประเทศ ซึ่ง กมธ.การทหารยืนยันว่า มันเป็นสัญญาระหว่างประเทศตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
 
นายวิโรจน์กล่าวว่า เป็นการตัดสินใจถูกต้อง ที่ทาง ผบ.ทร.นำเรื่องไปหารือกับอัยการสูงสุด คลี่คลายปัญหาให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ แต่น่าผิดหวัง ที่นายสุทินจะไม่ได้ตอบว่าจะไม่นำเข้ารัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ แต่ในเนื้อหานายสุทินเคยบอกว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการต่างประเทศ เคยให้ความเห็นไว้ว่า ในลักษณะแบบนี้ ไม่ใช่สัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งตรงนี้เป็นการอ่านรัฐธรรมนูญไม่แตก ไม่ได้เอากรณีเขาพระวิหาร และสัญญาขายข้าวจีทูจี มาเทียบเคียงเลย ตนสนับสนุนแนวคิด ผบ.ทร.ที่รอบคอบเรื่องนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องเข้ามาเป็นตัวกลางหารือระหว่าง รมว.กลาโหม และ ผบ.ทร. มองไม่ตรงกัน



‘วิโรจน์’ ร้องดีเอสไอ สืบการเสียชีวิต ‘ผกก.เบิ้ม’ ตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย โยงคดีส่วยรถบรรทุก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4294100

‘วิโรจน์’ ร้องดีเอสไอ สืบการเสียชีวิต ‘ผกก.เบิ้ม’ ตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย โยงคดีส่วยรถบรรทุก พร้อมเรียกร้องพิจารณาให้เป็นคดีพิเศษ
 
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ยื่นหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ  (ดีเอสไอ) ขอให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการเสียชีวิตของ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไธสงค์ หรือ ผู้กำกับเบิ้ม ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565
 
นายวิโรจน์กล่าวว่า จากกรณี พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ถูกพบว่าเสียชีวิต เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ที่บ้านพักย่านคลองสอง ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี มีข้อสงสัยที่ปรากฏตามหน้าสื่อ ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ
 
เนื่องจากก่อนเสียชีวิต พ.ต.อ.วชิรา ถูกพาไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านเมืองทองธานี ถูกยึดมือถือ และมีข้อมูลจากสำนักข่าวหลายสำนักแจ้งว่ามีความเป็นไปได้ที่จะถูกตำรวจหลายนายเฝ้าหน้าห้องพัก สาเหตุที่ทำให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น เนื่องจากกล้องวงจรปิดแสดงภาพ พ.ต.อ.วชิรา ใช้ทางหนีไฟเพื่อออกจากโรงแรมและขึ้นรถแท็กซี่ออกไป หากผู้กำกับคนดังกล่าวไม่ได้ถูกควบคุมตัว เหตุใดจึงไม่ออกจากโรงแรมตามช่องทางปกติ
 
เมื่อพิจารณาตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 จึงมีเหตุอันควรต้องสงสัย 2 ประเด็นหลัก ประเด็นที่หนึ่ง การที่ตำรวจซึ่งเป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” ตาม มาตรา 3 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ได้พาตัว พ.ต.อ.วชิรา ไปพักที่ห้องพักโรงแรมย่านเมืองทองธานี เมื่อคืนวันที่ 10 ก.ย. 2566 โดยมีการเก็บเอาโทรศัพท์ของ พ.ต.อ.วชิรา เอาไว้ และไม่ได้แจ้งให้ญาติของ พ.ต.อ.วชิราทราบ พฤติการณ์เหล่านี้ เข้าข่ายเป็นการถูกควบคุมตัวโดยปกปิดชะตากรรม ซึ่งเป็นความผิดฐานกระทำให้บุคคลสูญหาย ตามมาตรา 7 ของ พ.ร.บ. ดังกล่าว หรือไม่
 
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สอง จากการที่ พ.ต.อ.วชิรา ยิงตัวเองเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตามผลการชันสูตรพลิกศพ และผลการพิสูจน์หลักฐาน จึงมีเหตุต้องสงสัยว่า ก่อนหน้าที่ พ.ต.อ.วชิรา จะยิงตนเองเสียชีวิต พ.ต.อ.วชิรา ได้ถูกกระทำด้วยประการใดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เข้าข่ายการกระทำที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ  
 
หรือการกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามมาตรา 5 และ 6 ของ พ.ร.บ. ดังกล่าวหรือไม่ การเสียชีวิตของ พ.ต.อ.วชิรา ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง มีความเกี่ยวโยงกับส่วยรถบรรทุก ซึ่งมูลค่าของการคอร์รัปชันสูงกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี โยงใยไปยังข้าราชการระดับสูง และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนาย จึงต้องยอมรับว่าเป็นคดีที่มีความซับซ้อน ทั้งหมดนี้เข้าข่ายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะรับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งตนหวังว่าดีเอสไอจะเร่งสอบสวนเพื่อความเป็นธรรม ให้คำตอบกับสังคมโดยเร็วที่สุด


 
ทีดีอาร์ไอ มอง เศรษฐกิจไทยปี 66 ยังไม่วิกฤต ไม่จำเป็นต้องอัดฉีดถึง 5 แสนล้าน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4293804

ทีดีอาร์ไอ มอง เศรษฐกิจไทยปี 66 ยังไม่วิกฤต ไม่จำเป็นต้องอัดฉีดถึง 5 แสนล้านบาท แนะระยะยาว แก้ที่โครงสร้าง หาเครื่องยนต์ใหม่ หลังท่องเที่ยวอาจถึงทางตัน
 
จากกรณีเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงความเป็นห่วงเศรษฐกิจไทย หลังจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ปี 2566 เติบโตเพียง 1.5% นั้น แย่กว่าที่คิด
 
ล่าสุด วันที่ 21 พฤศจิกายน นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า ในมุมมองเศรษฐศาสตร์ แบ่งวิกฤตเศรษฐกิจออกเป็น 2 แบบ คือ วิกฤตระยะสั้น และวิกฤตระยะยาว
 
โดยภาพเศรษฐกิจระยะสั้น จะดูจากการเทียบตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยในแต่ละช่วง ซึ่งในช่วงนี้เศรษฐกิจไทยควรจะเติบโตอยู่ที่ 3.6% ต่อปี นั่นหมายความว่าถ้าปีไหนเกิดเศรษฐกิจโตต่ำกว่า 3.6% ก็คือมีปัญหา ซึ่งก็แบ่งปัญหาได้หลายแบบ คือ ปัญหาแบบน้อยๆ กับปัญหาแบบมากๆ โดยปัญหาน้อย ก็เหมือนกับคนเราหกล้ม ซึ่งแค่ล้างแผลก็จบ แต่ถ้าปัญหามาก ก็เหมือนโดนรถชน บาดเจ็บหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม ปัญหาทั้งสองแบบอยู่ในกรณีที่ การเติบโตต่ำกว่า 3.6%
 
สำหรับเศรษฐกิจปี 2566 ที่ล่าสุด สภาพัฒน์แถลงคาดการณ์ที่ 2.5% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3.6% ที่ 1.1% ถ้าคำนวณตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ปัจจุบัน หายไป 1.1% คือเม็ดเงินหายไป 1.8 แสนล้านบาท และถ้ารัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ละโครงการอย่างน้อยมีเม็ดเงินหมุนเวียนได้ 2 เท่า ก็เท่ากับรัฐบาลก็หามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2566 เพียง 9 หมื่นล้านบาท ก็เพียงพอเป็นยาแดงทาแผลถลอกแล้ว
 
ดังนั้น ในภาพระยะสั้น ยังมองว่าไม่เป็นวิกฤต เพราะปัญหายังเป็นขั้นน้อยๆ ที่ล้างแผล เอายาแดงใส่ ปิดแผลก็จบแล้ว
 
ทั้งนี้ ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น เศรษฐกิจจะเข้าสู่วิกฤตก็ต่อเมื่อการเติบโตติดลบ อาทิ ปี 2540 เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2551 ที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
ปี 2554 วิกฤตน้ำท่วม และล่าสุดปี 2563 ที่เกิดโควิด การเติบโตเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ -6.1% หรือหายไป 9-10% จากค่าเฉลี่ย คิดเป็นเม็ดเงินที่หายไป ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท เพราะฉะนั้น เข้าใจได้ว่าทำไมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงออกพระราชกำหนดเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ไว้ใช้ช่วยในช่วงโควิด

ซึ่งถ้าเทียบกับตอนนี้ที่ตัวเลข 2.5% กับ 3.6% มันห่างกันนิดเดียว ต้องการเม็ดเงินกระตุ้นที่ 9 หมื่นล้าน อาทิ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง หรืออุดหนุนในบัตรสวัสดิการของรัฐก็พอ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลจะต้องใช้เม็ดเงิน 5 แสนล้านบาท มาโปะ ซึ่งเหมือนกับคนเราที่แค่หกล้ม แผลถลอก แต่กลับพาเข้าโรงพยาบาล ซึ่งก็จ่ายค่ารักษาแพงเกินเหตุไปหน่อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่