ฮวนนั้งเป็นบทประพันธ์ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในช่วงปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ - ๒๔๙๔ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ฮวนนั้งคืออะไร คงไม่มีใครบรรยายตอบไว้ได้ดีเท่ากับท่านผู้ประพันธ์เอง จึงขอนำมาให้อ่านกัน
ท่านผู้ประพันธ์เองได้เคยเล่าไว้ว่า ต้องอ่านประวัติของอัตติลาเป็นภาษาละติน ในหลักสูตรการศึกษาเมื่อครั้งศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ จึงได้นำมาประพันธ์เป็นภาษาไทยให้ได้อ่านกัน เรื่องฮวนนั้งนี้ถึงจะมิใช่เรื่องของไทยเลย แต่กลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก กระทั่งประเทศไทยได้เกิดสถานีโทรทัศน์แห่งแรกขึ้น เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๘ คือสถานีไทยโทรทัศน์ ช่อง ๔ เรื่องฮวนนั้งจึงได้รับเลือกมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ในยุคแรกๆ ซึ่งถือว่าเป็นละครฟอร์มยักษ์ในยุคทีวีขาวดำ โดยผู้ที่ถ่ายทอดบทประพันธ์ออกมาเป็นบทละครโทรทัศน์คือ อาจินต์ ปัญจพรรค์
ภาพถ่ายประวัติศาสตร์ วันที่ทีมงานประชุมในการจัดสร้างละคร ฮวนนั้ง พุทธศักราช ๒๕๐๔ จากหนังสือ ยักษ์ปากเหลี่ยม โดย อาจินต์ ปัญพรรค์
ในพุทธศักราช ๒๕๐๔ คงไม่มีพระเอกคนใดของสถานีโทรทัศน์ช่อง ๔ บางขุนพรหมที่ดังเกินไปกว่า กำธร สุวรรณปิยะศิริ และยังมีพระเอกที่ดังและหน้าตาดีทัดเทียมกันได้ในวงการภาพยนตร์อีกมากมาย ที่สามารถชักชวนมาแสดงเป็นตัวเอกในเรื่อง แต่ทีมงานตัดสินใจเลือก สมจินต์ ธรรมทัต ให้รับบทตัวแสดงนำของเรื่อง "อัตติลา" ซึ่งในช่วงเวลานั้น สมจินต์ ธรรมทัต เริ่มเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของผู้ชมโทรทัศน์ในบทบาทผู้ร้าย เหตุใดเล่าทีมงานจึงตัดสินใจเช่นนั้น คำตอบอาจจะอยู่ที่คำบรรยายลักษณะของฮวนตามเนื้อเรื่องดังนี้
ลักษณะของฮวน
สรุปได้ว่าฮวนนั้นไม่หล่อ การจะสร้างละครให้ตัวเอกซึ่งเป็นฮวนนั้น หล่อใสราวกับเทพบุตร ก็คงผิดคาแรกเตอร์ (ศัพท์ที่นิยมใช้เรียกลักษณะของตัวแสดงในยุคนั้น) ของหนังสือ ดังนั้นทีมงานจึงได้ตัดสินใจเลือก ดาวร้าย มารับบทพระเอกนั่นเอง
เอเตล - อัตติลา - แสดงโดย สมจินต์ ธรรมทัต
ละครเรื่องฮวนนั้ง มีความยาวทั้งหมดสามตอน ความยาวตอนละหนึ่งชั่วโมง แสดงเดือนละหนึ่งตอนเท่านั้น เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่ได้ใช้วิธีการบันทึกเทปโทรทัศน์ในการแสดงละคร เป็นการแสดงสดและถ่ายทอดออกอากาศกันเลย (จะมีการบันทึกเทปโทรทัศน์ในละครบางเรื่องเท่านั้น แต่ก็บันทึกจากการแสดงสดเพื่อนำไปออกอากาศในสถานีโทรทัศน์ของกรมประชาสัมพันธ์ในต่างจังหวัด) ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องพร้อมจริงๆ เมื่อถึงเวลาออกอากาศแล้วจะไม่มีการหยุดพัก นอกจากในเวลาโฆษณา ทั้งผู้แสดงและส่วนประกอบอื่นๆเช่น แสง เสียง ฉาก กล้อง ต้องสามารถทำงานไปได้ต่อเนื่อง มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นก็จะต้องแก้ไขกันในทันที ด้วยไหวพริบปฏิภาณของทีมงานของสถานีโทรทัศน์และนักแสดง
ด้วยสาเหตุดังกล่าว จึงมีเรื่องที่เล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบัน เกี่ยวกับเรื่องการบอกบทเสียงดัง การบอกบทนั้นคือจะมีผู้กำกับบทหนึ่งคนที่จะถือบทละครในตอนที่แสดง และตรวจคำพูดของนักแสดงไปพร้อมๆกับการพูดของนักแสดง หากมีนักแสดงคนใดจำบทไม่ได้ หรือสับสนกับบทละครที่จะต้องพูด ผู้กำกับบทจะเป็นคนแก้สถานการณ์โดยการอ่านบทละครของผู้แสดงคนนั้นเบาๆให้ผู้แสดงได้ยิน เพื่อเป็นการกระตุ้นความจำ ให้ผู้แสดงคนนั้นสามารถแสดงต่อไปได้
ภาพการแสดงละครของสถานีโทรทัศน์ช่อง ๔ บางขุนพรหม โปรดสังเกตไมโครโฟนที่ติดอยู่บนแขนยาว เรียกกันในสมัยนั้นว่าไมค์บูม
เสียงในการบอกบทนั้น บางครั้งก็ลอดเข้าไปในไมโครโฟนที่รับเสียงการแสดง และดังออกทางเครื่องรับโทรทัศน์ของผู้ชม ซึ่งไมโครโฟนในยุคสมัยนั้น เป็นไมโครโฟนขนาดใหญ่ ไม่มีไมโครโฟนแบบติดอยู่กับตัวนักแสดง ต้องซ่อนไมโครโฟนนี้ไว้ในตำแหน่งที่นักแสดงจะต้องพูด หรือใช้ไมโครโฟนติดกับแขนโลหะยาวยืดหดได้และโยกย้ายไปตามตำแหน่งที่ต้องการรับเสียง เรียกกันในยุคนั้นว่าไมค์บูมซึ่งมีขนาดใหญ่มาก
ผู้เขียนได้เคยอยู่ในห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ช่อง ๔ บางขุนพรหม ในขณะที่มีการแสดงละครออกอากาศแบบสดๆหลายครั้ง ในฐานะของผู้ชมในวัยเด็ก และในยุคที่สถานีย้ายมาดำเนินงานบางลำภูก็ได้เคยอยู่ในทีมงานหลังกล้อง พบเห็นการบอกบทและเข้าใจถึงปัญหาและความสำคัญ ได้รู้จักคุ้นเคยกับผู้กำกับบทที่โด่งดังท่านหนึ่ง บุญส่ง (บุญศักดิ์) ดวงดารา ซึ่งท่านเป็นบิดาของดาราสาวชื่อดังในยุคนั้น เมตตา รุ่งรัตน์ ได้เคยนั่งยองๆหรือคุกเข่าอยู่ข้างๆท่านเวลาที่ท่านบอกบท เสียงของท่านที่แหบเป็นพิเศษ เหมาะแก่การบอกบทในยามที่ผู้แสดงติดขัดจำบทไม่ได้หรือสับสน ผู้กำกับบทจะนั่งหลบอยู่ใต้กล้องใต้รัศมีของเลนส์กล้อง เพื่อมิให้ติดเข้าไปในภาพด้วย
สมจินต์ ธรรมทัต ทำหน้าที่กำกับบท ในช่วงพุทธศักราช ๒๕๐๓
ความจริงแล้วในยุคแรกของสถานีโทรทัศน์ช่อง ๔ บางขุนพรหมนั้น ละครทุกเรื่องจะมีการซ้อมหลายครั้งก่อนออกอากาศจริง และในเดือนหนึ่งๆจะมีการแสดงละครเพียงไม่กี่เรื่อง นักแสดงของสถานีท่องจำบทที่ตนเองจะต้องแสดงได้ดี การบอกบทนั้นมีไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาดเท่านั้น ผู้กำกับบทนั้นมิได้บอกบททุกคำพูด หรือบางครั้งแทบไม่ได้บอกบทเลย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความต้องการชมละครมีมากขึ้น ละครเริ่มแสดงถี่ขึ้น มีนักแสดงรับเชิญจากนอกสถานีมากขึ้น โดยเฉพาะนักแสดงภาพยนตร์ที่หันมารับงานแสดงละครโทรทัศน์ด้วย การท่องจำบทจึงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้สมบูรณ์ บางครั้งนักแสดงบางท่านที่เข้ามาร่วมงานกับทางสถานีหรือคณะละคร ไม่ได้อ่านบทที่ตนเองต้องแสดงมาก่อนเลย จึงต้องมีการบอกบทกันทุกคำพูด ผู้เขียนนั้นได้เคยพบและเห็นการแก้สถานการณ์ฉุกเฉินของการแสดงละครแบบสดๆมาหลายครั้ง จนกระทั่งการบันทึกเทปโทรทัศน์ทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น ละครที่บันทึกเทปโทรทัศน์นั้นหากมีการผิดพลาดก็สามารถหยุด แก้ไข และบันทึกใหม่ได้ ละครโทรทัศน์ในยุคเทปโทรทัศน์จึงไม่มีเสียงบอกบทดังให้ได้ยินอีกต่อไป
พาท่านผู้อ่านเข้าซอยไปเสียไกล ที่ต้องเล่าเรื่องการบอกบทเอาไว้ เพราะปัจจุบันเคยได้ยินคนรุ่นหลังที่ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นำเอาการบอกบทเสียงดังมาเป็นมุกตลกล้อเลียน เสมือนดูถูกผู้คนในอดีตที่พบเจอปัญหาแตกต่างกันในวงการแสดง ก็ขอระบายเอาไว้สักหน่อย
เรื่องฮวนนั้งเริ่มต้นที่ดินแดนซึ่งเป็นประเทศฮังการีในปัจจุบัน ฮวนเผ่าหนึ่งซึ่งมี "ข่านรัว" เป็นผู้นำ ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐาน ณ.บริเวณนี้ ข่านรัวไม่มีลูกชายสืบสกุล จึงรับบุตรของน้องชายสองคนคือ "เบลดา" ผู้พี่อายุ ๑๙ ปี และ "เอเตล" ผู้น้องอายุ ๑๘ ปี มาเป็นบุตรบุญธรรม ทั้งสองไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าใดนัก มักจะแข่งชิงดีชิงเด่นกันอยู่เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งสองได้พิพาทกันในเรื่องสิทธิ์ในการล่า โดยทั้งสองยิงหมีตัวเดียวกัน ลูกศรของทั้งสองปักลงบนตัวหมีพร้อมกัน และไม่อาจจะตกลงกันได้ว่าใครควรได้สิทธิ์ในการล่าหมีตัวนั้น
เบลดา (สอาด เปี่ยมพงศานต์) - เอเตล (สมจินต์ ธรรมทัต) พิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิ์การล่า
สิทธิ์ในการล่าถือเป็นเรื่องใหญ่ของฮวน เพราะฮวนเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ เรื่องจึงต้องไปถึงข่านรัวผู้เป็นบิดาบุญธรรม และข่านรัวตัดสินให้เบลดาเป็นผู้ได้สิทธิ์ในการล่า และเอเตลต้องถูกปรับโทษ โดยต้องเสียธนูและทองคำมีน้ำหนักเท่าลูกธนูนั้นให้เบลดา ซึ่งเอเตลก็ยอมรับแต่โดยดี
ข่านรัว (พฤทธิ์ อุปถัมภานนท์) พิพากษาคดีพิพาทของ เบลดา และ เอเตล
ในวันนั้นเอง โรมได้ส่งฑูตมาเจรจากับฮวน โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะจ้างฮวนไว้เป็นกองกำลังป้องกันชายแดนด้านตะวันออกของกรุงโรม (คอนสแตนติโนเปิ้ล) ซึ่งในการนี้โรมจะมอบทองคำจำนวนหนึ่งให้กับฮวนเป็นค่าจ้าง และจะขอเจ้าชายรัชทายาทของฮวนไปเป็นตัวประกันที่กรุงโรม เมื่อนายพลอัยติอุสฑูตของโรมันได้มาถึง และพบกับข่านรัว เบลดา และเอเตลที่ออกมาต้อนรับที่หน้าค่าย ก็กล่าววาจาในภาษาละตินเป็นประโยคแรกว่า "
Dominus meus et Dominus tuus Valentinianus per me imperat" ซึ่งแปลได้ว่า "
มีพระราชโองการจากพระเจ้าวาเลนติเนียน นายของข้าและนายของเจ้าว่า..."
ฮวนในระดับหัวหน้านั้นมีมากที่เข้าใจภาษาละติน เอเตลเองก็เช่นกัน และประโยคที่ได้ยินโดยเฉพาะคำว่า "Dominus tuus - นายของเจ้า" ทำให้เลือดของฮวนหนุ่มฉีดพล่าน นับตั้งแต่เกิดมาเอเตลไม่เคยได้ยินใครกล่าวประโยคที่ฟังแล้วโอหังเช่นนี้มาก่อน และฮวนหนุ่มตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่บัดนั้นว่า สักวันหนึ่งจะต้องนำคำนี้มาใช้บ้าง โดยเฉพาะใช้กับพวกโรมัน
นายพลอัยติอุส (กำธร สุวรรณปิยะศิริ) เจรจากับข่านรัว เบลดา เอเตล ที่หน้าค่าย
เมื่อฮวนเลี้ยงต้อนรับคณะฑูตโรมัน ก็มีการเจรจาความเมืองไปด้วย เอเตลซึ่งรู้จุดประสงค์การมาของฑูตโรมัน ก็เพื่อจะจ้างฮวนให้ไปรบและตายแทน จึงเจรจากับฑูตโรมันอย่างก้าวร้าวและโอหัง นายพลอัยติอุสจึงตัดสินใจว่า บุตรชายของข่านรัวคนนี้เองที่เขาจะต้องนำไปกักตัวไว้ที่โรม โดยมิได้รู้เลยว่าที่จริงแล้ว เบลดาซึ่งนั่งสงบเงี่ยมอยู่นั้นคือบุตรชายคนโตซึ่งเป็นรัชทายาท
เอเตล เจรจากับ มัสสุริอุส ฑูตของโรมันคนหนึ่งอย่างโอหัง
เมื่อนายพลอัยติอุสขอตัวเอเตลไปด้วยความเข้าใจผิด ข่านรัวจึงสั่งให้เอเตลยอมรับ และห้ามเปิดเผยโดยเด็ดขาดว่าที่จริงแล้วเบลดาคือพี่ชาย และเป็นรัชทายาทตัวจริง เอเตลได้แต่กล้ำกลืนความแค้น ที่เบลดาจะได้ครองตำแหน่งข่านต่อจากข่านรัว โดยที่เขาถูกส่งไปอยู่กับพวกโรมัน หมดโอกาสที่จะแย่งชิงตำแหน่งข่านกับพี่ชาย
นายพลอัยติอุส และ มัสสุริอุส สั่งให้เอเตลเดินทางไปเป็นตัวประกันของโรมัน
เอเตลถูกนำตัวไปยังเมืองราเวนา กรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล เมืองหลวงของโรมตะวันออก ปกครองโดยจักพรรดิ์วาเลนติเนียน ณ.ที่นั้นเอเตลได้รับการต้อนรับเยี่ยงรัชทายาทของประเทศราช จึงได้พักอาศัยร่วมกับตัวประกันของชนชาติต่างๆที่ยอมสวามิภักดิ์กับโรมัน ซึ่งทุกคนก็ต่างเป็นรัชทายาทของเผ่าตน ต่างก็ไม่มีใครยอมลงให้กัน คูดาริกตัวประกันคนหนึ่งจึงหยามเอเตล และท้าประลองอาวุธ
มัสสุริอุส พาเอเตลมารู้จักกับเหล่าตัวประกันด้วยกันและถูกหยามโดย คูดาริก (นินารถ ช่ำชองยุทธ)
ฮวนนั้ง - บทประพันธ์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปราโมช - ละคร ช่อง ๔ บางขุนพรหม (ตอนที่ ๑.)
ด้วยสาเหตุดังกล่าว จึงมีเรื่องที่เล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบัน เกี่ยวกับเรื่องการบอกบทเสียงดัง การบอกบทนั้นคือจะมีผู้กำกับบทหนึ่งคนที่จะถือบทละครในตอนที่แสดง และตรวจคำพูดของนักแสดงไปพร้อมๆกับการพูดของนักแสดง หากมีนักแสดงคนใดจำบทไม่ได้ หรือสับสนกับบทละครที่จะต้องพูด ผู้กำกับบทจะเป็นคนแก้สถานการณ์โดยการอ่านบทละครของผู้แสดงคนนั้นเบาๆให้ผู้แสดงได้ยิน เพื่อเป็นการกระตุ้นความจำ ให้ผู้แสดงคนนั้นสามารถแสดงต่อไปได้
ผู้เขียนได้เคยอยู่ในห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ช่อง ๔ บางขุนพรหม ในขณะที่มีการแสดงละครออกอากาศแบบสดๆหลายครั้ง ในฐานะของผู้ชมในวัยเด็ก และในยุคที่สถานีย้ายมาดำเนินงานบางลำภูก็ได้เคยอยู่ในทีมงานหลังกล้อง พบเห็นการบอกบทและเข้าใจถึงปัญหาและความสำคัญ ได้รู้จักคุ้นเคยกับผู้กำกับบทที่โด่งดังท่านหนึ่ง บุญส่ง (บุญศักดิ์) ดวงดารา ซึ่งท่านเป็นบิดาของดาราสาวชื่อดังในยุคนั้น เมตตา รุ่งรัตน์ ได้เคยนั่งยองๆหรือคุกเข่าอยู่ข้างๆท่านเวลาที่ท่านบอกบท เสียงของท่านที่แหบเป็นพิเศษ เหมาะแก่การบอกบทในยามที่ผู้แสดงติดขัดจำบทไม่ได้หรือสับสน ผู้กำกับบทจะนั่งหลบอยู่ใต้กล้องใต้รัศมีของเลนส์กล้อง เพื่อมิให้ติดเข้าไปในภาพด้วย
พาท่านผู้อ่านเข้าซอยไปเสียไกล ที่ต้องเล่าเรื่องการบอกบทเอาไว้ เพราะปัจจุบันเคยได้ยินคนรุ่นหลังที่ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นำเอาการบอกบทเสียงดังมาเป็นมุกตลกล้อเลียน เสมือนดูถูกผู้คนในอดีตที่พบเจอปัญหาแตกต่างกันในวงการแสดง ก็ขอระบายเอาไว้สักหน่อย
เรื่องฮวนนั้งเริ่มต้นที่ดินแดนซึ่งเป็นประเทศฮังการีในปัจจุบัน ฮวนเผ่าหนึ่งซึ่งมี "ข่านรัว" เป็นผู้นำ ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐาน ณ.บริเวณนี้ ข่านรัวไม่มีลูกชายสืบสกุล จึงรับบุตรของน้องชายสองคนคือ "เบลดา" ผู้พี่อายุ ๑๙ ปี และ "เอเตล" ผู้น้องอายุ ๑๘ ปี มาเป็นบุตรบุญธรรม ทั้งสองไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าใดนัก มักจะแข่งชิงดีชิงเด่นกันอยู่เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งสองได้พิพาทกันในเรื่องสิทธิ์ในการล่า โดยทั้งสองยิงหมีตัวเดียวกัน ลูกศรของทั้งสองปักลงบนตัวหมีพร้อมกัน และไม่อาจจะตกลงกันได้ว่าใครควรได้สิทธิ์ในการล่าหมีตัวนั้น
ฮวนในระดับหัวหน้านั้นมีมากที่เข้าใจภาษาละติน เอเตลเองก็เช่นกัน และประโยคที่ได้ยินโดยเฉพาะคำว่า "Dominus tuus - นายของเจ้า" ทำให้เลือดของฮวนหนุ่มฉีดพล่าน นับตั้งแต่เกิดมาเอเตลไม่เคยได้ยินใครกล่าวประโยคที่ฟังแล้วโอหังเช่นนี้มาก่อน และฮวนหนุ่มตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่บัดนั้นว่า สักวันหนึ่งจะต้องนำคำนี้มาใช้บ้าง โดยเฉพาะใช้กับพวกโรมัน