กองทัพอิสราเอลเข้าควบคุมโรงพยาบาลใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา
https://www.dailynews.co.th/news/2914822/
โรงพยาบาลอัล-ชีฟา ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพอิสราเอลโดยปริยาย หลังมีการอพยพแพทย์ พยาบาล ผู้ป่วย และผู้ลี้ภัย ออกไปแทบทั้งหมด
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองกาซาซิตี ฉนวนกาซา เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ว่ากระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์รายงานว่า บุคลากรการแพทย์ ผู้ป่วย และประชาชนจำนวนมากซึ่งเข้ามาลี้ภัยอยู่ที่โรงพยาบาลอัล-ชีฟา โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุดของฉนวนกาซา ตั้งอยู่ที่เมืองกาซาซิตี อพยพออกจากพื้นที่ไปแล้วเกือบทั้งหมด เหลือเพียงผู้ป่วยหนัก และผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส พร้อมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจำนวนหนึ่งเท่านั้น
ด้านองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) กล่าวถึงสถานการณ์ที่โรงพยาบาลอัล-ชีฟา ไม่ต่างอะไรกับสุสาน และเบื้องต้นกำลังวางแผนให้มีการอพยพผู้ป่วย รวมถึงบุคลาการที่เหลือทั้งหมดด้วย ซึ่งมีการประเมินจำนวนไว้รวมกันมากกว่า 300 คน
ขณะที่กองทัพอิสราเอลยังคงปฏิเสธ การเป็นผู้สั่งให้มีการอพยพที่โรงพยาบาลอัล-ชีฟา พร้อมทั้งเผยว่า มีการลำเลียงน้ำมากกว่า 6,000 ลิตร และอาหารอีกมากกว่า 2,300 กิโลกรัม ให้กับโรงพยาบาลด้วย
ไม่ว่าการอพยพที่โรงพยาบาลอัล-ชีฟา เกิดขึ้นด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่เป็นการเปิดทางให้กองทัพอิสราเอลขยายขอบเขตของปฏิบัติการในโรงพยาบาลโดยปริยาย หลังปฏิบัติการจู่โจม เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยความเชื่อมั่นว่า กลุ่มฮามาสใช้โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นกองบัญชาการ และมีการซุกซ่อนอาวุธหนักหลายชนิดไว้ในโรงพยาบาลด้วย
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล กล่าวว่า “มีความเป็นไปได้สูงมาก” ที่กลุ่มฮามาสอาจซุกซ่อนตัวประกันจำนวนหนึ่งไว้ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ และปฏิบัติการของฝ่ายความมั่นคงอิสราเอลจนถึงตอนนี้ พบศพตัวประกันบริเวณโรงพยาบาลแล้ว 2 ราย
https://twitter.com/QudsNen/status/1725800075534688573
https://twitter.com/cogatonline/status/1725903460430750191
ชายแดนเดือด ทหารเมียนมาปะทะกะเหรี่ยง ชาวบ้านลี้ภัยหนีตายสงคราม ทะลักเข้าไทย
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7970864
แม่ฮ่องสอน ชายแดนฐานยามูเดือด ทหารเมียนมาปะทะกับกองกำลังกะเหรี่ยงคะยา ชาวบ้านลี้ภัยสงคราม หนีตายทะลักเข้าไทย ฝั่งบ้านใหม่ในสอย
19 พ.ย. 66 – แหล่งข่าวผู้นำระดับสูงของ กองกำลัง KA เปิดเผยว่า สถานการณ์การสู้รบในรัฐคะยา ยังคงมีการสู้รบอย่างดุเดือด ระหว่าง กองกำลังติดอาวุธ KA KNDF PDF KNPLF กับทหารเมียนมา ในพื้นที่ตัวเมืองลอยก่อว์ เมืองโมเบีย เมืองแผ่โข่ง (เขตรัฐฉานติดรัฐคะยา )
ส่วนสถานการณ์การสู้รบ ทหารของกองกำลังผสมกะเหรี่ยงคะยา สามารถยึดฐานที่มั่นของทหารเมียนมา ได้ทั้งหมด 17 ฐานที่มั่น ทหารเมียนมาเสียชีวิตจำนวน 98 นาย ถูกจับเป็นเชลย 32 นาย ในจำนวน 4 นาย ไม่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งมี ผบ.ร้อย กองพันที่ 6 รวมอยู่ด้วย ส่วน ผบ.พัน และรอง ผบ.พัน คร.425 และ พัน.ร.6 เสียชีวิตทั้งหมด
ส่วนของสถานการณ์ในรัฐคะยา ที่ติดกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตรงข้ามบ้านในสอย ต.ปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อ 15-16 พ.ย. 66 ทหารเมียนมา ได้ยิง ค.120 มม.โจมตีไปยังค่ายผู้ลี้ภัย ดอว์นกกุ อีกครั้ง ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยในค่ายดังกล่าว ซึ่งได้เดินทางกลับมาจากประเทศไทย ได้พากันหนีเข้าสู่ประเทศไทย ที่บ้านใหม่ในสอยอีกครั้ง
ล่าสุดยอดผู้ลี้ภัย จากการรายงานของ ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระบุว่า มีผู้ลี้ภัยจากเมียนมาหนีเข้ามาเพิ่ม รวมเป็นจำนวน 2,544 คน ได้แก่
1. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านเสาหิน หมู่ที่ 1 ตำบลเสาหิน อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนยอด
2. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านพะเเข่ หมู่ที่ 3 ตำบลแม่กี๊ อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยอดเดิม 617 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม สมัครใจเดินทางกลับ 34 คน คงยอดปัจจุบัน 583 คน
3. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านอุนู หมู่ที่ 4 ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยอดเดิม 488 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม คงยอดปัจจุบัน 488 คน
4. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านจอปร่าคี หมู่ที่ 9 ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนยอดเดิม 882 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม คงยอดปัจจุบัน 882 คน
5. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านใหม่ในสอย หมู่ 4 ต.ปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน มีผู้ลี้ภัยหลบหนีภัยสงครามเข้ามาจำนวน 591 คน ( หลบหนีเข้ามาใหม่ )
ก่อนหน้านั้น แถลงการณ์ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จังหวัดแม่ฮ่องสอนสถานการณ์บริเวณพื้นที่แนวชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 เวลา 08.00 น. – 18.00 น. ร้อย.ร.1743 ฐานฯ สิงขร 3 ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ได้ยินเสียงเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ค.120 มม. จำนวน 5 ครั้ง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของฐานฯ ในฝั่งรัฐคะยา ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 10-15 กม.และ ตรวจพบ อากาศยานทำการบินบริเวณพื้นที่ด้านตรงข้ามอำเภอเมือง จ.แม่ฮ่องสอน จำนวน 22 ครั้ง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา
ปัจจุบัน ผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา( ผภสม) ที่มีความกังวลจากสถานการณ์ในพื้นที่ได้เดินทางเข้ามายังฝั่งไทย ในพื้นที่ ปลอดภัยชั่วคราว จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 4 พื้นที่ ปัจจุบันคงเหลือยอดจำนวน 2,153 คน รายละเอียดดังนี้
1. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านเสาหิน หมู่ที่ 1 ตำบลเสาหิน อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนยอดเดิม 313 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม สมัครใจเดินทางกลับ 299 คน คงยอดปัจจุบัน 14 คน
2. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านพะเเข่ หมู่ที่ 3 ตำบลแม่กี๊ อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยอดเดิม 784 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม สมัครใจเดินทางกลับ 15 คน คงยอดปัจจุบัน 769 คน
3. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านอุนู หมู่ที่ 4 ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยอดเดิม 488 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม คงยอดปัจจุบัน 488 คน
4. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านจอปร่าคี หมู่ที่ 9 ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนยอดเดิม 882 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม คงยอดปัจจุบัน 882 คน
เสียงสะท้อนแก้ ม.13 รื้อ 2 ด่าน กม.ประชามติ
https://www.matichon.co.th/politics/politics-in-depth/news_4289427
เสียงสะท้อนแก้ ม.13 รื้อ 2 ด่าน กม.ประชามติ
หมายเหตุ –
ความเห็นนักวิชาการต่อข้อเสนอของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หวั่น พ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 13 ที่ต้องใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น คือชั้นที่ 1 จะต้องมีจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ ส่วนชั้นที่ 2 ต้องมีเสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ จึงเสนอลดเกณฑ์สัดส่วนผู้ออกมาใช้สิทธิและลงคะแนนเห็นชอบเกิน 25% หรือ 1 ใน 4 ของผู้มีสิทธิทั้งหมด
ธเนศวร์ เจริญเมือง
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ยังไม่ได้ศึกษาในรายละเอียด แต่เห็นด้วยกับการแก้เกณฑ์ประชามติ 2 ชั้น จากผู้มาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งเป็น 25% ของผู้มีสิทธิทำประชามติทั้งหมด เพื่อให้การลงประชามติง่ายขึ้น สะดวก รวดเร็ว และเป็นที่ยอมรับทุกฝ่าย ที่ผ่านมาสังคมไทยมองประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ไม่มั่นคง ไม่ตอบสนองเสียงประชาชนส่วนใหญ่ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มใบ มาจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจเพื่อสร้างอำนาจใหม่ตามยุทธศาสตร์
ชาติ 20 ปี จนมี ส.ว.จากการแต่งตั้งที่ไม่ได้มาจากประชาชนโดยตรง ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่มีอำนาจ เพื่อให้รัฐบาลหาผลประโยชน์ทางการเมืองและเครือข่าย ที่สำคัญเปิดโอกาสให้ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรีได้ ยิ่งทำให้ ส.ว.มีอำนาจต่อรองและได้รับผลประโยชน์มากขึ้น
การแก้มาตรา 13 พ.ร.บ.ประชามติ ไม่ใช่เรื่องง่าย เชื่อว่า ส.ว.ส่วนใหญ่คัดค้านเพราะอาจกระทบอำนาจและผลประโยชน์ จึงไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้เหลือเวลาดำรงตำแหน่งอีกไม่นานก็ตาม หากต้องการแก้มาตรา 13 พ.ร.บ.ประชามติ ต้องพูดคุยหารือกับทุกฝ่ายให้เห็นชอบและผลักดันขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ หากทุกฝ่ายเห็นชอบแก้กฎหมายดังกล่าวน่าเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนประชาธิปไตย ทำให้สังคมไทยได้เรียนรู้และถอดบทเรียนการแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 ส่วนตัวมองว่ารัฐธรรมนูญดังกล่าวยังมีจุดอ่อน ข้อบกพร่องอีกมากที่ต้องแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น ถ้าเป็นไปได้ หากประชามติแก้รัฐธรรมนูญผ่านแล้ว อยากให้แก้ทั้งฉบับ โดยยึดรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นตัวตั้ง ถ้ายังทำไม่ได้
อยากให้แก้ไขบางมาตราที่เป็นข้อจำกัดและอุปสรรคการพัฒนาประชาธิปไตยและประเทศ ดังเช่นพรรค ก.ก.และคณะกรรมการแก้รัฐธรรมนูญเสนอแก้กฎหมายดังกล่าวเพื่อให้การทำประชามติง่ายขึ้น และตอบโจทย์ประชาชนตรงจุด
การแก้กฎหมายดังกล่าวเชื่อว่าไม่ส่งผลต่อไทม์ไลน์แก้รัฐธรรมนูญ เพราะเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่เคยหาเสียงไว้ ไม่ใช่เป็นการซื้อ หรือยื้อเวลาทางการเมืองเพื่อไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญดังกล่าว แต่ต้องยึดหลักว่าถ้าแก้รัฐธรรมนูญแล้ว ประชาชนได้รับประโยชน์หรือไม่ ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างไรมากกว่า ถ้ารัฐบาลไม่แก้รัฐธรรมนูญตามนโยบายที่หาเสียงอาจส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งสมัยหน้าได้
ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญต้องมีเหตุผลความจำเป็นและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่ ไม่ใช่แก้พร่ำเพรื่อ หรืออำนาจผลประโยชน์ไปตกที่ใคร หรือฝ่ายไหน โดยอาศัยการทำประชามติและประชาชนเป็นเครื่องมือดังกล่าว
โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
การที่พรรคก้าวไกลขอแก้ไขมาตรา 13 พ.ร.บ.ประชามติ ผมเข้าใจในเรื่องของประชามติ ค่อนข้างจะเป็นปัญหาในเรื่องที่จะให้ประชาชนมาลงประชามติ เพราะยังมีเรื่องที่จะต้องถกเถียงกันอีกเยอะมาก โดยเฉพาะมาตรา 13 ต้องการให้ประชาชนมาลงประชามติเกินกึ่งหนึ่ง เพราะต้องการความชอบธรรมจากเสียงข้างมากจริงๆ สมมุติประชาชนมีสิทธิเลือกตั้ง 50 ล้านคน เกินกึ่งหนึ่งก็ต้องประมาณ 26 ล้านคน ทำให้มองเห็นว่าเป็นเสียงข้างมากของประชาชนที่มาลงมติ ขณะเดียวกันจะต้องแสดงความเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งอีกรอบ อย่างน้อยต้องเกิน 13 ล้านคน คือการลงประชามติต้องการเสียงเห็นชอบข้างมากของประชาชนจริงๆ หลักการนี้ผมเห็นด้วย เพราะไม่ต้องมามีข้ออ้างว่าเป็นเสียงข้างมากจริงหรือเปล่า โดยหลังการมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องผ่านขั้นตอนของ พ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งพรรคก้าวไกลอาจจะกังวลว่าประชาชนจะให้ความสนใจน้อย ซึ่งในประเด็นนี้รัฐบาลรวมทั้งพรรคก้าวไกลอยากให้คนมาลงประชามติเยอะๆ ก็ต้องมาทำความเข้าใจกับประชาชนว่ารัฐธรรมนูญมีความจำเป็นอย่างไร จะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนทั้งหมด เมื่อไม่สามารถทำความเข้าใจกับประชาชนได้ ซึ่งจะส่งผลต่อประชาชนที่จะไม่มาลงประชามติ อาจจะมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของพรรคการเมือง เพื่อประโยชน์ของพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย ไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนเพราะทุกคนมีสิทธิคิด
เพราะฉะนั้นหลักใหญ่ใจความทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล จะต้องทำให้ประชาชนเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นมีความจำเป็นอย่างไรกับชีวิต เศรษฐกิจ การเมืองของประชาชน ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 13 พ.ร.บ.ประชามติ สุดท้ายแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้เพื่อให้พรรคของตัวเองรอด
หากมองภาพโดยรวมพรรคก้าวไกลอยากแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนพรรคเพื่อไทยไม่อยากแก้ ทำให้มองว่าทั้ง 2 พรรคการเมืองยังไม่สามารถดึงสังคมเข้ามาร่วมได้ โดยพรรคเพื่อไทยคิดแบบว่าจะกระทบอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำ หรือกลุ่มของตัวเอง ส่วนพรรคก้าวไกลอาจจะมีวาระประเด็นซ่อนเร้นในทางการเมือง ไม่ยอมสื่อสารกันจริงๆ ทุกคนก็จะเกาะกุมผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ประชาชนก็รู้ว่าทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลไม่ได้สื่อสารข้อเท็จจริงกับสังคม ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไม่ให้ความสำคัญและไม่สนใจ
JJNY : อิสราเอลเข้าควบคุมรพ.ใหญ่สุด│ทหารเมียนมาปะทะกะเหรี่ยง หนีตายทะลักเข้าไทย│เสียงสะท้อนแก้ ม.13│ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว
https://www.dailynews.co.th/news/2914822/
โรงพยาบาลอัล-ชีฟา ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพอิสราเอลโดยปริยาย หลังมีการอพยพแพทย์ พยาบาล ผู้ป่วย และผู้ลี้ภัย ออกไปแทบทั้งหมด
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองกาซาซิตี ฉนวนกาซา เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ว่ากระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์รายงานว่า บุคลากรการแพทย์ ผู้ป่วย และประชาชนจำนวนมากซึ่งเข้ามาลี้ภัยอยู่ที่โรงพยาบาลอัล-ชีฟา โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุดของฉนวนกาซา ตั้งอยู่ที่เมืองกาซาซิตี อพยพออกจากพื้นที่ไปแล้วเกือบทั้งหมด เหลือเพียงผู้ป่วยหนัก และผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส พร้อมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจำนวนหนึ่งเท่านั้น
ด้านองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) กล่าวถึงสถานการณ์ที่โรงพยาบาลอัล-ชีฟา ไม่ต่างอะไรกับสุสาน และเบื้องต้นกำลังวางแผนให้มีการอพยพผู้ป่วย รวมถึงบุคลาการที่เหลือทั้งหมดด้วย ซึ่งมีการประเมินจำนวนไว้รวมกันมากกว่า 300 คน
ขณะที่กองทัพอิสราเอลยังคงปฏิเสธ การเป็นผู้สั่งให้มีการอพยพที่โรงพยาบาลอัล-ชีฟา พร้อมทั้งเผยว่า มีการลำเลียงน้ำมากกว่า 6,000 ลิตร และอาหารอีกมากกว่า 2,300 กิโลกรัม ให้กับโรงพยาบาลด้วย
ไม่ว่าการอพยพที่โรงพยาบาลอัล-ชีฟา เกิดขึ้นด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่เป็นการเปิดทางให้กองทัพอิสราเอลขยายขอบเขตของปฏิบัติการในโรงพยาบาลโดยปริยาย หลังปฏิบัติการจู่โจม เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยความเชื่อมั่นว่า กลุ่มฮามาสใช้โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นกองบัญชาการ และมีการซุกซ่อนอาวุธหนักหลายชนิดไว้ในโรงพยาบาลด้วย
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล กล่าวว่า “มีความเป็นไปได้สูงมาก” ที่กลุ่มฮามาสอาจซุกซ่อนตัวประกันจำนวนหนึ่งไว้ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ และปฏิบัติการของฝ่ายความมั่นคงอิสราเอลจนถึงตอนนี้ พบศพตัวประกันบริเวณโรงพยาบาลแล้ว 2 ราย
https://twitter.com/QudsNen/status/1725800075534688573
https://twitter.com/cogatonline/status/1725903460430750191
ชายแดนเดือด ทหารเมียนมาปะทะกะเหรี่ยง ชาวบ้านลี้ภัยหนีตายสงคราม ทะลักเข้าไทย
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7970864
แม่ฮ่องสอน ชายแดนฐานยามูเดือด ทหารเมียนมาปะทะกับกองกำลังกะเหรี่ยงคะยา ชาวบ้านลี้ภัยสงคราม หนีตายทะลักเข้าไทย ฝั่งบ้านใหม่ในสอย
19 พ.ย. 66 – แหล่งข่าวผู้นำระดับสูงของ กองกำลัง KA เปิดเผยว่า สถานการณ์การสู้รบในรัฐคะยา ยังคงมีการสู้รบอย่างดุเดือด ระหว่าง กองกำลังติดอาวุธ KA KNDF PDF KNPLF กับทหารเมียนมา ในพื้นที่ตัวเมืองลอยก่อว์ เมืองโมเบีย เมืองแผ่โข่ง (เขตรัฐฉานติดรัฐคะยา )
ส่วนสถานการณ์การสู้รบ ทหารของกองกำลังผสมกะเหรี่ยงคะยา สามารถยึดฐานที่มั่นของทหารเมียนมา ได้ทั้งหมด 17 ฐานที่มั่น ทหารเมียนมาเสียชีวิตจำนวน 98 นาย ถูกจับเป็นเชลย 32 นาย ในจำนวน 4 นาย ไม่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งมี ผบ.ร้อย กองพันที่ 6 รวมอยู่ด้วย ส่วน ผบ.พัน และรอง ผบ.พัน คร.425 และ พัน.ร.6 เสียชีวิตทั้งหมด
ส่วนของสถานการณ์ในรัฐคะยา ที่ติดกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตรงข้ามบ้านในสอย ต.ปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อ 15-16 พ.ย. 66 ทหารเมียนมา ได้ยิง ค.120 มม.โจมตีไปยังค่ายผู้ลี้ภัย ดอว์นกกุ อีกครั้ง ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยในค่ายดังกล่าว ซึ่งได้เดินทางกลับมาจากประเทศไทย ได้พากันหนีเข้าสู่ประเทศไทย ที่บ้านใหม่ในสอยอีกครั้ง
ล่าสุดยอดผู้ลี้ภัย จากการรายงานของ ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระบุว่า มีผู้ลี้ภัยจากเมียนมาหนีเข้ามาเพิ่ม รวมเป็นจำนวน 2,544 คน ได้แก่
1. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านเสาหิน หมู่ที่ 1 ตำบลเสาหิน อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนยอด
2. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านพะเเข่ หมู่ที่ 3 ตำบลแม่กี๊ อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยอดเดิม 617 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม สมัครใจเดินทางกลับ 34 คน คงยอดปัจจุบัน 583 คน
3. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านอุนู หมู่ที่ 4 ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยอดเดิม 488 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม คงยอดปัจจุบัน 488 คน
4. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านจอปร่าคี หมู่ที่ 9 ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนยอดเดิม 882 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม คงยอดปัจจุบัน 882 คน
5. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านใหม่ในสอย หมู่ 4 ต.ปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน มีผู้ลี้ภัยหลบหนีภัยสงครามเข้ามาจำนวน 591 คน ( หลบหนีเข้ามาใหม่ )
ก่อนหน้านั้น แถลงการณ์ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จังหวัดแม่ฮ่องสอนสถานการณ์บริเวณพื้นที่แนวชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 เวลา 08.00 น. – 18.00 น. ร้อย.ร.1743 ฐานฯ สิงขร 3 ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ได้ยินเสียงเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ค.120 มม. จำนวน 5 ครั้ง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของฐานฯ ในฝั่งรัฐคะยา ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 10-15 กม.และ ตรวจพบ อากาศยานทำการบินบริเวณพื้นที่ด้านตรงข้ามอำเภอเมือง จ.แม่ฮ่องสอน จำนวน 22 ครั้ง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา
ปัจจุบัน ผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา( ผภสม) ที่มีความกังวลจากสถานการณ์ในพื้นที่ได้เดินทางเข้ามายังฝั่งไทย ในพื้นที่ ปลอดภัยชั่วคราว จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 4 พื้นที่ ปัจจุบันคงเหลือยอดจำนวน 2,153 คน รายละเอียดดังนี้
1. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านเสาหิน หมู่ที่ 1 ตำบลเสาหิน อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนยอดเดิม 313 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม สมัครใจเดินทางกลับ 299 คน คงยอดปัจจุบัน 14 คน
2. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านพะเเข่ หมู่ที่ 3 ตำบลแม่กี๊ อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยอดเดิม 784 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม สมัครใจเดินทางกลับ 15 คน คงยอดปัจจุบัน 769 คน
3. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านอุนู หมู่ที่ 4 ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยอดเดิม 488 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม คงยอดปัจจุบัน 488 คน
4. พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ้านจอปร่าคี หมู่ที่ 9 ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนยอดเดิม 882 คน ไม่มียอดเพิ่มเติม คงยอดปัจจุบัน 882 คน
เสียงสะท้อนแก้ ม.13 รื้อ 2 ด่าน กม.ประชามติ
https://www.matichon.co.th/politics/politics-in-depth/news_4289427
เสียงสะท้อนแก้ ม.13 รื้อ 2 ด่าน กม.ประชามติ
หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการต่อข้อเสนอของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หวั่น พ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 13 ที่ต้องใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น คือชั้นที่ 1 จะต้องมีจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ ส่วนชั้นที่ 2 ต้องมีเสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ จึงเสนอลดเกณฑ์สัดส่วนผู้ออกมาใช้สิทธิและลงคะแนนเห็นชอบเกิน 25% หรือ 1 ใน 4 ของผู้มีสิทธิทั้งหมด
ธเนศวร์ เจริญเมือง
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ยังไม่ได้ศึกษาในรายละเอียด แต่เห็นด้วยกับการแก้เกณฑ์ประชามติ 2 ชั้น จากผู้มาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งเป็น 25% ของผู้มีสิทธิทำประชามติทั้งหมด เพื่อให้การลงประชามติง่ายขึ้น สะดวก รวดเร็ว และเป็นที่ยอมรับทุกฝ่าย ที่ผ่านมาสังคมไทยมองประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ไม่มั่นคง ไม่ตอบสนองเสียงประชาชนส่วนใหญ่ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มใบ มาจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจเพื่อสร้างอำนาจใหม่ตามยุทธศาสตร์
ชาติ 20 ปี จนมี ส.ว.จากการแต่งตั้งที่ไม่ได้มาจากประชาชนโดยตรง ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่มีอำนาจ เพื่อให้รัฐบาลหาผลประโยชน์ทางการเมืองและเครือข่าย ที่สำคัญเปิดโอกาสให้ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรีได้ ยิ่งทำให้ ส.ว.มีอำนาจต่อรองและได้รับผลประโยชน์มากขึ้น
การแก้มาตรา 13 พ.ร.บ.ประชามติ ไม่ใช่เรื่องง่าย เชื่อว่า ส.ว.ส่วนใหญ่คัดค้านเพราะอาจกระทบอำนาจและผลประโยชน์ จึงไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้เหลือเวลาดำรงตำแหน่งอีกไม่นานก็ตาม หากต้องการแก้มาตรา 13 พ.ร.บ.ประชามติ ต้องพูดคุยหารือกับทุกฝ่ายให้เห็นชอบและผลักดันขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ หากทุกฝ่ายเห็นชอบแก้กฎหมายดังกล่าวน่าเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนประชาธิปไตย ทำให้สังคมไทยได้เรียนรู้และถอดบทเรียนการแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 ส่วนตัวมองว่ารัฐธรรมนูญดังกล่าวยังมีจุดอ่อน ข้อบกพร่องอีกมากที่ต้องแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น ถ้าเป็นไปได้ หากประชามติแก้รัฐธรรมนูญผ่านแล้ว อยากให้แก้ทั้งฉบับ โดยยึดรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นตัวตั้ง ถ้ายังทำไม่ได้
อยากให้แก้ไขบางมาตราที่เป็นข้อจำกัดและอุปสรรคการพัฒนาประชาธิปไตยและประเทศ ดังเช่นพรรค ก.ก.และคณะกรรมการแก้รัฐธรรมนูญเสนอแก้กฎหมายดังกล่าวเพื่อให้การทำประชามติง่ายขึ้น และตอบโจทย์ประชาชนตรงจุด
การแก้กฎหมายดังกล่าวเชื่อว่าไม่ส่งผลต่อไทม์ไลน์แก้รัฐธรรมนูญ เพราะเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่เคยหาเสียงไว้ ไม่ใช่เป็นการซื้อ หรือยื้อเวลาทางการเมืองเพื่อไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญดังกล่าว แต่ต้องยึดหลักว่าถ้าแก้รัฐธรรมนูญแล้ว ประชาชนได้รับประโยชน์หรือไม่ ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างไรมากกว่า ถ้ารัฐบาลไม่แก้รัฐธรรมนูญตามนโยบายที่หาเสียงอาจส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งสมัยหน้าได้
ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญต้องมีเหตุผลความจำเป็นและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่ ไม่ใช่แก้พร่ำเพรื่อ หรืออำนาจผลประโยชน์ไปตกที่ใคร หรือฝ่ายไหน โดยอาศัยการทำประชามติและประชาชนเป็นเครื่องมือดังกล่าว
โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
การที่พรรคก้าวไกลขอแก้ไขมาตรา 13 พ.ร.บ.ประชามติ ผมเข้าใจในเรื่องของประชามติ ค่อนข้างจะเป็นปัญหาในเรื่องที่จะให้ประชาชนมาลงประชามติ เพราะยังมีเรื่องที่จะต้องถกเถียงกันอีกเยอะมาก โดยเฉพาะมาตรา 13 ต้องการให้ประชาชนมาลงประชามติเกินกึ่งหนึ่ง เพราะต้องการความชอบธรรมจากเสียงข้างมากจริงๆ สมมุติประชาชนมีสิทธิเลือกตั้ง 50 ล้านคน เกินกึ่งหนึ่งก็ต้องประมาณ 26 ล้านคน ทำให้มองเห็นว่าเป็นเสียงข้างมากของประชาชนที่มาลงมติ ขณะเดียวกันจะต้องแสดงความเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งอีกรอบ อย่างน้อยต้องเกิน 13 ล้านคน คือการลงประชามติต้องการเสียงเห็นชอบข้างมากของประชาชนจริงๆ หลักการนี้ผมเห็นด้วย เพราะไม่ต้องมามีข้ออ้างว่าเป็นเสียงข้างมากจริงหรือเปล่า โดยหลังการมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องผ่านขั้นตอนของ พ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งพรรคก้าวไกลอาจจะกังวลว่าประชาชนจะให้ความสนใจน้อย ซึ่งในประเด็นนี้รัฐบาลรวมทั้งพรรคก้าวไกลอยากให้คนมาลงประชามติเยอะๆ ก็ต้องมาทำความเข้าใจกับประชาชนว่ารัฐธรรมนูญมีความจำเป็นอย่างไร จะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนทั้งหมด เมื่อไม่สามารถทำความเข้าใจกับประชาชนได้ ซึ่งจะส่งผลต่อประชาชนที่จะไม่มาลงประชามติ อาจจะมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของพรรคการเมือง เพื่อประโยชน์ของพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย ไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนเพราะทุกคนมีสิทธิคิด
เพราะฉะนั้นหลักใหญ่ใจความทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล จะต้องทำให้ประชาชนเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นมีความจำเป็นอย่างไรกับชีวิต เศรษฐกิจ การเมืองของประชาชน ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 13 พ.ร.บ.ประชามติ สุดท้ายแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้เพื่อให้พรรคของตัวเองรอด
หากมองภาพโดยรวมพรรคก้าวไกลอยากแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนพรรคเพื่อไทยไม่อยากแก้ ทำให้มองว่าทั้ง 2 พรรคการเมืองยังไม่สามารถดึงสังคมเข้ามาร่วมได้ โดยพรรคเพื่อไทยคิดแบบว่าจะกระทบอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำ หรือกลุ่มของตัวเอง ส่วนพรรคก้าวไกลอาจจะมีวาระประเด็นซ่อนเร้นในทางการเมือง ไม่ยอมสื่อสารกันจริงๆ ทุกคนก็จะเกาะกุมผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ประชาชนก็รู้ว่าทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลไม่ได้สื่อสารข้อเท็จจริงกับสังคม ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไม่ให้ความสำคัญและไม่สนใจ